ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 196 จงคุกเข่า
ตอนที่196 จงคุกเข่า
ทันทีที่ไป๋หลี่อวี๋อิงได้ยินดังนั้น นางก็โกรธจัดจนเกือบอาเจียนออกมาเป็นเลือดคำโต นางชี้หน้าเฉียนอวิ๋ง คำรามลั่นมากเพลิงโทสะปะทุล้นว่า
“เจ้าองค์รัชทายาทบ้านนอก! นี่ชักจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว! เช่นนั้นก็ดี! ข้าจะไปรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เสด็จพ่อรับฟัง! ไม่เพียงแต่จะทำลายจุดตันเถียนของเจ้าให้พิการ ข้าจะตัดศีรษะของเจ้าเสียบประจาน แล้วนำกองทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิตงหลี่เข้าบุกทะลวง ทำลายล้างแดนตะวันตกของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
“ถึงแม้ว่าจักรวรรดิตะวันตกของเราจะเป็นเพียงดินแดนเล็กๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ทว่ากลับมีกองกำลังทหารที่แกร่งกล้า และเหล่าอาชาที่ทานทน คงไม่ง่ายนักที่จะข่มเหงรังแกกันโดยง่าย แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ตราบใดที่จักรวรรดิตงหลี่เปิดฉากโจมตีจักรวรรดิตะวันตกของพวกเรา จักรวรรดิซีเฟิงที่ระยะนี้กำลังบ้าคลั่งอย่างยิ่งกับการล่าอาณานิคม จะบุกโจมตีจักรวรรดิตงหลี่โดยตรง หากไม่เชื่อองค์หญิงก็ลองดูได้ เพียงว่าพลาดแล้วพลาดเลย บางที…จักรวรรดิตงหลี่อันยิ่งใหญ่อาจต้องถึงคราวล่มสลายเพียงเพราะความเอาแต่ใจของใครบางคน”
เฉียนอวิ๋งกล่าวตอบสีหน้าเคร่งขรึม
เขาไม่อยากต่อปากต่อคำไร้สาระกับไป๋หลี่อวี๋อิงอีกต่อไปแล้วให้เสียเวลา องค์หญิงนางนี้มีจิตใจที่ดำสนิทและคับแคบเกินไป สุดท้ายนี้เขาจงใจทิ้งท้ายประโยคคำพูดทำร้ายจิตใจแรงๆ ออกไปสักครา เพราะถึงแม้ว่าจักรวรรดิตะวันตกของเขาเป็นเพียงดินแดนเล็กๆ แห่งหนึ่งในทวีปเทียนหลาง แต่อย่างไร เขาก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งแดนตะวันตก คงไม่สามารถทนอยู่เฉยต่อคำกล่าวที่สุดแสนดูหมิ่นของนางได้
สีหน้าการแสดงออกของไป๋หลี่อวี๋อิงพลันซีดเผือดลงชั่วขณะ ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปสักพักใหญ่ เห็นเพียงเนินอกทรงโตสั่นกระเพือมขึ้นลงอยู่สักพัก เสียงหายใจดังถี่ระรัว แสดงให้เห็นว่านางในขณะนี้รู้สึกโมโหขนาดไหน
“ในเมื่อองค์หญิงไม่ต้องการพูดคุยกับข้าดีๆ เช่นนั้นก็ขอตัวลา”
เฉียนอวิ๋งโค้งศีรษะประสานมือให้ไป๋หลี่อวี๋อิงเล็กน้อย และหมุนตัวเดินจากออกไปพร้อมกับซือโม่ที่ติดตามอยู่ท้ายหลัง
ไป๋หลี่อวี๋อิงทอดสายตามองแผ่นหลังของทั้งคู่ที่กำลังจากออกไป กัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ จนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงสลับดำ แต่ทันทีทันใดคล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ พลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนมุมปาก นางตะโกนไล่หลังดังขึ้นว่า
“เจ้าองค์รัชทายาทบ้านนอก มิใช่ว่าเดินทางมาตงหลี่ครั้งนี้ก็เพื่อร้องขอให้ข้าหลอมกลั่นโอสถให้หรอกรึ? หรือจะละทิ้งจุดหมายไปแล้วจริงๆ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสียงฝีเท้าของเฉียนอวิ๋งพลันหยุดชะงักทันใด และซือโม่เองที่เดินติดตามท้ายหลังพลันชะงักไปเช่นกัน ทั้งสองหันขวับจับจ้องไปที่ไป๋หลี่อวี๋อิงโดยพร้อมเพรียง
“ข้าสามารถช่วยเจ้าหลอมกลั่นโอสถที่ต้องการได้”
เห็นปฏิกิริยาของสองคนนั้น ไป๋หลี่อวี๋อิงเชิดคางขึ้นสูง แสยะยิ้มเปล่งวาจาออกมาอย่างเย่อหยิ่ง
“แล้วองค์หญิงต้องการสิ่งใด?”
เฉียนอวิ๋ง หรี่สายตาแคบจับจ้องอีกฝ่าย แต่จะอย่างไร นางเพิ่งถูกเขากลาวสบประมาทดูถูกอย่างรุนแรง ดังนั้นสิ่งที่นางต้องการย่อมหาใช่สิ่งที่ธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“ก็ง่ายมาก จงคุกเขาต่อหน้าข้า และโขกศีรษะขอโทษสามครั้ง!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงแสยะยิ้มชั่วกล่าวเสนอด้วยความสะใจ ในเมื่อองค์รัชทยาทบ้านนอกนี่มันหยิ่งผยองนักหนา เช่นนั้นนางจะฆ่ามันด้วยความหยิ่งหยองของมันนี่แหละ!
แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่เขาเดินทางมายังจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้ ก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากไป๋หลี่อวี๋อิงให้หลอมกลั่นโอสถให้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ เขาจะต้องคุกเข่าลงต่อหน้านาง กล่าวคือจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มี และปล่อยให้นางย่ำยีจนไม่เหลือดี
เฉียนอวิ๋งมองหน้าอีกฝ่าย พินิจครุ่นคิดหนัก
“ข้าทราบดี เจ้าต้องการจะร้องขอให้ข้าหลอมกลั่นโอสถให้แก่น้องชายของเจ้า แต่ดูท่าแล้ว…การที่ลังเลเช่นนี้ หรือเป็นไปได้ไหมว่า ชีวิตของน้องชายจะสำคัญน้อยกว่าศักดิ์ศรีที่เจ้ามี? ช่างเป็นน้องชายที่น่าสงสัยเหลือเกิน ที่ทั้งชีวิตของเขามีค่าน้อยเสียยิ่งกวาศักดิ์ศรีโง่ๆ ของเจ้า!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงยกมือป้องปากพลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ต่อหน้าเฉียนอวิ๋งที่ในขณะนี้สีหน้ามืดทมิฬไปโดยสมบูรณ์
“หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้วก็คือพลาดตลอดไป และอย่าคิดว่าจะกล่อมให้เสด็จพ่อมาช่วยคุยให้ เพราะต่อให้เสด็จพ่อมาด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่มีวันหลอมกลั่นโอสถให้เจ้าอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียนอวิ๋งก็ยิ่งเผยแสดงสีหน้าลังเลหนักข้อขึ้น
“ยังไม่รีบคุกเข่าอีกรึ?”
ไป๋หลี่อวี๋อิงแสยะยิ้มเยาะ เชิดศีรษะขึ้นสูงอย่างหยิ่งผยอง ใครก็ตามที่ต้องการโอสถที่นางหลอมกลั่นย่อมต้องคุกเข่าขอร้องทั้งสิ้น เพราะในฐานะราชาโอสถ ตัวนางย่อมีศักดิ์สถานะสูงส่งเหนือหัวผู้ใด
เอาล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ว่าศักดิ์ศรีในฐานะองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตะวันตก กับชีวิตของน้องชายของเขา สิ่งใดจะสำคัญกว่า? หากยอมคุกเข่า ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจทั้งหมดขององค์รัชทายาทก็จะสูญสิ้นไม่เหลือดี แต่ถ้าไม่ยอมคุกเข่า ก็เตรียมนับถอยหลังเฝ้ารอวันตายของน้องชายได้เลย คงไม่อยากจะเห็นภาพฉากเช่นนั้นจริงหรือไม่?
เฉียนอวิ๋งจับจ้องไปทางไป๋หลี่อวี๋อิงที่กำลังเชิดหน้าสูงอย่างภูมิอกภูมิใจ มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นจนสั่นเทา ประกายสายตาเผยร่องรอยดิ้นรนไม่เต็มใจยิ่งยวด
“ข้าขอคุกเข่าแทนองค์รัชทายาท!”
ซือโม่รีบออกตัวแทนเฉียนอวิ๋ง สิ้นเสียงกล่าวจบ เขาก็ทิ้งคู่เข่ากระแทกพื้นอยู่ต่อหน้าไป๋หลี่อวี๋อิงโดยไม่ลังเล
“สิ่งที่ข้าต้องการคือ ให้องค์รัชทายาทบ้านนอกของเจ้าเป็นคนคุกเข่า หาใช่ทาสสุนัขไร้ค่าอย่างเจ้า!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงปรายหางตามองซือโม่ที่คุกเขาอยู่บนพื้นด้วยทีท่าหยามเหยียด ก่อนจะเคลื่อนสายตาหาทางเฉียอวิ๋งและกล่าวต่อว่า
“หากเจ้าไม่ยอมคุกเข่า เช่นนั้นก็กลับไปดูน้องชายของเจ้าตายเสีย!”
“ข้า…ข้าตกลง! ข้าจะคุกเข่า!”
เฉียนอวิ๋งกัดฟันแน่น ข่มตาตอบด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจ
“ก็ดี! คุกเข่า!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงแสยะยิ้มแสนชั่วร้าย ทอสายประกายสายตาคาดหวังจับจ้อง นางมีสถานะเป็นองค์หญิง ส่วนเฉียนอวิ๋งมีสถานะเป็นองค์รัชทยาท กล่าวตามความเป็นจริง ทั้งสองมีอัตลักษณ์ศักดิ์ที่เท่าเทียมกัน แถมจะตัวเฉียนอวิ๋งด้วยที่มีสถานะสูงกว่าเล็กน้อย และหากเฉียนอวิ๋งยอมคุกเข่าขอขมา นั่นหมายถึงตัวเขาได้ยอมรับแล้วว่า ตนมีสถานะศักดิ์ที่ต่ำต้อยกว่านาง
“องค์รัชทายาท ไม่! อาการป่วยขององค์ชายน้อย พวกเรากำลังหาหนทางรักษาอยู่! อีกไม่นานจะต้องช่วยได้เป็นแน่!”
ซือโม่คำรามเสียงดังสนั่นด้วยความวิตกกังวลสุดขีด
“ต่อให้ข้าจะเป็นผู้ใดในสายตาของทุกคน องค์ชายก็ดี องค์รัชทายาทก็ดี แต่สุดท้ายนี้ สำหรับข้าเองแล้ว ก็เป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งที่รักน้องชายมากกว่าสิ่งใด และตัวข้าคงทนดูน้องชายตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เช่นกัน ขอเพียงน้องชายของข้าหายจากอาการป่วย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดข้าก็ยินดี…”
เฉียนอวิ๋งหันมาส่งยิ้มให้ซือโม่ทีหนึ่ง และลึกลงไปในแววตาคู่นั้น ในเวลานี้กลับสงบนิ่งปราศจากคลื่นอารมณ์ใดผันผวนอีกต่อไป แต่เปี่ยมล้นไปด้วยแววความมุ่งมั่น
ถึงแม้จะรู้สึกไม่เต็มใจเพียงใด แต่เพื่อช่วยชีวิตน้องชายของเขา ก็ยินดีที่จะทำ
เฉียนอวิ๋งสะบัดชายเสื้อคลุมยาวของตน เตรียมตัวจะย่อขาคุกเข่าลงต่อหน้าไป๋หลี่อวี๋อิงทันที
“องค์รัชทายาท!”
จือโม่ส่งเสียงร้องครวญออกมาด้วยความขมขื่นใจยิ่งกว่าอะไรดี ได้แต่จับจ้องไปที่เฉียนอวิ๋งที่กำลังจะตั้งท่าคุกเข่า สองมือกำหมัดแน่น เส้นเลือดสีเขียวฟ้าปูดโปนหนาขึ้นมาบนหน้าผาก และทันใดนั้นน้ำตาลูผู้ชายก็รินไหลออกมา
ไป๋หลี่อวี๋อิงเหล่สายตากดต่ำ มองลงไปยังร่างตรงหน้าที่กำลังตั้งท่าคุกเข่าอย่างช้าๆ ชั่วขณะเดียวกัน รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากมุมปากของนาง ภายในใจพลางคิดว่า จำต้องสั่งสอนเจ้าองค์รัชทายาทจากบ้านนอกคนนี้ให้รู้จักที่ต่ำที่สูงสักครา
แต่ขณะที่หัวเข่าทั้งสองข้างของเฉียนอวิ๋งจะติดพื้นอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีใครบางคนทะยานพุ่งลงมาจากบนหลังคาสูง เอื้อมมือไปคว้าไหล่เสื้อของเขาและกระชากดึงกลับขึ้นมาในท่ายืนอีกครั้ง
เบื้องหน้าของเฉียนอวิ๋งในเวลานี้ ปรากฏเป็นร่างชุดดำสวมหน้ากากคลุมทั้งหน้าอยู่คนหนึ่ง ลึกลงไปภายใต้หน้ากากปรากฏสายตาคู่งามที่กำลังจับจ้องมาทางเขาแนบแน่น เปล่งเสียงใหญ่กล่าวขึ้นว่า
“บุรุษเปี่ยมกตัญญูผู้มีค่าดั่งทองพันชั่งอย่างเจ้า จะไปคุกเข่าให้เศษสวะเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“เจ้าคือ…?”
เฉียนอวิ๋งเพ่งสายตาจับจ้องไปยังร่างชุดดำผู้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นมา แต่จุดที่ดึงดูดสายตาที่สุดคงหนีไม่พ้น เรือนร่างที่โค้งเว้าเย้ายวน เนื่องจากชุดสีดำดังกล่าวเป็นแบบรัดรูปจึงทำให้เห็นทรวดทรงชัดเจนเป็นพิเศษ ทั้งยังนัยน์ตาใสบริสุทธิ์น่าหลงใหลนั่นอีก