ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 204 สู่หุบเขาเปลวไฟ (2)
ตอนที่204 สู่หุบเขาเปลวไฟ (2)
เผยรอยยิ้มสีจางสะท้อนจากนัยน์ตาของเซียวซาน เขายกมือขึ้นลูบขนสลวยสีแดงโลหิตบนศีรษะของม้า สักครู่ต่อมาจึงค่อยกระโดดขี่อยู่บนอานหลัง หันมองไปทางเซียถงและกล่าวว่า
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!”
ดึงบังเหียนควบคุม หันศีรษะม้าไปยังทิศทางประตูเมืองและจากออกไป
ทอดมองเซียวซานควบม้าสีแดงโลหิตไปสุดสายตา เซียถงหันมาขึ้นหลังม้าควบติดตามรั้งท้าย ไล่ตามทั้งสองที่ออกเดินทางไปก่อนหน้า ทว่าภายในใจช่างรู้สึกงุนงงเหลือเกิน ดูเหมือนว่าเซียวซานคนนี้จะหาใช่คนธรรมดาทั่วไป และเหมือนจะเป็นบุคคลที่มีสถานะค่อนข้างสูง กล่าวคือ การมีม้าชั้นยอดในยุคนี้ มันไม่ต่างอะไรกับมีรถสปอตBMWขับเล่นในยุคสมัยที่นางจากมา แล้วคำถามนี้ คนแบบนี้หรือจะไปติดหนี้หยุนซีได้ยังไง? หรือว่า…จะมีเจตนาแย่งชิงเพลิงพิภพเก้าดุษณีไปจากมือของนาง?
หากเช่นนั้น…คงต้องวัดกันหน่อยแล้วว่าใครจะมีความสามารถมากกว่า!
ระหว่างทาง บรรยากาศของพวกเขาทั้งสามค่อนข้างเงียบ ราวกับแต่ละคนตกอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่มีใครริเริ่มที่จะปริปากพูดเลยสักคำเดียว หยุนซีเองก็เงียบผิดปกติ จนเซียถงลอบสังเกตเห็นได้ พินิจจากสถานการณ์เหมือนว่า หยุนซีจะไม่ค่อยกินเส้นกับเซียวซานคนนี้เท่าไหร่นัก และนี่คือสิ่งที่สังเกตได้ชัดแจ้งที่สุด
ทั้งสามยังคงควบม้าเดินทางไม่มีหยุดพัก ข้ามวันข้ามคืนจวบจนเช้าตรู่วันถัดมา ในปัจจุบันพวกเขาอยู่ห่างจากหุบเขาเปลวไฟเพียงสามสิบกว่าลี้ บริเวณโดยรอบค่อนข้างเงียบสงัดว่างเปล่าและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง และยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ บรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งดูรกร้าง แทบจะไม่เห็นต้นไม้พฤกษาพันธุ์สีเขียวอยู่เลย สิ่งเดียวที่จะเห็นได้มีแต่หินภูเขาไฟสีหนืดดำแดง
เนื่องจากการปะทุของหินหนืดร้อนระอุของหุบเขาเปลวไฟตลอดทั้งปี ส่งผลให้อานัติบริเวณทั่วทั้งลูกมีแต่รอยแตกของหินที่เย็นตัวลงและลานโล่งๆ ปราศจากสิ่งมีชีวิตใด เพียงยืนอยู่ตรงตีนเขาและพยายามเงยหน้าขึ้นมองยอดเขา ก็รู้สึกอ้างว้างสุดพรรณนา
เซียถงลงจากหลังม้า เชิดหน้ามองไปทางยอดเขาสูงรูปทรวงกรวย สื่อจิตหาเสี่ยวฮั่วเอ่ยถามผ่านห้วงความคิดขึ้นว่า
“ที่นี่งั้นรึ?”
“ที่นี่แหละนายท่าน ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเข้มข้นของมังกรบรรพกาลตนนั้น ลองมองหาทางลับแถวตีนเขาดู น่าจะมีเส้นทางลับที่ทอดยาวไปถึงยอดเขาด้านบน”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบาย
“ท่านอาจารย์หยุนซี ลงจากหลังม้าได้แล้ว ช่วยกันตามหาเส้นทางลับที่จะนำไปสู่ยอดเขาแห่งนี้กันเถอะ”
เซียถงหันมากล่าวกับหยุนซี แต่สายตาคู่นั้นของนางก็ไม่ลืมแลเหลียวเฝ้าสังเกตท่าทีของเซียซาน
ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดพัดผ่านใบหน้าของเซียวซานเลยสักนิด เขากวาดสายตามองบรรยากาศที่มีแต่หินหนืดที่แห้งกราดเย็นตัวลงโดยรอบ และไม่ว่าเซียถงจะพยายามสังเกตการณ์อย่างไร ก็ไม่ผิดความผิดปกติหรือลับลมคมในใดๆ จากอีกฝ่ายได้เลย
ตัดมาฝั่งของหยุนซี นางพยักหน้าและกระโดดลงจากหลังม้า เตรียมเดินสำรวจบริเวณตีนเขาเปลวไฟ ในขณะนั้นเองเซียวซานก็ค่อยลงจากหลังมาตามลำดับ เดินเตร่ออกไปตรวจสอบค้นหาเส้นทางลับที่เซียถงกล่าวอธิบายด้วยท่าทางจริงจัง
ระหว่างร่วมแรงกันสำรวจอยู่นั่นเอง เซียถงก็เดินตรงเข้ามาหยุดข้างกายหยุนซีอย่างเงียบๆ เอ่ยกระซิบเสียงต่ำขึ้นถามว่า
“เขาคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่? แล้วไฉนท่านต้องพาเขาติดตามเรามาด้วย?”
“เจ้าไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หลังจากที่เขาช่วยเราหาเพลิงพิภพเก้าดุษณีได้สำเร็จ ค่อยหาโอกาสลอบสังหารเขาทิ้งเสีย”
หยุนซีกระซิบเสียงแผ่วเบาเป็นคำตอบ
เซียถงพยักหน้าและไม่คิดจะเอ่ยปากถามอันใดอีก เซียวซานคนนี้ดูท่าแล้วจะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ก็แค่หลอกใช้อีกฝ่ายให้ช่วยสังหารมังกรบรรพกาลที่คอยเฝ้าพิทักษ์เพลิงพิภพเก้าดุษณีเอาไว้ และอาศัยช่วงทีเผลอลอบสังหารอีกฝ่านทิ้งไปซะ
เพราะเราไม่มีอะไรที่สามารถรับประกันได้เลยว่า เซียวซานจะไม่หักหลังในภายหลัง?
ทั้งสามช่วยกันค้นหาทางลับตรงตีนเขาเปลวไฟอยู่นานสองนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเสาะพบทางลับหรือสิ่งใดที่คล้ายเส้นทางสำหรับนำไปสู่ยอดเขาเลยสักคน หลังจากผ่านไประยะใหญ่ ทั้งหยุนซีและเซียวซานก็อดใจหันไปมองหน้าเซียถงมิได้
“เซียถง นี่เจ้าแน่ใจจริงๆ รึว่า มีทางลับซ่อนอยู่ตรงตีนเขาแห่งนี้?”
หยุนซีเอ่ยถามเจือสีหน้าน้ำเสียงสงสัย ตีนเขาแห่งนี้ไม่มีพืชพันธุ์ใดๆ งอกเงยเลฃยสักคน ทั่วทั้งบริเวณมีแต่หินหนืดที่เย็นตัวลงอยู่เต็มไปหมด และเป็นพื้นที่โล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา หากจะมีเส้นทางลับอะไรเทือกนั้นอยู่จริงๆ แค่ชำเลืองมองด้วยตาเปล่าไม่นานก็น่าจะเจอแล้วมิใช่รึ?
“เสี่ยวฮั่ว แน่ใจใช่ไหม? ไฉนเรายังไม่พบเส้นทางลับที่ว่าเลย?”
เซียถงนึกสงสัยมิได้เช่นกัน จึงสื่อจิตไปหาเสี่ยวฮั่วเพื่อเอ่ยถาม
“เหมือนจะมีรูถ้ำซ่อนอยู่ใต้เศษซากหินหนืดพวกนี้ แต่นี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ข้าจดจำตำแหน่งที่ชัดเจนไม่ได้”
เสี่ยวฮั่วกล่าวตอบ
“หลิวซู แล้วเจ้าล่ะ? พอจะจำได้ไหมว่าทางลับซ่อนอยู่ตรงไหน?”
เซียถงเปลี่ยนไปถามหลิวซูแทบ พึงสังเกตได้ว่า ตั้งแต่เดินทางออกมาจากเมือง นางไม่เคยได้ยินมันส่งเสียงเลยสักครั้งเดียว ยิ่งตอนที่มาถึงหุบเขาเปลวไฟแห่งนี้ ตัวกระบี่ทัณฑ์ที่ลอยเคว้งอยู่ในห้วงความคิดของนางยังไม่มีปฏิกิริยาขยับเขยื้อนใดๆ
“ข้าจำไม่ได้”
หลิวซูตอบทันทีโดยไม่คิด
เซียถงเงยหน้าแหงนดูดวงตะวันเหนือศีรษะ ยกมือขึ้นปาดเช็ดเม็ดเหงื่อนไครบนหน้าผาก เอนกายพักพิงบนหินขนาดยักษ์ก้อนนึง หันมากล่าวกับหยุนซีว่า
“เดี๋ยวข้าหาแถวนี้เอง”
แผ่นหลังเพิ่งอิงบนหินก้อนนั้น ทันทีทันใดก็ได้ยินสุ้มเสียงเสี่ยวฮั่วร้องขึ้นว่า
“นายท่านแถวนี้แหละ! ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจมังกรบรรพกาลตรงนี้!”
เซียถงรีบพยุงตัวลุกขึ้นพรวด ยืนจับจ้องแผ่นหินที่อยู่ด้านหลังของตน ขนาดของหินแผ่นนี้ค่อนข้างใหญ่มหึมาสู่เกือบเท่าร่างคน ปกคลุมไปด้วยรอยแตกคล้ายยองใยแมงมุมนับไม่ถ้วน ที่เป็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะผ่านแดดผ่าฝนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่หากสังเกตให้ดี มองลงไปให้ละเอียดกว่าเดิม จะค้นพบว่า รอยแตกเหล่านี้มีรูปร่างทอดยาวคล้ายลำตัวมังกรขด
แลเห็นได้ดังนั้น เซียถงก็หันไปเรียกหยุนซีและเซียวซานให้เข้ามาหา ทั้งสองจ้องหินแผ่นนี้ตาเขม็งอยู่สักครู่ และเป็นหยุนซีที่ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจขึ้นว่า
“หากมองให้ดีรอยแตกพวกนี้ดูคล้ายกับมังกรก็มิปาน หรือนี่…เป็นแผนที่ทางเข้าลับ?”
ขณะที่นางเอ่ยกล่าว ก็มองย้อนกลับไปจับจ้องเซียถงเจือสีหน้าแววตาฉงนสงสัย