ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 20 อัครมหาเสนาบดี (2)
ตอนที่20 อัครมหาเสนาบดี (2)
“กลับไม่ต่างกัน”
ไปหลี่ฮานขานตอบพร้อมรอยยิ้ม เคลื่อนสะบัดพัดในมืออรชรนุ่มนวล สวยสง่าประดุจเทพเซียนอมตะร่ายรำ
เย่หลีเทียนพ่นลมหายใจใส่เฮือกใหญ่ไปคราหนึ่ง ไม่คิดจะเข้าไปพัวพันเสียเวลากับมันอีกต่อไป หันมองไปที่เซียถงปรบมือพร้อมกล่าวชื่นชมว่า
“คุณหนูเซีย ฝีมือช่างหาญกล้า”
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ มิทราบว่าเจ้ากำลังลองวรยุทธ์หรือต้องการสังหารข้ากันแน่? ถึงขั้นสำแดงใช้อาวุธนักฆ่าเคลือบพิษร้ายปานนี้? หรืออยากเห็นทักษะถอนพิษของข้ากระมัง?”
เซียถงหนี่สายตาหดแคบ กล่าวถากถางสุ้มเสียงเย็นชาใส่
“แล้วใครจะไปคิดว่า จะมีหญิงสาวบางคนสามารถหยิบใช้ใบไม้ริมทางทำร้ายผู้อื่นได้ด้วย? อย่าได้ถือโทษสาวน้อย ข้าเพียงต้องการทำความรู้จักเท่านั้น”
เซียถงสีหน้าการแสดงออกยังเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน ทางฝั่งเย่หลีเทียนโค้งคำนับเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษ
แต่ก็แน่นอนท่าทางของเซียถงช่างเฉยเมยยิ่งนัก ราวกับว่านางไม่เห็นสิ่งใด
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่สุภาพเกินไปแล้ว สาวน้อยนางนี้แสดงพฤติกรรมหยาบคายต่อท่านก็หลายหน หลังจากนี้ข้าจะอบรมนางให้ดีกว่านี้ โปรดอย่าถือโทษโกรธกัน”
เซียอี้เฉินเพิ่งกลับมาได้สติฟื้นตัว สิ่งแรกที่ทำคือรีบเร่งโค้งคำนับเพื่อขอโทษเย่หลีเทียน ทั้งนี้รีบหันไปกล่าวสวัสดีทักทายกับไป๋หลี่ฮานในเวลาต่อมา
“เสนาบดีเซี่ย เรื่องระหว่างเราค่อยกล่าวกันต่อยังมิสาย เห็นว่ามีแขกคนอื่นมาเยี่ยมเยือน เช่นนั้นข้าไม่อยากรบกวนแล้ว”
เย่หลีเทียนส่งยิ้มให้เซียอี้เฉินเล๋กน้อย ก่อนจะลาจากออกไปทันที และแน่นอว่าไม่ลืมปลายสายตาเหลือบมองไปที่เซียถงเป็นการทิ้งท้าย
เมื่อเห็นว่าเย่หลีเทียนออกไปแล้ว ไป๋หลี่ฮานเองก็กล่าวคำอำลาขอตัวไปเช่นกัน มิทราบว่าสองคนนี้เป็นอะไร ก่อนไปก็เหลือบสายตามองเซียถงเช่นกัน
“ถงเอ๋อร์ สำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ พ่อก็อยากให้เจ้าจดจำเป็นบทเรียนและอย่ากระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก ส่วนพรุ่งนี้พ่อจะขอให้บ่าวรับใช้ไปช่วยทำความสะอาดเรือนเก่า แล้วพาท่านแม่ของเจ้าย้ายเข้าไปอยู่”
คล้อยหลังจากที่เย่หลีเทียนและไป๋หลี่ฮานแยกย้ายจากไป เซี่ยอี้เฉินก็หันมายิ้มแย้มกล่าวกับเซียถง พอเห็นว่าขุมพลังความแข็งแกร่งของลูกสาวคนนี้กลับมาดังเดิมแล้ว คำพูดคำจาในยามนี้ช่างนุ่มนวลผิดกับก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าเหตุการณ์ณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น
การตัดสินใจให้ท่านแม่ของเซียถงย้ายจากกระท่อมเรือนเล็กแสนซ่อมซ่อมาเป็นเรือนเก่าที่เคยอยู่ นับว่าเป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับเซียถง ดังนั้นนางจึงมิได้คัดค้านอะไร
“แต่ท่านพี่ ฮูหยินหลี่นางป่วยเป็นโรคติดต่อร้ายแรง หากท่านต้องการย้ายนางไปที่นั่นอาจทำให้ผู้คนอื่นติดเชื้อร้ายได้!”
ฮูหยินรองเฉิงรีบกล่าวคัดค้าน
“เช่นนั้น ทั้งเจ้าและคนอื่นๆ ล้วนต้องรู้จักรักษาเนื้อรักษาตัวให้มากขึ้น แล้วข้าขอเตือนไว้ก่อน อย่าทำให้ถงเอ๋อร์กับแม่ของนางต้องลำบากใจอีกในอนาคต!”
เซี่ยอี้เฉินถลึงตาใส่ฮูหยินรองเฉิงไปทีหนึ่งก่อนเดินกลับเข้าตัวเรือนพักของตัวเองไป
แม้ว่าฮูหยินรองเฉิงจะไม่เต็มใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่าย นางเองก็ไม่กล้ารบเร้าดื้อดึงใดๆ อีกต่อไป ทำได้เพียงจำใจเดินติดตามกลับเข้าเรือนพักไป
“ท่านพ่อ เย่หลีเทียนนับเป็นบุคคลอันตราย ไม่น่าคบหาสัมพันธ์ หากท่านร่วมมือกับเขา ในไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องลอบแทงข้างหลังท่านเป็นแน่!”
เซี่ยหลู่เฟิงตะโกนไล่หลังเซียอี้เฉินไปเสียงดังลั่น เพราะทันทีที่ได้เห็นเย่หลีเทียนอยู่ในจวนแห่งนี้ เขาก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่า มีเหตุประการใดอีกฝ่ายถึงปรากฏตัวภายในนี้ และในที่สุด คล้อยหลังได้ฟังประโยคทิ้งทวนสุดท้ายของเย่หลีเทียน มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขาคิดถูก ท่านพ่อในขณะนี้กำลังถูกล่อลวงซื้อใจอยู่จริงๆ
เซียอี้เฉินชะงักหยุดฝีเท้าชั่วขณะ เบือนหน้าหันกลับมามมองเซี่ยหลู่เฟิงและเอ่ยกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำลงไปก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง”
หากคอยเฝ้าติดตามเย่หลีเทียนอยู่ท้ายหลัง ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจะไม่มีทางได้รับภัยอันตรายใดๆ จากศัตรูรอบข้างแน่นอน
“ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เซียถงมองไปยังคราบเลือดบนชุดเสื้อผ้าของเซี่ยหลู่เฟิง
เซี่ยหลู่เฟิงส่ายหัว กล่าวกับนางว่า
“ข้าสบายดี ต้องขอโทษด้วยสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”
พึงทราบว่าเรื่องในวันนี้ล้วนมิได้ข้องเกี่ยวกับเซี่ยหลู่เฟิงใดๆ เซียถงจึงส่ายหัวเอ่ยตอบเสียงเบาไปว่า
“ขอบคุณที่ช่วยปกป้องข้าจากแส้นั่น”
ที่แส้หางเหล็กนั่นมิได้ฟาดฟันเข้าใส่นาง ทั้งหมดเป็นเพราะเซียหลู่เฟิง ถึงแม้ตัวนางจะมีปัญญาหลบได้ไม่ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้สึกชื่นชมก็คือ ความกล้าหาญที่ตัดสินใจเข้าช่วยเหลือโดยไม่มีลังเล ความปรารถนาดีในครั้งของเขาได้จำจดไว้ในใจของเซียถงไว้เรียบร้อยแล้ว
ตามที่เซียอี้เฉินกล่าวเอาไว้ ฮูหยินหลี่ได้ย้ายออกจากกระท่อมโสโครกหลังน้อยที่พร้อมถล่มพังลงได้ทุกเมื่อ และเข้ามาอยู่อาศัยในเรือนขนาดกลาง พื้นถูกปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีสว่างสดใส อาณาเขตค่อนข้างกว้างขวาง แม้ตำแหน่งที่ตั้งออกจะห่างไกลจากเรือนหลักไปบ้าง ทว่าโดยรวมแล้วนับว่าดีกว่าเดิมไม่รู้กี่สิบทวีเท่า นอกเหนือจากนี้ เซียอี้เฉินยังจ้างวานหมอผู้มีชื่อเสียง เพื่อมาดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยของฮูหยินหลี่เป็นการส่วนตัวอย่างใกล้ชิด
เมื่อเห็นว่าท่านแม่ของนางมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เซีนถงก็มุ่งความสนใจสำหรับการเตรียมตัวเข้าประลองในงานชุมนุมลมปราณที่ใกล้จะเปิดฉากขึ้นเร็วๆ นี้ ต่อมาเซียถงถึงกับประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน ที่รู้ว่าเซี่ยหลู่เฟิงเองก็ยังสมัครเข้าร่วมงานประลองนี้อีกด้วย พอลองครุ่นคิดพินิจดูให้ดีกลับหาใช่เรื่องแปลกไม่ เพราะเขาเองก็ปรารถนาที่จะพัฒนาพลังฝีมือให้แกร่งกล้าขึ้นเช่นกัน
สามวันต่อมา งานประลองชุมนุมลมปราณได้เริ่มต้นขึ้น สถานที่จัดการแข่งขันตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัสในเมือง มีสนามประลองย่อยทั้งหมดยี่สิบจุด ผู้ชนะของแต่ละสนามเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป เพื่อเฟ้นหาสองคนสุดท้ายในการประลองรอบชิงชนะเลิศ
หมายเลขสนามประลองและลำดับรอบการแข่งขันจะมีเกณฑ์ตัดสินผ่านการจับฉลากซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ในเวลานี้เอง โดยรอบสนามประลองทั้งหมดถูกห้อมล้อมไปด้วยวงแหวนอัฒจันทร์ที่เต็มไปด้วยฝูงชนจับกลุ่มสนทนากันอย่างสนุกสนาน และเหล่าผู้เข้าร่วมการประลอง
“ในที่สุดงานชุมนุมลมปราณอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิตงหลี่ของเรา ซึ่งสามปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง บัดนี้ได้เวลาบรรจบกันอีกคราแล้ว! เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ร่วมการประลองทุกท่านมีกะจิตกะใจแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น จึงมีของรางวัลหายากมาล่อใจ สำหรับผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งจะได้รับเห็ดหลินจือมรกตไปครอง! และแน่นอนว่าจุดประสงค์ของงานชุมนุมลมปราณครั้งนี้ยังคงเหมือนเดิม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะการต่อสู้ของเหล่าผู้บำเพ็ญตบะในจักรวรรดิ ดังนั้นกฎเหล็กข้อสำคัญคือ ห้ามพรากชีวิตคู่ต่อสู้”
“นี่ก็ถึงเวลาอันควรแล้ว ผู้เข้าประลองทุกท่านสามารถเข้าประจำสนามประลองของตนเองได้เลย เพื่อรอสัญญาณการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น”
เสียงป่าวประกาศผ่านลมปราณอันลึกล้ำดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งเขาผู้นี้ก็คือชายชราในชุดสีเทาที่เป็นคนทดสอบลมปราณของเซียถงในวันนั้น
คล้อยหลังกล่าวตบ เขาก็หยุดพูดพร่ำโบกมือไปทีหนึ่งและนั่งลงประจำที่ แต่ละสนามประลองล้วนมียอดฝีมือคอยตรวจสอบตาเขม็งขึงขัง เพื่อป้องกันมิให้ผู้เข้าประลองต่อสู้กันถึงตาย
เซียถงจับฉลากได้สนามประลองหมายเลขหนึ่ง ซึ่งนางก็พาอิ๋งเอ๋อร์ไปยังสนามหมายเลขหนึ่งด้วยกัน บรรดาฝูงชนรอบข้างต่างหลีกให้ พวกเขาเหล่านี้เองก็กำลังสนทนาอย่างจ้าละหวั่นเช่นกันว่า งานชุมนุมลมปราณครั้งนี้นางจะคว้าอันดับหนึ่งเป็นสมัยที่สองได้หรือไม่? แน่นอนว่าหัวข้อร้อนแรงดังกล่าวย่อมถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
“คุณหนู คราวนี้ต้องเป็นท่านที่คว้าอันดับหนึ่งอีกคราเป็นแน่! สามารถสร้างบาดแผลให้แก่ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ได้ถึงสองครั้น ยังมีใครหน้าไหนเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อีก?”
อิ๋งเอ๋อร์ยังกล่าวกับเซียถงอีกว่า
“ตั้งแต่ครั้งนั้น ฮูหยินรองกับคุณหนูรองก็ไม่กล้ากลั่นแกล้งพวกเราอีกต่อไป!”