ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 201 ชักชวนหยุนซี (1)
ตอนที่201 ชักชวนหยุนซี (1)
อืม…เช่นนั้นแล้วจะขอให้ใครมาช่วยดีล่ะ? เซียถงครุ่นคิดกับตัวเองอยู่สักครู่
“ทางที่ดีเจ้าอย่าไปหาเรื่องมังกรเฒ่าตัวนั้นเลยดีกว่า ต่อให้จะนำใช้วิธีใดเจ้าก็หาใช่คู่มือของมันเลย”
หลิวซูก้าวฉับเดินไปหยุดลงตรงหน้าเซียถงและกล่าวแนะนำให้ฟัง
เซียถงเหลือบสายตามองหลิวซูเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถึงกับต้องประหลาดใจ เพราะตอนนี้หลิวซูหน้าซีดเซียวลงไปหลายส่วน นัยน์ตาคู่สีแดงประดุจทับทิมสั่นไสวราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง นางอดใจเอ่ยถามออกไปมิได้ว่า
“เจ้าคงรู้จักกับมังกรบรรพกาลตนนั้นที่คอยเฝ้าเพลิงพิภพเก้าดุษณีกระมัง?”
“ก็สหายรู้จักเก่า”
หลัวซูยักไหล่แสร้งทำเป็นไม่แยแสใส่ใจ
“ข้าไม่อยากไปทะเลาะกับมันก็เท่านั้น…”
ถึงจะกล่าวออกไปแบบนั้น แต่เซียถงสังเกตเห็นร่องรอยความกลัวที่ฉายผ่านดวงตาคู่นั้นของหลิวซูอย่างชัดเจน
หลัวซูกำลังหวาดกลัวในตัวมังกรบรรพกาลตนนั้น?
“มังกรเฒ่าตนนั้นมันชอบกินเนื้อมนุษย์ยิ่งกว่าอะไร แต่ตอนนี้นางอ่อนแอลงมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะอาศัยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ปราบมันลงได้”
หลิวซูกล่าวเสริมกับเซียถงออกไปอีกประโยคหนึ่ง
“นายท่าน มังกรบรรพกาลตนนั้นถือเป็นของแสลงที่สุดสำหรับกระบี่ทัณฑ์ฟ้า เพราะเพลิงมังกรที่พ่นออกมา มันสามารถหลอมละลายกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้มอดไหม้ได้ ดังนั้นหลิวซูจึงกลัวมันเป็นพิเศษ”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบายต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หลัวซูแสดงทีท่าแสลงใจเช่นนี้ออกมาให้เซียถงได้รับฟัง
ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง เซียถงพยักหน้าทำความเข้าใจและหันไปเอ่ยถามหลิวซูว่า
“เจ้ากลัวมังกรบรรพกาลตนนั้นใช่ไหม? หากกลัว ข้าจะได้ไม่พาเจ้าไปที่แห่งนั้น”
“มังกรเฒ่าใกล้ลงโลงเช่นนั้นใครจะไปกลัว!”
หลิวซูกล่าวโวยวายเสียงดัง กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความหงุดหงิดใจ
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเราจะไปเอาเพลิงพิภพเก้าดุษณีมา แต่ตอนนี้ต้องหาผู้ช่วยที่คอยติดตามอีกคนก่อน”
เซียถงปรบมือส่งสัญญาณว่าเป็นอันยุติ เนื่องจากได้ข้อสรุปแล้วว่า แผนการต่อไปคือการไปเอาเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาครอง
เมื่อได้ยิเห็นเซียถงตัดสินใจเรียบร้อยเสร็จสรรพ หลิวซูก็ถึงกับหน้าถอดสี สืบเท้าก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อยว่า
“เจ้า…เจ้าจะไปจริงๆ รึ?”
“หากเจ้ากลัวก็ไม่ต้องไป ข้าไม่ได้ว่าอะไร”
เซียถงเอ่ยตอบพร้อมส่งสายตาเหลือบมองอีกฝ่ายเจือผสมแววสบประมาทอยู่หนึ่งส่วน
“ไปก็ไป! ใครมันกลัว!!”
หลิวซูยกมือทั้งสองข้างเท้าสะเอว จ้องหน้าเซียถงเขม็งดวงตากลมโตปนอารมณ์หงุดหงิด เซียถงที่เห็นความกระตือรือร้นดังนั้นของอีกฝ่ายก็ลอบแสยะยิ้มบางๆ สำหรับหลิวซูแล้ว วิธีในการขอความช่วยเหลือจากมันให้ได้ผลที่สุดคือ การพูดสบประมาทใส่นี่แหละ
หลิวซูกับเสี่ยวฮั่วร่วมกันช่วยชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เก็บซ่อนเพลิงพิภพเก้าดุษณี ซึ่งก็คือหุบเขาเปลวไฟ ณ ทางตะวันออกของอาณาจักรตงหลี่ และที่ได้ชื่อว่าหุบเขาเปลวไฟเนื่องด้วยที่แห่งนั้นเป็นภูเขาไฟที่ปะทุตลอดทั้งปี จึงถูกระบุว่าหนึ่งในสถานที่อันตรายที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับบึงหนองน้ำในป่าสน
จากนั้นเซียถงก็นำสมุนไพรที่เป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำกลับมายังสถานศึกษาเซิงหลิง เก็บข้าวเก็บของลงในห้องพักให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยเดินทางไปยังเรือนพักของหยุนซี เพราะตอนนี้ผู้ช่วยอีกคนที่เซียถงนึกได้ก็มีเพียงหยุนซีเท่านั้น อีกฝ่ายมีสายสัมพันธ์ที่ค่อนข้างไปในทางบวกกับนาง และยังมีระดับชั้นแกร่งกล้าสูงถึงขอบเขตราชันย์ม่วง ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนว่า หยุนซีนี่แหละคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เซียถงก็ทราบดีว่าจะใช้วิธีใดในการซื้อใจอีกฝ่าย
เดินผ่านสวนบุปผาและสมุนไพรนานาพันธุ์ขนาบสองข้างทางตรงเข้ามา เซียถงก็สังเก็ตเห็นสตรีรูปงามนางนั้นที่กำลังก้มตัวไปเก็บเกี่ยวบุปผาสีสันสวยงามดอกหนึ่ง ผิวพรรณของนางขาวเนียนประดุจหยก โดยรวมมีเสน่ห์อยู่เปี่ยมล้น นางก็มิใช่ใครอื่นนอกจาก หยุนซี
“ท่านอาจารย์หยุนซี!”
เซียถงย่างเท้าออกไปตรงหน้าและตะโกนเสียงหนึ่ง แต่พอเข้ามาใกล้ก็แลเห็นลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งประมาณสองสามคนที่กำลังยืนก้มหน้าก้มตาปิดปากเงียบอยู่ด้านหลัง
“หื้ม?”
หยุนซีก่นเสียงแผ่วเบาเป็นคำตอบ ส่งสายตาสงสัยหันเข้าจับจ้องใส่เซียถง หากอยู่ในสภาวะปกติสุข คนอย่างสาวน้อยคนนี้คงเอาแต่ซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาของนาง และการที่อีกฝ่ายริเริ่มมาหาเองเช่นนี่ก็แสดงว่าน่าจะต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ต้องการขอร้องให้ช่วยเหลือ
“ท่านอาจารย์หยุนซี ข้าอยากให้ท่านช่วยอะไรสักหน่อย ส่วนนี้คือค่าตอบแทน”
เซียถงไม่พูดพล่ำทำเพลงอันใด รีบตั๋วเงินใบหนึ่งจำนวนสามหมื่นเหรียญทองมอบให้แก่หยุนซีโดยตรง
“ให้กันง่ายปานนี้?”
หยุนซีมองตัวเลขบนตั๋วเงินในมือเซียถง ทันใดนั้นประกายสายตาพลันสว่างไสวขึ้นทันที นางเอื้อมมือไปหยิบตั๋วเงินใบนั้นโดยไม่ลังเล แต่ระหว่างนั้นกลับชะงักเล็กน้อยและหันมากล่าวกับบรรดาศิษย์กลุ่มนั้นที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ว่า
“พวกเจ้าออกไปก่อน เซียถง เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร?”
“ศิษย์คนนี้ต้องการเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาครอบครอง จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือของท่านอาจารย์อีกแรง”
แลเห็นศิษย์กลุ่มนั้นเดินห่างออกไป เซียถงจึงค่อยเอ่ยปากอธิบายจุดประสงค์ให้หยุนซีรับฟัง
“เพลิงพิภพเก้าดุษณี?”
หยุนซีเลิกคิ้วกระตุกเล็กน้อย ดวงตาสีดอกท้องดงามเผยแววประหลาดใจส่องสะท้อน แล้วค่อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยกลับไปว่า
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่มันเป็นเพียงข่าวลือ”
เซียถงกล่าวตอบทันทีว่า
“อาศัยเพลิงพิภพเก้าดุษณี ศิษย์คนนี้จะสามารถทลายขีดจำกัด และหลอมกลั่นโอสถระดับสูงได้มากขึ้น ยังจำได้ว่า ท่านอาจารย์เคยกล่าวเอาไว้ เมื่อใดที่ศิษย์เลื่อนระดับขึ้นเป็นปราชญ์โอสถ ท่านจะรบกวนขอยืมมือข้าเพื่อหลอมกลั่นโอสถบางชนิด? ดังนั้นแล้ว หากศิษย์คนนี้ได้เพลิงพิภพเก้าดุษณีมาครอง บางทีอาจจะสามารถหลอมกลั่นโอสถชนิดที่ว่าให้ท่านได้ทันที”
“แต่เจ้าทราบหรือว่า เพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่แห่งหนใด?”
หยุนซีมองหน้าเซียถงปนสีหน้าตะลึง ยิงคำถามประโยคหนึ่งออกไปด้วยวความตื่นเต้น
เพลิงพิภพเก้าดุษณี เป็นไฟวิเศษที่ถือกำเนิดจากก้นภูเขาไฟลึก มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านการหลอมกลั่นโอสถที่น่าทึ่ง ไม่มีผู้ใดในทวีปเทียนหลางมิปรารถนาครอบครองมัน ในทางตรงข้าม ทุกคนต่างใฝ่ฝันต้องการเหนือสรรพสิ่ง แต่น่าเสียดายนักที่ไม่มีใครทราบถึงตำแหน่งที่ซ่อนของมันเลย
“ศิษย์ทราบ ทว่าเพลิงพิภพเก้าดุษณีถูกมังกรบรรพกาลตนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์อยู่ และศิษย์คนนี้ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน หากยอมช่วย ศิษย์จะหลอมกลั่นโอสถทุกชนิดตราบเท่าที่สามารถให้แก่ท่านโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”
เซียถงเอ่ยปากขอร้อง
พอได้ยินแบบนั้น ดวงตาคู่สวยของหยุนซีก็ค่อยๆ ปิดลง ตกสู่สภาวะครุ่นคิดไตร่ตรอง สักครู่หนึ่งต่อมาจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง กัดฟันกล่าวว่า
“ก็ได้ หากเจ้าทราบตำแหน่งที่ตั้ง ข้าจะไปด้วย”
“ตกลง เช่นนั้นเราจะออกเดินทางทันทีในช่วงบ่าย”
เซียถพยักหน้าตอบพร้อมแจงเวลาออกเดินทาง และหันหลังเตรียมตัวกลับ
“เดี๋ยว เอาตั๋วเงินคืนไป”
หยุนซียื่นตั๋วเงินใบนั้นยัดเข้าในมือของเซียถงโดยตรง และเหลือบสายตาหันไปมองกลุ่มลูกศิษย์ก่อนหน้า ทันใดนั้นสีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน ในกลุ่มศิษย์พวกนั้นหากสังเกตให้ดีจะค้นพบว่า ทั้งหมดเป็นพวกคุณชายทั้งหลายที่ชอบติดตามไป๋หลี่เย่ไปทุกที่ในสถานศึกษา หยุนซีในเวลานั้นปั้นหน้าโกรธจัด คำรามลั่นว่า
“นี่พวกเจ้าเบื่อกับการมีชีวิตนักกระมัง? เอาล่ะ รีบจ่ายหนี้ข้ามาเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นข้าจะเริ่มถลกหนังของพวกเจ้ามาทีละคน หวังว่าหนังมนุษย์ของพวกเจ้าจะพอขายได้เงินกลับมาอยู่บ้าง!”
คุณชายทั้งหลายเหล่านั้นยืนตัวสั่นกุมมือนิ่งด้วยความหวาดหลัว แต่ละรู้สึกตัวเล็กตัวน้อยแทบจะขดเป็นลูกหนังกลม โดยเฉพาะอย่างยื่งกับประโยคท้ายสุดที่หยุนซีกล่าวข่มขู่ ทุกคนถึงขั้นหน้าถอดสีซีดเผือด คนที่เคยมีประสบการณ์ถูกรีดไถมาก่อนก็ถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวโดยมิทันตั้งใจ
“ท่านอาจารย์ เรา…มิใช่ว่าเราไม่มีเจตนาจ่ายคืน แต่…แต่…นี่มันมากเกินไป…”
ผู้นำกลุ่มเป็นญาติคนสนิทของไป๋หลี่เย่ ยามนี้ถึงกับคอตกเศร้าโศกอย่างหนัก ยิ่งเห็นสีหน้าการแสดงออกของหยุนซีที่ทมิฬมืดลงทุกคนก็กลัวจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ
เซียถงที่กำลังจะเดินจากไป ถึงกับเหลียวมองภาพฉากดังกล่าวด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน นี่เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น?