ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 195 มีอะไรติดหน้า
ตอนที่ 195 มีอะไรติดหน้า?
“หลิวซู เป็นอย่างไรบ้าง?”
เซียถงมองหน้าพลางเอ่ยถามออกไป
“ข้าโรยผงพิษไว้ทั่วบนเตียงและเสื้อผ้าของไป๋หลี่เย่แล้ว”
หลิวซูกล่าวตอบ ทว่าความสนใจในขณะนี้อยู่กับแต่เครื่องประดับอัญมณีวิบวับบนศีรษะ
เซียถงเหลือบมองเหนือศีรษะของอีกฝ่ายตัดสลับกับเครื่องประดับอีกจำนวนหนึ่งบนมือของอีกฝ่าย แถมบริเวณลำคอยังสวมสร้อยสีทองคำเปล่งประกายแพรวพราวสะดุดตาอีก เห็นแบบนั้นนางจึงอดถักคิ้วขมวดเอ่ยถามมิได้ว่า
“หลิวซู นี่เจ้าไปขโมยสมบัติของในวังหลวงมาด้วยรึ?”
“เจ้าไม่คิดหรือว่า เครื่องประดับพวกนี้งดงาม? พอมีพวกมันประดับประดาอยู่บนศีรษะแล้ว ข้ารู้สึกสบายใจน่ะ”
หลิวซูกล่าวตอบสีหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุข
จิตวิญญาณแห่งยุทธ์ภัณฑ์ชื่นชอบพวกเครื่องประดับด้วยรึ?
เซียถงเบิกตาโพล่งมองหลิวซูด้วยสายตาสุดจะเหลือเชื่อ แลมองมันบรรจงสวมใส่เครื่องประดับเหล่านั้นทีละชิ้นลงบนร่างกาย นางถึงกับส่ายหัวกล่าวว่า
“หลิวซู เจ้านี่มันสุดของรุ่นโดยแท้!”
หลิวซูเมินเฉยต่อคำเสียดสีของเซียถงโดยสมบูรณ์ ตบบริเววณอกเสื้อที่พองโตจนผิดสังเกตและยิ้มกล่าวว่า
“ดูสิ ดูสิ ข้ายังมีติดตัวอีกมากมาย หลังจากกลับไป คงต้องหาที่ซ่อนสมบัติเหล่านี้เสียแล้ว เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่ข้าเลือกสรรมาล้วนเป็นของหายากมีมูลค่าทั้งสิ้น!”
พอทอดสายตามองตามไปยังมือข้างนั้นของมัน เซียถงก็สังเกิดเห็นปากถุงดำขนาดใหญ่เล็ดลอดออกมาจากอกเสื้อภายใน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกถึงเหน็บไว้ที่ข้างเอวอีก เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งของภายในถุงเหล่านี้คงเต็มไปด้วยเครื่องประดับและอัญมณีมากมาย…
ทั้งเรื่องตัณหา, แก้วแหวนเงินทอง และสิ่งไร้สาระอีกมากมาย…
หากจะมีความโลภแทบทุกแขนงที่มนุษย์คนนึงพึงมี เช่นนั้นมันสมควรเกิดมาเป็นมนุษย์มากกว่าจิตวิญญาณแห่งยุทธภัณฑ์!
เซียถงถึงกับพูดไม่ออกสักคำ ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งค่อยส่ายหัวด้วยความหน่ายใจเหลือเกิน นอนคว่ำหน้าอีกครั้ง แอบสอดส่องสถานการณ์ภายในห้องนอนของไป๋หลี่อวี๋ต่อ เพราะนางมีลางสังหรณ์ว่า ภาพฉากสนุกๆ กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าแล้ว
ร่างของไป๋หลลี่อวี๋อิงถูกพันผ้าไพรสีขาวนอนนิ่งอยู่บนเตียง และไม่นานเกินรอ นางก็เห็นเฉียนอวิ๋งที่เดินทางเข้ามาพร้อมกับสาวรับใช้ ทันทีที่เจอหน้า ดวงตาคู่นั้นของนางพลันเปี่ยมล้นแววอาฆาตพวยพุ่งออกมาทันควัน โดยไม่พูดไม่จาใดๆ อีกต่อไป นางคว้าแส้สีดำยาวข้างเตียงขึ้นมาเฆี่ยนใส่เฉียนอวิ๋งโดยตรง
ซือโม่ตื่นตัวฉับพลัน ยกมือคว้าแส้ยาวสีดำที่ไป๋หลี่อวี๋อิงวาดรัศฟันฟาดใส่เข้าดังหมับ สีหน้าการแสดงออกของเฉียนอวิ๋งแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มุ่งสายตาไปยังไป๋หลี่อวี๋อิงจับจ้องมองอย่างมีนัยแปลกๆ กล่าวถามขึ้นว่า
“องค์หญิง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“ยังแสร้งโง่อีกงั้นรึ!? เจ้าเป็นเพียงองค์รัชทายาทจากแดนบ้านนอกแห่งหนึ่งเท่านั้น กล้าดีอย่างไรถึงคิดลลองของกับข้าผู้นี้?!!”
คู่คิ้วถัดแน่นเข้าหาแทบติดชน ไป๋หลี่อวี๋อิงในยามนี้เดือดดาลสุดขีดเกินจะหักห้าม
“ข้ามิทราบว่าองค์หญิงหมายความอย่างไร? โปรดชี้แจงว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
เฉียนอวิ๋งเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายเจือแววแปลกใจ เอ่ยถามออกไปประโยคหนึ่ง
“หึ! องค์รัชทยาทบ้านนอก กล้าลอบทำร้ายข้าองค์หญิงผู้นี้ เกรงว่าไม่อยากมีชีวิตกลับไปเหยียบบ้านเกิดตัวเองแล้วกระมัง?”
ไป๋หลี่อวี๋อิงสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด พยายามออกแรงสะบัดข้อมือกลับคืน หวังจะถอดถอนแส้ยาวสีดำกลัวเข้ามา ทว่าซือโม่กลับรั้งจับเอาไว้แน่นหนา จะออกแรงมากปานใดแส้ยาวกลับไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
“ไอ้ทาสสุนัข! ปล่อยมือ!”
ไป๋หลื่อวี๋อิงคำรามใส่ซือโม่ด้วยความโกรธจัด
อย่างไรก็ตามซือโม่ยังคงไม่ปล่อย มือข้างขวายังคงกุมจับแส้ยาวสีดำในมือไว้แน่นหนา แต่ดวงตาคู่นั้นเคลื่อนหันเข้าหาเฉียนอวิ๋ง คล้ายกับว่ากำลังรอฟังความเห็นจากอีกฝ่าย
“ซือโม่ ปล่อย”
เฉียนอวิ๋งกล่าวตอบซือโม่ จากนั้นก็หันไปมองไป๋หลี่อวี๋อิงและกล่าวว่า
“องค์หญิง ข้าเกรงว่าอาจเกิดความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงนั่งคุยกับดีๆ เถิด”
“ฟุบ!”
ทันทีที่ซือโม่ปล่อยมือคลายออก ไป๋หลี่อวี๋อิงก็เหวี่ยงแส้ยาวฟาดเข้าใส่เฉียนอวิ๋งต่อเนื่องโดยตรง
พอเห็นความไร้เหตุผลและโง่เง่าเกินทานทนของไป๋หลี่อวี๋อิง ดวงตาคู่นั้นของซือโม่ก็ถึงกับลุกเป็นไฟ คู่เท้ากระตุกวูบกระโดดขึ้นกลางเวหา คว้าแส้ยาวสีดำพร้อมกระตุกข้อมือกระชากดึงเข้าหาอย่างแรง ซึ่งอาศัยแรงดึงที่เปี่ยมล้วนพลังวังชาของซือโม่ ก็ถึงขนาดฉุดร่างของไป๋หลี่อวี๋อิงไถลล้มลงกับพื้นทันที
“ซือโม่!”
เฉียนอวิ๋งหันขวับจับจ้องไปที่ซือโม่เชิงส่งสายตาติเตียนเข้าใส่ และรีบก้าวเท้าตรงออกไปช่วยผยุงร่างของไป๋หลี่อวี๋อิงที่ล้มคะมำจากพื้นขึ้นมา แต่ชั่ว่ขณะที่ปลายนิ้วของเขาแตะสัมผัสลงบนหัวไหล่ของไป๋หลี่วอี๋อิง นางก็ลุกขึ้นพรวดพราดขึ้นมากะทันหัน วาดฝ่ามือหวดเข้าใส่ใบหน้าเฉียนอวิ๋งอย่างแรง
เสี้ยวขณะก่อนที่ฝ่ามือจะลุมาถึง ร่องรอยความโกรธฉายแวบผ่านดวงตาของเฉียนอวิ๋ง ทันใดนั้นเอง เขาก็ยกฝ่ามือขึ้นฟาดฝ่ามือเนียนขาวบริสุทธิ์ของไป๋หลี่อวี๋อิงที่พุ่งเข้าใส่อย่างไร้ปรานี เสียงตบปะทะดัง ‘ปัง!’ ทำเอาร่างของวนางโซเซจนเสียศูนย์และล้มคะมำลงกับพื้นเป็นระลอกสอง เฉียนอวิ๋งแสร้งปั้นหน้าตื่นตระหนก กล่าวเจือแววประหลาดใจว่า
“องค์หญิง เมื่อครู่มียุงเกาะอยู่บนฝ่ามือของท่าน แต่ข้าช่วยตบมันไปแล้ว”
พูดจบ เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมาออกจากใต้อกเสื้อ และนำมาเช็ดไม้เช็ดมือข้างหนึ่งที่โดนตบอย่างแรง จากนั้นก็ออกแรงกระชากแขนนางให้ลุกขึ้นจากพื้น
“เจ้าองค์รัชทยาทบ้านนอก! ช่างอวดดีเกินไปแล้ว! กล้าดีอย่างไรถึงใช้ความรุนแรงกับข้า!!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงในยามนี้รู้สึกโกรธแค้นจนจุกแน่นอยู่ในทรวงอก จับจ้องเฉียนอวิ๋งเขม็งราวกับว่าดวงตาคู่นั้นจะพ่นไฟออกมาได้แล้ว นางสะบัดมือปัดแขนอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่แยแส
แต่เฉียนอวิ๋งยังคงพยายามยื่นมือไม้ออกไปจับสัมผัสอีกฝ่าย มองหน้าอีกฝ่ายจริงจังราวกับมีอะไรผิดแปลก และกล่าวขึ้นว่า
“อย่าเพิ่งขยับ มีอะไรติดหน้าของท่านอยู่ น่าเสียดายนักแล ที่มีสิ่งสกปรกติดอยู่บนโฉมหน้าที่งดงามปานนี้”
หลังจากนั้นเขาก็คลายมือปล่อยไป๋หลี่อวี๋อิงไป พลางส่ายหัวด้วยความเศร้าโศก
ไป๋หลี่อวี๋อิงตกใจมิใช่น้อยกับท่าทางการแสดงออกเช่นนั้นของเฉียนอวิ๋ง และเมื่อเห็นว่า จู่ๆ อีกฝ่ายก็ปั้นสีหน้าจริงจังขึ้นผิดหูผิดตา นางก็เริ่มอดกังวลมิได้ ยกมือขึ้นลูบไล้สัมผัสใบหน้าด้วยความตื่นตระหนก
“องค์หญิง ท่านลองส่องกระจกดูเองเถิด”
มือทั้งสองข้างของเฉียนอวิ๋งย้อนกลับไปไขว้หลัง กล่าวน้ำเสียงจริงจังมากออกไป
ด้วยความอดสงสัยคลายใจไม่ได้ ไป๋หลี่อวี๋อิงรับเดินไปยังหน้ากระจกบานหนึ่ง ส่องมองใบหน้าพินิจมองอย่างตั้งใจ ทว่าหลังจากส่องดูเป็นเวลานาน นางกลับไม่พบเห็นความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าเลย ในเวลานี้อดใจหันไปเอ่ยถามเฉียนอวิ๋งอีกครามิได้ว่า
“มีอะไรติดอยู่บนใบหน้าของข้า?”
“องค์หญิงไม่เห็นหรอกรึ?”
เฉียนอวิ๋งสวนตอบด้วยคำถามกลับไปทันที
ได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่อวี๋อิงจึงหันไปถามสาวรับใช้ที่อยู่เคียงข้างว่า
“เจ้าเป็นอะไรติดอยู่บนใบหน้าของข้าหรือไม่?”
สาวรับใช้ในวังเหล่านั้นเหม่อมองใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงอยู่สักครู่ใหญ่ แลเห็นว่าไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จึงส่ายหัวตอบ
“แล้วอะไรกันแน่ที่ติดอยู่บนใบหน้าของข้า?”
ไป๋หลี่อวี๋อิงกัดฟันกรอด หันไปกล่าวถามเฉียนอวิ๋งเจือน้ำเสียงหงุดหงิด ทางด้านเซียถงที่แอบมองอยู่บนหลังคาก๋อดสงสัยมิได้เช่นกัน พยายามเพ่งสายตามองไปยังใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงอยู่ตั้งหลายครา ทว่าแม้แต่นางเองก็ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
เฉียนอวิ๋งยกสองมือไขว้หลังอย่างสง่าผ่าเผย เหลือบหางตามองไป๋หลี่อวี๋อิงด้วยความดูถูกพร้อมกล่าวว่า
“มีสันดานเสียๆ ของท่านเองติดอยู่บนใบหน้า ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า องค์หญิงที่งดงามปานนี้แท้จริงแล้ว เนื้อในกลับเน่าเฟะราวกับกองอุจจาระ”
คล้อยหลังกล่าวจบประโยค เขาก็กล่าวต่อทันทีอีกว่า
“มิใช่เพียงกองอุจาระธรรมดาทั่วไป แต่ยังเป็นกองอุจจาระของหนูตามกองขยะ!”
ทันทีที่ซียถงได้ยินเช่นนั้น นางเกือบหลุดขำระเบิดหัวเราะลั่นออกมาดังๆ กองอุจจาระนี่ว่าหนักแล้ว แต่ยังไป๋หลี่อวี๋อิงไปเปรียบเทียบซะต่ำตมไม่เหลืออย่างกองอุจจาระของหนูในกองขยะ! กล่าวได้ว่า ด่าหนึ่งคน สั่นสะเทือนไปทั้งราชวงศ์!