ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 199 โอสถเก้าทองคำ
ตอนที่199 โอสถเก้าทองคำ
“ส่วนนี่เป็นของเจ้า ยามที่ตกอยู่ในอันตรายก็จงหักมันทิ้ง”
อาหานหยิบแท่งหยกสีขาวประมาณครึ่งนิ้วออกจากแขนเสื้อยาว ตรงเข้าหาเซียถงพร้อมส่งมอบให้
เห็นอีกฝ่ายขยับเขยื่อนเข้ามาใกล้ เซียถงอดถอยหลังมิได้ไปหลายก้าว ตระหนักได้ดังลนั้นอาหานจึงหยุดฝีเท้าลงและเอ่ยปากซ้ำอีกคราอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“เจ้ารับสิ่งนี้ไป เมื่อใดที่ตัวเจ้าอยู่ในอันตรายก็จงหักมันทิ้ง”
เซียถงมองแท่งหยกสีขาวในมืออีกฝ่าย แต่ก็ส่ายหัวกล่าวตอบไปว่า
“ไม่ ข้าไม่ต้องการ”
“เพราะอันใด?”
ได้ยินดังนั้น อาหานถึงกับปั้นสีหน้าตะลึงงัน เพราะเหตุใดนางถึงปฏิเสธ หากมีแท่งหยกอันนี้อยู่ติดตัว อย่างน้อยก็สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง
“ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้ามากแล้ว ไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณใดๆ อีก”
เซียถงกล่าวจบก็หันหลังเดินจากออกไป ย่างเท้าสืบได้สองก้าว นางหันศีรษะมากล่าวเพิ่มเสริมกับอาหานอีกว่า
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า และสักวันข้าจะหาโอกาสชดใช้คืนแน่นอน”
สิ้นเสียงกล่าวจบ นางก็เดินจากไปท่ามกลางค่ำคืนรัตติกาล
อาหานยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ทอดสายตาเหม่อมองไปยังทิศทางที่เซียถงลาจาก คล้อยหลังไม่นานเขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งและอันตรธานหายตัวไป
เช้าวันรุ่งขึ้น
ท้องนภาเหนือฟ้ายังพลบค่ำไม่สางดี แต่เฉียนอวิ๋งและซือโม่ต่างปรากฏตัวกันพร้อมหน้า กำลังเฝ้ารอการมาถึงของร่างชุดดำเมื่อคืนวาน ทั้งยังเตรียมสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถมาพร้อม สำหรับเฉียนอวิ๋ง เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้หลับนอน ภายในจิตใจมีแต่ใบหน้าอันงดงามของสตรีนางนั้นที่เคยพบเจอเมื่อสองสามวันก่อน กับดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์ภายใต้หน้ากากของร่างชุดดำเมื่อคืน ยิ่งคิดเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมั่นใจว่า ทั้งสองอาจจะเป็นคนๆ เดียวกัน
ดังนั้นแล้ว พอถึงเวลารุ่งสาง เขาจึงรีบเดินทางมาที่นี่พร้อมกับสมุนไพรนานาชนิดในมือโดยมีซือโม่ที่กำลังยืนกอดอกอยู่ท้ายหลัง กำลังรอคอยร่างชุดดำปรากฏตัวอย่างใจจดใจจ่อ
“องค์รัชทายาท ร่างชุดดำนางนั้นที่เจอเมื่อคืนโผล่มาจากไหนไม่รู้ แล้วเราจะเชื่อใจได้อย่างไร?”
คู่คิ้วถักแน่นขมวดแทบติดชน ซือโม่เอ่ยถามเจือน้ำเสียงติดกังวล
“ในเมื่อไป๋หลี่อวี๋อิงไม่ยินยอมหลอมกลั่นโอสถให้ ตอนนี้พวกเราก็ทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับนสตรีนางนั้น หากทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เราก็แค่เสียสมุนไพรที่รวบรวมมาไม่มาก แต่หากนางเป็นนักหลอมโอสถจริงๆ เราจะสามารถช่วยชีวิตองค์ชายน้อยได้”
เฉียนอวิ๋งยืนอยู่ในตรอกมุมมืด ทอดสายตากวาดมองผู้คนที่สัญจรไปมา ทีท่าค่อนข้างกระตือรือร้น สำหรับการมาถึงของสตรีงามนางนั้น เขาค่อนข้างคาดหวังเป็นอย่างมาก เพราะวันนี้นางคงไม่สวมหน้ากากมาหาในช่วงที่ผู้คนเดินกันพลุกพล่านขนาดนี้จริงไหม?
“พวกเจ้าสองคนคงรอกันนานแล้ว ทิ้งสมุนไพรมาให้ข้าได้เลย”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดที่เฉียนอวิ๋งและซือโม่กำลังเฝ้าคอยอยู่อย่างสงบ ทันใดนั้นก็มีเด็กหนุ่มผมยาวสลวยสีเงินประกายในชุดคลุมสีแดงเพลิงปรากฏกายต่ออยู่เบื้องหลังของพวกเขา
“นี่เจ้าเป็นใคร?”
เฉียนอวิ๋งหันขวับจับจ้องไปทางเด็กหนุ่มผมสลวยสีเงินคนนี้เจือแววประหลาดใจ เด็กคนนี้ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของพวกเขาตั้งแต่ตอนไหน? ทั้งยังมีสีผมที่แปลกใจมากจริงๆ และพินิจจากรูปลักษณ์โดยรวม จะดูอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่า มิใช่สตรีนางนั้น
“นายท่านของข้าสั่งให้มารับสมุนไพรที่ใช้หลอมกลั่นโอสถของพวกเจ้า อยากให้นายท่านของข้าหลอมกลั่นโอสถให้นัก ก็รีบส่งสมุนไพรพวกนั้นมา”
ความอดทนของหลิวซูค่อนข้างต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กล่าวจบจึงแบมือกวักเรียกอย่างไม่ทนนัก
“แล้วไฉนนายท่านของเจ้าถึงไม่เดินทางมาเอง?”
ซือโม่เอ่ยถามปนน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก ร่างชุดดำเมื่อคืนจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากไหนไม่ทราบ ถึจะช่วยรักษาศักดิ์ศรีขององค์รัชทยาทเขาได้ก็ตามที แต่เพราะท่าทีจองหองเย็นชาเหล่านั้น กลับทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะกับตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจกันไปกันใหญ่
“ไม่ว่านายท่านของข้าจะเดินทางมาเองหรือไม่ ก็หาใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องใส่ใจ”
คล้อยได้ยินน้ำเสียงติดไม่พอใจเช่นนี้ของซือโม่ สีหน้าการแสดงออกของหลิวซูพลันมืดทมิฬลงทันตา เหลือบสายตามองอีกฝ่ายด้วยความรำคาญ
“หากนายท่านของเจ้าเอาแต่ซ่อนตัวอยู่แบบนี้ ข้าเกรงว่า คงเป็นคนที่เชื่อใจไม่ได้ หรือตั้งใจจะหลอกเอาสมุนไพรจากมือพวกเราไปตั้งแต่แรกแล้ว?”
“ใครจะไปสนสมุนไพรราคาถูกในมือของพวกเจ้ากัน? หากไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า เสียเวลาข้าจริงๆ”
หลิวซูปั้นหน้าเบื่อหน่ายหนักข้อขึ้น กล่าวจบก็หันหลังเดินจากออกไปโดยตรง ตัวมันเคยเป็นถึงอาวุธคู่กายของเซียนบรรพกาลในยุคโบราณ สมุนไพรล่ำค่าเทียมฟ้ามากมาย ก็เคยเห็นผ่านตามาตั้งมาก กับแค่สมุนไพรไม่กี่ต้นในมือของเฉียนอวิ๋ง มันย่อมไม่เห็นค่าอยู่แล้ว
“ได้โปรดรอก่อน!”
เฉียนอวิ๋งรีบไล่ติดตามหลินซูไปทันที และยิ่งเห็นอีกฝ่ายตีฝีเท้ารีบเร่งด้วยความรำคาญ เขาเองก็เร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน เอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปคว้าแขนเสื้อสีแดงเพลิงและกล่าวด้วยความกังวลว่า
“อย่าใส่ใจกับผู้ติดตามของข้ามากนัก โปรดนำสมุนไพรพวกนี้กลับไปให้นายท่านของเจ้าเถิด”
จู่ๆ หลิวซูก็ชะงักฝีเท้าหยุดลง สะบัดมือข้างนั้นออกจากแขนเสื้อของตนอย่างแรง เหลือบสายตามองเฉียนอวิ๋ง ปั้นหน้ารังเกียจกล่าวว่า
“อย่าแตะต้องเสื้อผ้าของข้า!”
“เจ้านี่ชักจะบังอาจเกินไปแล้ว กล้าดีเยี่ยงไรถึงพล่ามวาจาหยาบคายเช่นนี้ต่อนายท่านของข้า!”
เห็นหลิวซูทำตัวหยิ่งหยองจองหองปานนี้ต่อหน้าองค์รัชทายาทของเขา ซือโม่รู้สึกหงุดหงิดใจเกินจะหักห้าม เตรียมยกมือจับกระชับกระบี่คาดเอวไว้แน่น และกำลังจะชักออกมาฟันหลิวซูโดยทันที
“ซือโม่!”
เฉียนอวิ๋งตะโกนหยุดซือโม่โดยไว เอื้อมมือข้างหนึ่งไปกดด้ามกระบี่บนเอวของอีกฝ่ายเพื่อห้ามปราบ ก่อนจะหันมามองหลิวซูต่อ
“ได้โปรดนำสมุนไพรเหล่านี้ไปมอบให้แก่นายท่านของเจ้าด้วยเถิด”
เฉียนอวิ๋งยื่นสมุนไพรในมือยื่นให้ต่อหน้าหลิวซู ทั้งยังกล่าววาจานอบน้อมต่ออีกว่า
“ผู้ติดตามของข้าเป็นพวกพูดไม่ค่อยเก่ง โปรดอย่าได้นำพามาใส่ใจ”
หลิวซูเคลื่อนสายตาจ้องหน้าซือโม่อยู่สักครู่ จึงค่อยรับสมุนไพรเหล่านั้นมาและกล่าวว่า
“ขอแนะนำว่าให้เจ้าเปลี่ยนผู้ติดตามเถอะ”
“นี่เจ้าหนู…”
ซือโม่โกรธจัดจนหน้าแปรสภาพเปลี่ยนเป็นสีมืดขรึม ชั่วขณะอึดใจต้องการจะลงมือเคลื่อนไหวเพื่อสั่งสอนเด็กน้อยไม่รู้สัมมาคาราวะคนนี้สักหนึ่งบทเรียน แต่แลเห็นเฉียนอวิ๋งที่ส่งลอบสายตาอยู่เคียงข้าง เขาจึงไม่สามารถอะไรอื่นได้นอกจากพยายามระงับความโกรธภายในใจลง
“มิทราบว่าเจ้าต้องการหลอมกลั่นโอสถชนิดใด?”
หลิวซูเอ่ยปากถามเฉียนอวิ๋งไปคำหนึ่ง
“โอสถเก้าทองคำ ต้องรบกวนนายท่านของเจ้าแล้ว”
เฉียนอวิ๋งกล่าว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะกลับไปบอกนายท่านให้หลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำ”
หลิวซูพยักหน้า และเดินหันหลังจากออกไปพร้อมกับสมุนไพรวัตถุดิบเหล่านั้น
เฉียนอวิ๋งเหม่อแผ่นหลังของหลิวซูจนลับสายตา ปริปากอ้าออกเล็กน้อยและถอนหายใจพลูเสียงยาวออกมาเบาๆ
“องค์รัชทายาท เจ้าหนูคนนี้ต้องโกหกแน่นอน ข้าจะให้ข้าไล่ตามอีกฝ่ายไปหรือไม่?”
ซือโม่ก่นเสียงเย็นเปล่งดังขึ้น จับจ้องหลิวซูที่จากไปเสมือนมีเปลวไฟฉายออกมาจากดวงตา หากมิใช่เพราะองค์รัชทยาทที่ห้ามตนเอาไว้ ป่านนี้คงได้จัดหนักสั่งสอนเจ้าหนูนั่นไปแล้ว
“เขาไม่ได้โกหกแน่นอน พวกเราทำได้แค่รอโอสถจากนายท่านของเด็กคนนั้น”
เฉียนอวิ๋งทอดสายตามองทิศทางที่หลิวซูเดินจากไป ประกายตาพลันฉายแสงริบหรี่จากเบื้องลึกนัยน์ตาคู่นั้นของเขา