ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 2 ทะลุมิติสู่โลกอีกใบ
ตอนที่2 ทะลุมิติสู่โลกอีกใบ
จักรวรรดิตงหลี่ ณ สวนหลังเรือนแห่งจวนเสนาบดี
กระแสความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วร่างเสมือนถูกรถชนจนกระดูกแตกละเอียด โฉบแล่นผ่านห้วงสมองขึ้นมา เซียถงพยายามลืมตาขึ้นมาเพื่อถ้ำสำรวจสถานการณ์ยามนี้ แต่ก็ต้องพบว่า ต่อให้จะพยายามลืมตาขนาดไหน เปลือกตากลับหนักอึ้งคล้ายถูกเหล็กกล้าทับอยู่ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้เลยสักนิด
สามวันต่อมา ในที่สุดเซียถงก็สามารถลืมตาขึ้นได้ แสงแดดเจิดจ้าจรัสสาดใส่ ลอดผ่านช่องหน้าต่างทำให้นางตื่นตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นค่อยกวาดสายตาไปมองโดยรอบ บริเวณทางเดินเข้าเป็นทรงโบราณ ทั้งโต๊ะไม้ เก้าอี้ และเตียงก็เช่นกัน…
ทันทีทันใด นางก็สัมผัมได้ถึงกระแสความเจ็บปวดที่ไหลทะลักเข้าสู่จิตใจ ยิ่งกว่าเขื่อนกักเก็บน้ำแตก ความทรงจำอันไม่คุ้นเคยกรอกเทเข้าสู้สมองของนางไม่มีหยุดหย่อน
ที่แท้หลังจากที่นางตายลง วิญญาณดวงนี้มิได้แตกสลายหายไปไหน แต่กลับทะลุมิติสู้ห้วงเวลาหนึ่ง ณ ดินแดนที่ไม่เคยรู้จักที่มีชื่อว่า ทวีปเทียนหลาง โดยบังเอิญ และยังได้ข้ามภพมาอยู่ในรางหญิงสาวที่มีชื่อสกุลเดียวกับนางอีกด้วย! เซียถง คุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีในจักรวรรดิตงหลี่
นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลายมาเป็นที่เคารพนับถือของคนหมู่มาก!
ซึ่งในโลกแห่งนี้มีขุมพลังวิเศษที่เรียกว่า ลมปราณ ส่วน ‘เซียถง’ อายุสิบห้าปี เป็นอัจฉริยะสาวแห่งเส้นทางการบำเพ็ญตบะในจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้ ทว่ากลับถูกผู้คนหัวเราะและดูแคลนตั้งแต่ยังเด็ก เพียงเพราะนางมีใบหน้าอัปลักษณ์ ปล่อยให้ผู้อื่นด่าทอกดขี่อยู่เหนือหัว ไม่กล้าตอบโต้หรือทำอะไรใดๆ เก็บงำและอดทนอย่างเงียบงัน
และครั้งนี้เพื่อช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ เซียถงถึงกับเสี่ยงชีวิตพุ่งออกไปเป็นโล่มนุษย์ป้องกันคมดาบมรณะที่โจมตีเข้าใส่ ส่งผลให้จุดตันเถียนของตนถูกทำลายและบาดเจ็บสาหัสจนตายลงในที่สุด
จวบจนตอนนี้ องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ในเวลานั้นเอง นอกประตูเรือนก็มีหญิงสาวในชุดสีเขียวมรกตเดินตรงเข้ามา พอเห็นเซียถงที่ฟื้นสติขึ้นก็พลันตื่นเต้นดีใจถึงขีดสุด และรีบวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตากล่าวว่า
“คุณหนู! ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว! ฮือๆ …ข้ากลัวแทบตาย…กลัวว่าคุณหนูจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย…”
หญิงสาวนางนี้เป็นสาวรับใช้คนสนิทของเซียถง ชื่อว่า อิ๋งเอ๋อร์
เซียถงเพียงเค้นเสียง ‘อืม’ ออกไปคำหนึ่ง ปรากฏจากคลื่นอารมณ์ใดปรากฏ
อิ๋งเอ๋อร์ตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็คิดกับตัวเองไปว่า อาการบาดเจ็บของคุณหนูคงหนักเอาการพูดอะไรไม่ค่อยได้มากมายนัก
“คุณหนู นี่เป็นยาสมุนไพรที่ข้าเพิ่มต้มเสร็จ รีบดื่มตอนที่ยังร้อนเจ้าค่ะ”
อิ๋งเอ๋อร์ยากชามของเหลวซึ่งเป็นยาสมุนไพรขึ้นมาตรงหน้าเซียถง เตรียมป้อนให้นางรับประทาน
เซียถงเอียงคอหลบเล็กน้อย และพยายามจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงจัดท่าทางให้ดีกว่านี้ แต่เป็นเพราะนางออกแรงมากเกินไป จึงส่งผลให้บาดแผลฉกรรจ์บริเวณท้องน้อยปริแตกจนธารเลือดสดสีแดงฉานไหลออกมาอีกครา ทำเอาอิ๋งเอ๋อร์เบิกตาโตแทบปลิ้น ร้องอุทานเสียงดังด้วยความตกใจยิ่ง
“คุณหนู! รีบนอนลงเถิดเจ้าค่ะ! ท่านหมอกล่าวไว้ว่า ตอนนี้คุณหนูบาดเจ็บสาหัส ยังนั่งไม่ได้!”
เซียถงไม่เอ่ยตอบอันใด พยายามลุกขึ้นอยู่ในท่านั่งโดยไม่สนใจแผลสดที่ปริแตก ทั้งยังยื่นมือออกไปคว้าชามยาสมุนไพรต้มมาจากมืออิ๋งเอ๋อร์ จากนั้นก็เป่าไปสักทีสองทีก่อนจะยกขึ้นกระดกจนหมดไม่เหลือแม้นสักหยดเดียว
ชีวิตของนางที่ผ่านมาเป็นอิสระไม่มีพันธะต่อผู้ใด และนางไม่ชอบให้คนอื่นมาดูแลเช่นนี้ กล่าวได้ว่า ไม่ชอบให้ใครก็ตามเข้าใกล้นางเลยมากกว่า
อิ๋งเอ๋อร์มองชามเปล่าที่ถูกยื่นยัดกลับเข้ามาในมืออย่างโง่งมว่างเปล่า ใจหนึ่งก็ตกตะลึงไปมิใช่น้อย คุณหนูของนางเป็นอะไรไป? ไฉนถึงให้ความรู้สึกที่ผิดประหลาดปานนี้? ราวกับว่า…คุณหนูของนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย!
เซียถงสังเกตเห็นสายตาที่ตื่นตะลึงของอีกฝ่าย ก็เลยเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้าว่า
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
ทั่วทั้งใบหน้าของอิ๋งเอ๋อร์ค่อนข้างซีดขาวเกิดจากเม็ดเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงเท่าที่ควร บริเวณขอบตาคล้ำหมอง ดวงตาปรากฏสีแดงระเรื่อ ลักษณ์เช่นนี้เป็นที่ชัดเจนว่า หญิงสาวนางนี้ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาสักระยะใหญ่แล้ว ดังนั้นก็ควรไปพักเอาแรงซะ
แต่อิ๋งเอ๋อร์กลับส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า
“คุณหนู ท่านเพิ่งฟื้นสติได้ไม่นาน ควรต้องมีคนคอยดูแลอยู่ตลอดเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกให้เจ้าไปพักผ่อนก็คือไปพักผ่อน หากเจ้าล้มพับหมดสติขึ้นมาอีกคน แล้วใครจะดูแลข้า? หากมีเรื่องอันใดข้าค่อยเอ่ยเรียกเจ้า”
เซียถงไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซากวกวนเท่าไหร่นัก
ดวงตาคู่นั้นของอิ๋งเอ๋อปรากฏน้ำตาเอ่อล้นออกมา นางพยักหน้าและหันหลังจากออกไปพร้อมความโศกเศร้า
เซียถงเฝ้ามองเงาร่างของอิ๋งเอ๋อร์จากออกไป พลางถอนหายใจเสียงแผ่วเบาคำหนึ่งออกมา ตั้งแต่ตนได้รับบาดเจ็บจวบจนตอนนี้ ทั่วทั้งจวนก็มีแค่อิ๋งเอ๋อร์คนเดียวที่คอยมาดูแล หลายวันที่ผ่านมาสาวรับใช้นางนี้ไม่เคยได้นอนเลยสักงีบ เอาแต่เฝ้าดูอาการอยู่ข้างเตียงทั้งวี่วัน ดูแลเอาใจใส่อยู่ตลอด
มีเพียงอิ๋
เอ๋อร์คนเดียวเท่านั้นที่จริงใจต่อนาง
ส่วนบิดาของนางอย่างเซี่ยอี้เฉินทีแรกก็ดูเหมือนจะเป็นห่วงนาง ทว่าในความเป็นจริงกลับเย็นชาอย่างยิ่ง หากมิใช่เพราะพรสวรรค์ในการบำเพ็ญตบะของนาง อีกฝ่ายเองคงไม่สนใจบุตรสาวคนนี้มากมายนัก หลังจากจุดตันเถียนของเซียถงถูกทำลาย สันดานที่แท้จริงของบิดาคนนี้ก็ค่อยๆ เผยออกมา
อย่างไรก็ตามแต่ สำหรับเซียถงแล้ว นางไม่ได้เหลียวแลหรือให้ความสนใจเลยด้วยซ้ำ ช่วงชีวิตก่อนหน้า ในฐานะสายลับนักฆ่า นางคุ้นชินกับความเหงามานานมากแล้ว
นอกจากจะสนิทสนมกับมู่เฟยแล้ว นางก็ไม่มีสหายข้างกายเลย แม้แต่คนที่ไว้ใจได้เพียงหนึ่งเดียวก็ยังหักหลังทรยศกันได้ลงคอ
หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม สภาพร่างกายของเซียถงก็หายดีเป็นปกติ
เซียถงในขณะนี้นั่งอยู่บนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จับจ้องใบหน้าของตนเองผ่านกระจกสีทองแดง โครงหน้าและทรงตาทรงจมูกเหมือนกับนางในชาติก่อนหน้าไม่มีผิด ทว่าสิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปก็คือ ใบหน้าที่สวยงามไร้ที่ติประดุจหยก
เพราะใบหน้านี้กลับเต็มไปด้วยจุดด่างดำทั่วทั้งแก้วทั้งสองข้าง มันครอบคลุมไปเกือบทั่วทั้งหน้า
ว่ากันว่านี่คือปาน
ฟังว่าตอนที่มารดาของนางคลอดนางออกมา กระบวนการผ่านไปอย่างยากลำบาก เกือบขาดอากาศหายใจเสียชีวิต
เซียถงขมวดคิ้วแน่น น่าเสียดายที่ใบหน้านี้…
นอกเรือนพักปรากฏแสงตะวันเจิดจ้า เซียถงสวมชุดแพรพรรณสีขาวรัดรูปเดินเล่นอยู่ที่ลานหน้าเรือน ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจกับความทรงจำเก่าของร่างนี้ และค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับที่แห่งนี้
ในความทรงจำที่ได้รับ นี่เป็นทวีปที่แสนวิเศษอย่างยิ่ง ทั้งยังเจริญรุ่งเรือนอย่างมาก
คล้อยหลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างแล้ว เพราะความทรงจำเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกินว่า โลกใบนี้มันจะเป็นอย่างไร?
เมื่ออิ๋งเอ๋อร์ได้ยินว่า เซียถงต้องการจะออกไปเดินเล่น นางเองก็ดีใจอย่างมาก นึกเสียไปเองว่า คุณหนูน่าจะกำลังเสียใจไม่น้อยเนื่องจากจุดตันเถียนถูกทำลาย แต่ดูท่าจะคิดผิดไป คุณหนูของนางมองโลกในแง่ดีกว่าที่คิด
คู่นายบ่าวเดินทางออกจากจวนเสนาบดี ทั้งสองเดินเตร่ไปตามท้องถนนภายในเมือง
เมืองเฟิ่งหลี่เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิตงหลี่ ซึ่งสถาปัตยกรรมทั่วทั้งจักรวรรดิแห่งนี้แตกต่างจากที่เซียถงจินตนาการเอาไว้ มันหาใช่สถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณ แต่เป็นแนวขุนนางชนชั้นสูงแบบกรุงโรมโบราณผสมกับยุคกลางทาฝั่งยุโรป
บนพื้นถนนถูกปูด้วยหินสีเขียวอ่อนสะอาดสะอ้าน ภายในร้านค้าสองข้างทางมีสินค้าแปลกตาวางขายอยู่มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้เซียถงไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
ท้องถนนสายนี้อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่สัญจรจนไปมาอย่างคับคั่ง
แต่พอทุกคนที่เดินผ่านไปมาเห็นเซียถง ต่างก็พากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบ นินทากันลับหลัง บ้างก็ชี้นิ้วใส่มาทางนาง สีหน้าดูถูกดูแคลน บางคนก็ดูเห็นอกเห็นใจ หรือไม่ก็หัวเราะเยาะใส่…
“คุณหนูเจ้าค่ะ…พวกเรากลับเข้าจวนก่อนดีหรือไม่?”
อิ๋งเอ๋อร์ที่กลัวว่า เซียถงจะทนรับแรงกดดันไม่ไหว ก็เลยเอ่ยปากเสนอขึ้นมา
จุดตันเถียนของคุณหนูถูกทำลาย ข่าวการสูญเสียพรสวรรค์และพลังบำเพ็ญตบะทั้งหมดได้กระจายไปทั่วจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้แล้ว
เซียถงกวาดสายตาสวนผู้คนรอบข้างที่จับจ้องมาทางนาง ราวกับมิได้เกรงกลัวหรือใส่ใจเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังก้าวย่างเดินเตร่ต่อไปเสมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดินต่ออีกหน่อยแล้วกัน”
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีสุ้มเสียงประชดประชันดังกึกก้องขึ้นมา
“โอ้? นั่นมันอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรตงหลี่มิใช่รึ? หุหุ…”