ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 198 ความสงสัย (2)
ตอนที่198 ความสงสัย (2)
สีครามฟ้าประดุจน้ำหมึก นัยน์ตาดั่งหยกใสพิสุทธิ์ถูกฉาบย้อมด้วยแสงจันทร์เจ้ายามรัตติกาล ร่างหนึ่งยืนตระหง่านช่างทรงคุณวุฒิน่าเคารพ เปรียบเสมือนทั่วทั้งบริเวณที่เขายืนอยู่ถูกบรรยากาศอันน่าอัศจรรย์รายล้อม กลายมาเป็นโลกส่วนตัวของเขาเอง เมื่อสัมผัสการมาถึงของเซียถงได้ เขาจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองแช่ม
พริบตาต่อมา ความงดงามเกินพรรณนาเหลือคนาก็ผลิบานต่อหน้าต่อตาเป็นประจักษ์ ทุกการเคลื่อนไหวของเซียถงช่างงดงามเสมือนสวรรค์ฟ้ารังสรรค์ขึ้นมา นี่หรือคือความงามแห่งฟ้าดิน
รอยยิ้มสีบางเผยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของอาหานราวกับบุปผาเบ่งบาน เขาเฝ้ามองสตรีงามตรงหน้าที่เดินเข้ามาใกล้ภายใต้แสงจันทร์เจ้าสีนวลสาดส่อง คู่คิ้วคลายอ่อนลงพร้อมความอ่อนโยนที่ผุดขึ้นในจิตใจ
ก่อนหน้าที่จะมาบึงแห่งนี้ เซียถงได้ทำการชำระล้างจุดด่างดำบนใบหน้าของตนจนเกลี้ยงแล้ว
“ข้าคิดว่าวันนี้เจ้าจะไม่มาเสียแล้ว”
อาหานส่งยิ้มให้เซียถง
“เจ้ามารอที่นี่นานรึยัง?”
เซียถงเอ่ยถามพลางกวาดสายตาสำรวจทั่วตัวอีกฝ่าย
“ไม่นานนักหรอก เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”
อาหานมองหน้าเชยชมเล็กน้อยและกล่าวตอบ
“หากคราวหน้าคราวหลัง ข้ามิได้ปรากฏตัวขึ้นมาภายในเวลาที่กำหนดกันไว้ เจ้าด็ไม่จำเป็นต้องรอข้า”
แลเห็นไอน้ำจากตัวหมอกชั้นหนาสีขาวที่เกาะตามเส้นผมและเสื้อผ้าของอาหาน เซียถงก็พึงทราบทันทีว่า อีกฝ่ายน่าจะรอนางค่อนข้างนานมากแล้ว และก็ยังคงยืนรอต่อไปจนนางมาถึงในที่สุด พบเห็นเช่นนี้ก็อดรู้สึกผิดมิได้ จึงกล่าวเพิ่มเสริมไปว่า
“อันที่จริงวันนี้ข้ามิได้ตั้งใจจะมาที่นี่ แต่เพราะกังวลวาเจ้าจะมารอเก้อ จึงมาตรวจสอบให้แน่ชัดสักหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของอาหานก็เป็นประกายขึ้นทันควัน เคลื่อนสายตามองหน้านางอย่างเร่าร้อน เปล่งเสียงหนักแน่นตอบไปว่า
“หากเจ้าไม่มา ข้าก็จะรอจนกว่าเจ้าจะมา”
เซียถงสัมผัสได้ทันทีถึงสายตาที่เร่าร้อนของอีกฝ่ายที่แผ่มาหา ชายคนนี้เป็นพวกคิดอย่างไรมักจะแสดงออกมาทางสายตาชัดที่สุด นางถึงกับก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างอดมิได้ ทว่าระหว่างที่สืบเท้าก้าวถอยหลังนั้นเอง ก็กลับถูกมืออีกฝ่ายช้อนเอวคว้าเข้าไปในอ้อมกอดของเขาในทันใด
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เซียถงมองตาขวางเจือร่องรอยตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน ตรงกันข้ามกับสายตาของอาหานในยามนี้ที่ดูอ่อนโยนกว่าปกติ
“เหตุผลที่เจ้ามาที่นี่ เพราะว่ากลัวข้าจะยืนรอเก้องั้นรึ?”
อาหานจ้องหน้าไม่กะพริบ พลางระบายยิ้มหวานเอ่ยถามออกไปอย่างมีความสุข
เซียถงพยักหน้าเบาๆ ไปตามตรง เพราะนางกลัววว่าอีกฝ่ายจะยืนรอจนเก้อจริงๆ นั่นแหละ ถึงรีบเดินทางมาดู
“อะไรที่ทำให้คิดว่าข้ายังคงรอคอยเจ้าอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ประกายตาคู่นั้นของอาหานส่องสว่างไสวเกินปกติ มิทราบเพราะเหตุใดนางถึงไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากสายตาของชายตรงหน้าได้เลย แต่กลับรู้สึกอบอุ่นเสียด้วยซ้ำ
แต่จะว่าไป… มันก็ใช่ อะไรกันที่ทำให้นางคิดว่า เขายังคงเฝ้ารอตนจวบจนตอนนี้? นางไม่สามารถตอบได้เช่นกัน บางทีอาจจะไม่มีเหตุผลรองรับด้วยซ้ำ แต่นางทำไปเพียงเพราะสัญชาตญาณเท่านั้น อย่างไรเสีย กระทั่งตัวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า เพราะเหตุใดที่ทำให้นางคิดว่า อีกฝ่ายยังรอคอยตนอยู่?
ทันทีทันใด ห้วงความคิดในหัวของเซียถงก็ขาวโพลนไปหมด ส่ายหัวตอบด้วยความมึนงงเล็กน้อย และกล่าวตอบไปตามความจริงว่า
“ข้าเองก็มิทราบ เพียงรู้สึกได้ว่า เจ้าน่าจะรอข้าอยู้ที่นี่ก็เท่านั้น ข้า…ข้าจึงมาดูให้แน่ใจ”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ งั้นรึ?”
อาหานขยับตัวเข้าแนบชิดกับเรือนร่างอรชรสวยของนาง เหม่อมองใบหน้าสวยของนางที่ยามนี้มีแต่ความงุนงงฉงนใจ หนึ่งความคิดแวบขึ้นมาทันควัน เหตุใดนางถึงน่ารักปานนี้? และยังไม่ทันที่จะครุ่นพินิจอันใดต่อ เขาก็โน้มศีรษะเข้าประกบจูบเข้ากับริมฝีปากสีแดงรสหวานของนาง
ทว่าก่อนที่ริมฝีปากทั้งสองจะประกบแนบชิดติด เซียถงฉวยเสี้ยวจังหวะนั้นโบกมือปัด สาดผงพิษสีขาวเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายโดยตรง และรีบเร่งฝีเท้าไสววูบ ตีระยะร่นถอยออกมาประดุจศรธนูพุ่ง แล่วค่อยหยุดเคลื่อนไหวลงเมื่อรู้สึกได้ว่าปลอดภัยแล้ว
ผงสีขาวที่เกาะติดอยู่บนใบหน้าของเขา ทำให้เขามีอาการคันรุนแรง ซึ่งอาหานมิสามารถทนความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ได้นานนัก จึงรีบเร่งเร้าพลังลมปราณระดับชั้นจักรพรรดิครามฟ้าโดยไว กระแสพลังอันมหาศาลสีเทาเงินเข้าหล่อเลี้ยงโคจรอยู่ทั่วใบหน้าอยู่หลายรอบ ก่อนที่อาการคันจะทุเราลง และดูเหมือนว่าผงพิษชนิดดังกล่าวจะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต เพียงสร้างความทุกข์ทรมานชั่วคราวเท่านั้น
“อาหาน หากเจ้ากล้ารุกจู่โจมข้าอีกเช่นนี้ คราวหน้าเตรียมโดนข้าวางยาพิษได้เลย!”
เซียถงระยะยืนห่างเกือบสิบฉือ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา
อาหานแตะสัมผัสใบหน้าของตนเจือสีหน้าขมขื่นอยู่หนึ่งส่วน สตรีงามนางนี้มักทำให้เขาใจเต้นแรงได้อยู่เสมอจริงๆ หลายต่อหลายครากระทั่งตัวเขาเองก็มิได้ตั้งใจ เพียงว่าทุกอย่างมันตอบสนองไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น กว่าจะตระหนักรู้ตัว นางก็มักจะสรรหาวิธีต่างๆ จนผละออกห่างจากอ้อมแขนของเขาได้ตลอด
อาหานพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง
“นอกจากนี้ ข้าจะไม่มาล่าสัตว์อสูรที่นี่อีกแล้วในอนาคต เช่นนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรอข้าอีก”
เซียถงเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายและพูดออกไป
“ไฉนเป็นเช่นนั้นล่ะ? เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่รึ? ข้าขอโทษ…ข้าขอสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว”
อาหานถึงกับปลายคิ้วตกจ๋อยไปทันที ดวงตาเปี่ยมแววขอร้องล้นปลี่ออกมา
“เปล่า เพราะอีกไม่กี่วันข้าจะต้องเดินทางไปที่จักรวรรดิอื่น”
เซียถงกล่าวตอบไปตามตรง เพราะวันงานประลองของสี่จักรวรรดิใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้าแล้ว นางจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในตอนนี้ บำเพ็ญตบะเพื่อยกระดับพลังลมปราณอย่างขยันขันแข็ง ส่วนวิญญาณสัตว์อสูรที่เสี่ยวฮั่วต้องกิน ช่วงนี้ก็มิได้ขาดแคลนอันใด ดังนั้นนางคงไม่ได้มีโอกาสกลับมายังบึงภายในส่วนลึกของป่าสนแห่งนี้อีกสักพักใหญ่ๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น อาหานปั้นสีหน้าเจือสงสัยเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ลอบพยักหน้ากับตัวเองอย่างลับๆ และมิได้เอ่ยปากถามอะไรอีกเลย กล่าวเพียงว่า
“อืม เข้าใจแล้ว”
นี่เขาไม่รู้สึกเศร้าหน่อยรึ? อย่างน้อยก็ควรถามว่าออกไปไหน?
กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่รู้สึกเศร้าแทนก็คือเซียถง แต่ก็เล็กน้อยมากจนมิได้ใส่ใจอะไรนัก ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ นางจึงหยิบโอสถฟื้นชีพออกมาจากใต้อกเสื้อ และโยนไปให้อาหาน กล่าวว่า
“ช่างเถอะ แต่ที่ผ่านมาขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นสิ่งของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ”
อาหานรับโอสถฟื้นชีพที่อีกฝ่ายขว้างมาไว้ กดสายตามองเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพียงเก็บมันไว้ในแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็เงยหน้ามองเซียถงราวกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบไป
เซียถงที่เห็นภาพฉากตรงหน้าก็ถึงกับตะลึงงัน ทั้งที่เห็นโอสถฟื้นชีพถูกหยิบออกมาจากมือของนาง ทว่าอาหานกลับมิได้รู้สึกสงสัยในตัวตนของนางหน่อยรึ? อย่างน้อยที่สุดก็ไม่คิดจะเอ่ยถามกันเลยรึว่า ไปเอาโอสถฟื้นชีพมาจากไหน?
เมื่อพิจารณากับปฏิกิริยาอันนิ่งเฉยของอีกฝ่าย จะเห็นได้ชัดว่า เขาดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยที่นางสามารถหยิบโอสถอะไรแบบนี้ออกมาให้กันได้ง่ายๆ
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เขาจะรู้ว่านางเป็นใคร? มาสอดแนนตัวนางงั้นรึ? แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร? เพียงหนึ่งอึดใจต่อมา หลายร้อยความเป็นไปได้ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเซียถง จนหรี่ตาแคบจ้องอาหานตาเขม็งด้วยความระแวดระวังที่เพิ่มเป็นเท่าตัว