ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 202 ชักชวนหยุนซี (2)
ตอนที่202 ชักชวนหยุนซี (2)
“เจ้ากระมังที่เป็นหัวโจก? คนอื่นๆ ไปได้! แต่หากกล้าเบี้ยวไม่จ่ายหนี้ข้าในภายหลัง…ตาย!”
หยุนซีโบกมือไล่พวกที่ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องออกไป เหลือเพียงแกนนำกลุ่มคุณชายทั้งหลาย คนที่เป็นญาติสนิทของไป๋หลี่เย่เอาไว้
พวกคุณชายทั้งหลาย รีบเผ่นกันป่าราบ ทิ้งให้ญาติสนิทของไป๋หลี่เย่คนนั้นที่ถึงกับเข่าอ่อนกับพื้นไว้แต่เพียงผู้เดียวฃ
“ลุกขึ้น! ไอ้ความกล้าที่เที่ยวรังแกศิษย์ไม่มีทางสู้คนอื่นหายไปไหนหมดแล้ว? สุดท้ายก็แค่พวกกระจอกคนหนึ่ง?”
หยุนซีคำรามสนั่นสีหน้ามืดทมิฬราวกับปีศาจ ยกแขนข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อของแกนนำผู้เป็นญาติสนิทของไป๋หลี่เย่ลากขึ้นมา ก่อนจะสะบัดออกไปด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นอัดกับต้นไม้ลำหนาที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ธารเลือดสดไหลซิบออกจากมุมปากในทันใด
“หากครั้งหน้ายังเห็นเจ้ารังแกศิษย์คนอื่นที่ไม่มีทางสู้อีก ครั้งจะใช้คมกระบี่ตัดมือเจ้าทิ้งเสีย ส่วนบทลงโทษในวันนี้ เจ้าถูกปรับหนึ่งร้อยเหรียญทอง บวกกับที่เคยเป็นหนี้อยู่แล้ว ทั้งหมดเท่ากับสองร้อยเหรียญทอง!”
หยุนซีก้าวย่างตรงเข้าไปคว้าร่างของยกขึ้นลอยฟ้า กวาดสายตามองไปยังมุมหนึ่ง แลเห็นศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังหลบหลังต้นไม้เคียงข้าง ลอบดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว และสภาพของแต่ละคนก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก บ้างก็ได้รับบาดเจ็บ บ้างก็เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย จะเห็นได้ชัดว่า พวกเด็กเหล่านี้เพิ่งโดนรังแกมา
ศิษย์สาวกเหล่านั้นเนื้อตัวสั่นสะท้านหนัก พลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ที่โดนกลุ่มคุณชายทั้งหลายในสถานศึกษารังแก ทั้งยังขู่รีดไถเงินโดยมีญาติสนิทของไป๋หลี่เย่เป็นแกนนำ ถึงคนพวกดังกล่าวจะเป็นคุณชายจากครอบครัวร่ำรวย แต่นิสัยที่ติดฟุ่มเฟือยของแต่ละคนจึงทำให้มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดังนั้นก็เลยรวมกลุ่มกันมารีดไถ่เงินศิษย์คนอื่นที่อ่อนแอกว่า โดยอาศัยบารมีของไป๋หลี่เย่ข่มขู่ แต่แทบทุกครั้งก็มักถูกหยุนซีจับได้ และถูกปรับเป็นเงินจำนวนค่อนข้างเยอะ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นไป๋หลี่เย่ที่จะออกหน้าจ่ายเงินแทนพวกเขาทั้งหมด
เมื่อวานก่อน กลุ่มคุณชายเหล่านั้นได้กลั่นแกล้งเหล่าศิษย์กลุ่มนี้ภายในอาณาเขตสถานศึกษา ก่อนจะถูกหยุนซีจับได้อีกตามเคย และถูกปรับเป็นจำนวนเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองต่อคน ทว่าครั้งนี้กลับไม่มีไป๋หลี่เย่ที่คอยช่วยเหลือ และพวกเขาก็ผลาญเงินไปกับสิ่งของไร้สาระไปจนเกลี้ยงแล้วเช่นกัน ดังนั้นก็เลยขอติดหนี้หยุนซีเอาไว้ก่อน คิดเพียงว่า จะรอให้ไป๋หลี่เย่เดินทางมาช่วยจ่ายชำระหนี้สินที่ค้างคาเหล่านี้ แต่ใครจะไปคิดว่า จวบจนตอนนี้ก็ไม่มีใครพบเห็นไป๋หลี่เย่โผล่หัวมาสถานศึกษาเลย
“นี่เจ้ากล้าดัยังไงไปรังแกศิษย์คนอื่นที่ไม่มีทางสู้ และแม้แต่เงินใช้จ่ายยังแทบไม่พอ!”
หยุนซีล้วกกระเป๋าเงินอีกฝ่ายและกระชากเหรียญทองกำมือหนึ่งออกมาโดยตรง สีหน้าการแสดงออกของนางในเวลานี้ดูเลือดเย็นอย่างมากจริงๆ พอได้เงินสมใจอยากจึงคอยโยนร่างอีกฝ่ายทิ้งกับพื้นโดยไม่แยแสใดๆ ทำราวกับเป็นขยะชิ้นหนึ่งที่นอนกองอยู่กับพื้น ทว่ายังไม่จบแค่นั้น หยุนซียังยกเท้าขึ้นมากระทืบยอดอกของอีกฝ่าย พร้อมค่อยๆ ออกแรงบดขยี้อย่างแช่มช้า หวังทรมานอีกฝ่ายให้ทนทุกข์เล่น
ญาติคนสนิทของไป๋หลี่เย่คนนั้นราวกับถูกเครื่องบดกำลังออกแรงขยี้หัวใจในอกข้างซ้ายด้วยความทรมานสุดแสน ทุกครั้งที่กรีดร้องลั่นออกมามักจะมีเลือดสดคำแล้วคำเล่ากระอักพ่นออกมาพร้อมกัน ทำเอาศิษย์คนอื่นๆ ที่แอบมองหน้าเสียหนัก
เซียถงถึงกับใจหายวาบทันทีที่เห็นภาพฉากนี้ เพราะนางในปัจจุบันก็ยังคิดหนี้สินหยุนซีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เช่นนั้นแล้ว…นางจะเป็นรายต่อไปหรือไม่? พอคิดมาถึงจุดนี้ เซียถงอดก้าวถอยหลังมิได้
“เจ้ารังแกขู่เข็ญคนที่ด้อยกว่า เช่นนั้นแล้วข้าจะสั่งสอนบทเรียนดีๆ ให้แก่เจ้า!”
หยุนซีเหลือบหางตามองร่างของอีกฝ่ายที่ถูกใต้บาทาของตน สายตาคู่นั้นฉายแววเหี้ยมดุสาดสะท้อนออกมา
หยุนซีค่อยๆ ถอนบาทายกเท้าขึ้นเหนือร่างของอีกฝ่ายอย่างแช่มช้า ทันใดนั้นพลันปรากฏรีศมีแสงสีม่วงประกายควบแน่นทั่วทั้งฝ่าเท้า ผนึกกลายมาเป็นค้อนเหล็กกล้าพันตัน และเตรียมที่จะลงดาบกระทืบกลางแผ่นอกของอีกฝ่าย หวังเอาให้เจียนตาย ขณะที่กำลังกระทืบฝ่าเท้าลงนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีถุงเหรียญทองใบใหญ่ยื่นเข้ามาต่อหน้าต่อตาของนาง สุ้มเสียงหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงบนิ่งว่า
“อาจารย์หยุนซี เงินถุงนี้น่าจะเพียงพอสำหรับชดใช้หนี้สินของเด็กๆ พวกนี้หรือไม่?”
หยุนซีดวงตาเปล่งประกายขึ้นทันที เอื้อมมือไปคว้าถุงเงินใบใหญ่ตรงหน้าโดยไว และยิ้มกล่าวว่า
“เพียงพอแล้ว”
ในขณะที่ยื่นมือไปคว้าจับถุงเงินใบโตตรงหน้า ก็พลางเลื่อนสายตาแช่มมองบุคคลที่ปรากฏตัวตรงหน้า และเพิ่งจะค้นพบได้ว่า ผู้ที่มอบถุงเงินให้ก็คือโม่ซวน ตระหนักเห็นได้ดังนั้นหยุนซีถึงกับชะงักงัน สีหน้าการแสดงออกพลันผันเปลี่ยนเล็กน้อย ต่อมาก็รีบหันขวับจับจ้องชายอีกคนที่อยู่เคียงข้างโม่ซวนโดยไว
นางเห็นเป็นไป๋หลี่หานในชุดคลุมยาวสีดำและสวมหน้ากากครึ่งใบ ยืนนิ่งพร้อมมือทั้งสองข้างที่กำลังไขว้หลัง สายตาภายใต้หน้ากากดูคลุมเครือมิอาจทราบได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ชั่วพริบตาต่อมา เรียวมือสีขาวผ่องประดุจหยกของหยุนซีก็ถึงกับรีบคลายออกจากถุงเงินใบนั้น และเร่งชักมือกลับมาเก็บโดยไวเสมือนถูกไฟลวกก็มิปาน เอ่ยเสียงสั่นกล่าวขึ้นอย่างประหม่าขึ้นว่า
“ข้า…ข้ารับเงินพวกนี้ไม่ได้”
“แล้วหนี้สินของพวกเด็กๆล่ะ?”
โม่ซวนมุ่นคิดเล็กน้อย ยิ้มถามกลับไป
“ไม่ ไม่เอาแล้ว”
หยุนซีรีบโบกมือปัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์ชายคนนั้นที่เป็นญาติสนิทของไป๋หลี่เย่ก็รีบลุกขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของนาง และรีบวิ่งหนีออกมาด้วยความหวาดกลัว แลเห็นศิษย์คนนั้นฉวยโอกาสวุ่นวายชิงหนีไป คู่เท้าของนางก็พลันเปล่งปสงแวววับ คิดจะเร่งฝีเท้าไล่ตามออกไป ทว่าทันทีที่กำลังจะออกตัว ไหล่ข้างหนึ่งของนางพลันถูกบางสิ่งอย่างกดทับเอาไว้ และเมื่อเงยหน้าหันศีรษะไปมองสบเข้ากับสายตาคู่เย็นชาภายใต้หน้ากากของไป๋หลี่หาน ถึงครึ่งล่างของหน้ากากจะเปิดเผยรอยยิ้มของเขา แต่สิ่งที่หยุนซีรู้สึกกลับตรงกันข้าม เพราะนี่เป็นรอยยิ้มที่ดูอันตรายยิ่งยวด สักครู่ต่อมา นางรวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้นว่า
“เอ่อ…ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
พินิจจากกิริยาท่าทางการแสดงออกของหยุนซีที่มีต่อไป๋หลี่หาน เซียถงรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ หรือเป็นไปได้ไหมว่า หยุนซีจะกลัวไป๋หลี่หานมาก? และถึงจะเป็นเช่นนั้น แล้วอีกฝ่ายทำอะไรให้นางกลัวได้ขนาดนี้ล่ะ?
“เด็กคนนั้นเป็นญาติห่างๆ ของข้าคนนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่ามีข้าเป็นญาติก็ตาม แต่มาเห็นเด็กคนนั้นถูกอาจารย์หยุนซีรังแกแบบนี้ ข้าคงอยู่เฉยมิได้เช่นกัน อย่างน้อยที่สุด เด็กคนนั้นก็สมควรได้รับความยุติธรรมในขอบเขตที่มีสิทธิ์”
ไป๋หลี่หานปริปากกล่าวน้ำเสียงเย็นชา ชั่วขณะอึดใจ ก็บังเกิดรัศมีแรงกดดันปริมาณข้นคลั่กขุมใหญ่ปะทุล้นออกมาจากร่างของเขา มือข้างนั้นที่วางไว้บนไหล่ของหยุนซีมั่นคงประดุจภูเขาไท่ซานที่ไม่มีวันขยับเขยื้อน
หยุนซีถึงกับหน้าถอดสีหนัก และรีบส่งยิ้มให้ไป๋หลี่หานกล่าวว่า
“ทะ-ท่านล้อเล่นแล้ว มีที่ไหนอาจารย์จะรังแกลูกศิษย์? เมื่อครู่…เมื่อครู่เป็นเพียงการลงโทษให้หลาบจำเท่านั้น! แค่นั้นจริงๆ!”
“งั้นรึ?”
ไป๋หลี่หานทอดสายตาคู่เย็นยะเยือกหันเข้าจับจ้อง จากนั้นก็คลายรัศมีแรงกดดันโดยรอบบริเวณทั้งหมดออกไป มุมปากกระตุกยิ้มบาง เอ่ยถามขึ้นต่อว่า
“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะจ่ายหนี้ข้า หยุนซี?”
ถ้อยคำและน้ำเสียงของไป๋หลี่หานฟังดูช่างเสนาะหูน่าฟัง แต่มิทราบเพราะเหตุใด หยุนซีที่ได้ยินประโยคคำพูดเหล่านั้นถึงต้องเนื้อตัวสั่นสะท้านเกินหักห้ามปานนี้ ราวกับบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็งเย็นจับขั้วหัวใจ นัยน์ตาสั่นไสวรวนรน หันซ้ายทีขวาทีอยู่รอบสองรอบ จึงค่อยเงยหน้ามองอีกฝ่ายและเอ่ยน้ำเสียงเศร้าสร้อยขึ้นว่า
“ข้า…ข้าเพิ่งเอาเงินจำนวนหนึ่งไปซื้อสมุนไพรเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ไม่มีเงินเหลือเลย ได้โปรดเลื่อนระยะเวลาชำระหนี้ออกไปก่อนได้หรือไม่?”
หยุนซีติดเงินไป๋หลี่หาน? เป็นเหตุผลให้เวลาเจอหน้ากัน นางจึงหวาดกลัวในตัวอีกฝ่าย? เซียถงเดาได้เลยว่า จำนวนเงินที่หยุนซีติดไป๋หลี่หานน่าจะเป็นมูลค่ามหาศาลอย่างมาก มิฉะนั้น หญิงแกร่งอย่างหยุนซีคงไม่มีทางพยายามหลบหน้า ซ่อนตัวต่ออีกฝ่ายถึงขนาดนี้ ในส่วนของไป๋หลี่หานก็เช่นกัน คนอย่างเขาไม่มีทางออกหน้ามาช่วยญาติห่างๆ ที่ไม่รู้จักแน่นอน ที่ทำไปทั้งหมดเพียงหาข้ออ้างในการเข้าเรื่องทวงหนี้สินที่หยุนซีติดค้างอยู่? แต่มันจะแค่นั้นจริงๆ งั้นเหรอ?
“ไม่มีจ่ายอย่างงั้นรึ? เช่นนั้นแล้ว พวกเราไปหาที่สงบๆ คุยกันหน่อยเป็นอย่างไร?”
ไป๋หลี่หานคลายมือขึ้นจากหัวไหล่ของหยุนซี เหลือบมองอีกฝ่ายพร้อมแววตาเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน
“มา…เข้ามาในเรือนพักของข้าก่อนก็ได้”
หยุนซีเหลือบสายตามองไปทางเซียถงเล็กน้อย และเดินก้มหน้าก้มตาดินตามไป๋หลี่หานเข้าเรือนพักของตนไปด้วยความขมขื่นใจ เยื้องย่างทีละก้าวอย่างไม่เต็มใจ
เซียถงอยากจะออกไปช่วยหยุนซีใจจะขาด แต่นางเองก็ตระหนักดีว่า ต่อหน้าไป๋หลี่หาน นางหาใช่คู่มือของอีกฝ่ายไม่เลย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนนั้นยังมีสถานะเป็นลูกหนี้กับเจ้าหนี้ และในเมื่อหยุนซีไม่มีปัญญาจ่ายหนี้สินที่ค้างคา ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องหาวิธีอื่นเพื่อขัดเกลาหนี้ และนี่ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเซียถงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ได้เลย
สุดท้ายนี้ก็ทำได้เพียงชำเลืองมองสองคนนั้นเดินเข้าเรือนพักของหยุนซีไป พร้อมเสียงปิดประตูดังปัง