ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 206 สำรวจถ้ำเปลวไฟ (2)
ตอนที่206 สำรวจถ้ำเปลวไฟ (2)
ทั้งเซียถงและหยุนซีต่างมองหน้าสบสายตากันโดยพร้อมเพรียง กลัวว่าเซียวซานจะส่งสัย จึงเป็นหยุนซีที่รีบตอบไปว่า
“เข้าใจแล้ว!”
พูดจบ ก็เป็นหยุนซีที่ประเดิมคว้าคบเพลิงไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับเชือกให้มั่นและค่อยๆ โรยตัวเข้าไปในหลุมลึก ลูกไฟสีเหลืองสลัวคล้ายจุดแสงค่อยๆ หายไปท่ามกลางหลุมอันมืดมิด
เซียถงเฝ้ามองอยู่สักครู่จึงหยิบคบเพลิงขึ้นมาคาดเอวเอาไว้ จับเชือกให้มั่นด้วยสองมือและหย่อนตัวลงไปตามลำดับ สิ่งที่แรกสัมผัสได้ระหว่างโรยตัวลงไปในก้นหลุมลึกแห่งนี้ก็คือ ลมร้อนระอุที่พัดขึ้นมาตีหน้า และยิ่งลงไปลึกเท่าไหร่ อุณหภูมิก็ยิ่งพุ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
โรยตัวลงไปจนสุดปลายเชือก เซียถงในขณะนี้อยู่ห่างจากพื้นด้านล่างประมาณสามร้อยฉื่อ มือทั้งสองข้างคลายออกจากปลายเชือก ร่อนตัวลงมายังพื้นล่างอย่างมั่นคงไม่ยากเย็นอันใด
เซียถงคว้าคบเพลิงจากเอวขึ้นมาและจุดไฟสีเหลืองสลัวโชติช่วง ผนวกรวมกับคบเพลิงของอีกสองคน ทำให้สถานที่ใต้ล่างแห่งนี้ดูสว่างขึ้นเล็กน้อย
พอลองถือคบเพลิงกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ จะค้นพบได้ว่าเบื้องล่างหลุมลึกแห่งนี้มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างมาก อย่างน้อยก็สิบเท่าจากขนาดความกว้างของปากหลุมด้านบน ส่วนสภาพแวดล้อมมีแต่หินศิลาที่แห้งกราดสีดำ
เมื่อเห็นว่าหยุนซีกับเซียวซานกำลังมุ่งความสนใจไปยังจุดๆ หนึ่ง ณ มุมด้านขวาของก้นหลุมแห่งนี้ นางเองก็บังเกิดความสนใจขึ้นทันใด ทอดสายตามองตามทิศทางที่พวกเขาจับจ้อง ก็พบว่ามีปากถ้ำความสูงประมาณคนหนึ่งพอดี มีกระแสลมร้อนระอุออกมาจากรูปากถ้ำดังกล่าว
“นี่หรือคือทางลับที่ว่า?”
เซียถงเพ่งสายตาจับจ้องไปยังปากทางเข้าถ้ำ
“น่าจะใช่ ลองเข้าไปสำนวจกันเถอะ”
เซียวซานกล่าวตอบ จากนั้นก็เป็นอีกครั้งที่อาสาตนเองเป็นผู้นำเบิกทางเข้าไปคนแรก พร้อมกับคบเพลิงอันหนึ่งในมือ
เซียถงและหยุนซีต่างมองหน้ากันเล็กน้อย ฉายแววประหลาดขุมหนึ่งออกมาผ่านกันและกัน การที่เซียวซานหันหลังให้แก่พวกนางเช่นนี้ เขามิได้กังวลเลยรึอย่างไรว่า พวกนางจะแอบย่องเข้ามาฆ่าตน? มีสองกรณีให้ครุ่นคิด ประการแรกคือ เซียวซานไม่รู้ว่า หยุนซีมีเจตนาร้ายลอบสังหารเขาอยู่ หรือประการที่สองคือ ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขา ไม่เคยเห็นพวกนางทั้งสองอยู่ในสายตาอยู่แล้ว…
โดยส่วนตัวเซียถงไม่คิดว่า มันจะเป็นแรกแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าเซียวซานคนนี้จะทำตัวเมินเฉยไร้ความรู้สึก ทว่าก็มีหลายต่อหลายครั้งที่สายตาคู่คมของเขาจะลอบเร้นสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะ นี่จะเห็นได้ว่าเขาเป็นพวกหัวไวและค่อนข้างฉลาดในการวางตัว ซึ่งคนประเภทนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมิล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ชั่วที่ซ่อนเร้นอยู่ของหยุนซี ดังนั้นแล้ว เหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ เขาไม่เห็นหยุนซีอยู่ในสายตาเลย
หยุนซีเองก็ลอบเพ่งมองเฝ้าสังเกตอยู่ไม่ห่าง ใบหน้าสวยของนางเผยสีซีดเซียวออกมาหนึ่งส่วน ร่องรอยความกังวลฉายผ่านดวงตาคู่นั้นชัดแจ้ง หากนางยังไม่รีบเสาะหาโอกาสลอบสังหารชายคนนี้ทิ้งซะ เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่เซียถงควรจะได้ จะตกกลายเป็นของอีกฝ่ายทันที และหากเป็นแบบนั้น เซียถงก็จะไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถที่นางต้องการได้…
“ไม่เป็นไรท่านอาจารย์หยุนซี ทำตามแผนเดิมไปก่อน”
เซียถงยกมือขึ้นตบไหล่หยุนซีเบาๆ เข้าปลอบโยน ในเวลาเดียวกระแสความตื่นเต้นขุมหนึ่งก็ผุดขึ้นภายในใจ
เซียวซานผู้นี้…แข็งแกร่งปานใดกันแน่?
อย่างไรเสีย ในปัจจุบัน นางไม่เพียงครอบครองวรยุทธต่อสู้ระดับเหลืองที่ฝึกปรือจนชำนาญแล้วเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์อสูรปราณวิญญาณชั้นต้นอีกห้าตนอยู่ใต้อาณัติ ควบรวมกับพลังฝีมือของหยุนซี ต่อให้ไม่สามารถล้มอีกฝ่ายได้ มันเองก็ไม่น่าจะครบสามสิบสองเช่นกันจริงหรือไม่?
เซียงเดินเข้าติดตามเป็นคนที่สอง ตามมาด้วยหยุนซีที่ปิดท้าย ในขณะเดียวกันก็ลอบพินิจตรวจสอบจังหวะลมหายใจของเซียวซานที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน และสิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงความนิ่งสงบ ทุกจังหวะหายใจล้วนเป็นระเบียบไปราศจากความผิดปกติใดๆ ชายผู้นี้ไม่มีความหวาดระแวงเลยรึว่า หญิงสาวทั้งสองนางที่อยู่ด้านหลังจะเกิดคิดร้ายลอบสังหาร? สักนิดก็ยังดี?
เซียถงส่ายศีรษะไปมาเบาๆ พยายามลืมเรื่องของเซียวซานไปให้หมด ในยามนี้สิ่งที่น่ากังวลใจที่สุดคือ จะเอาชนะมังกรบรรพกาลตนนั้นอย่างไรมากกว่า?
ถ้ำลับแห่งนี้มีความสูงเท่ากับมนุษย์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น เส้นทางยังค่อนข้างคดเคี้ยวเลี้ยวรด ทุกตารางสายตาที่มองเห็นมีแต่หินผาสีดำสนิทอยู่ทั่ว แต่ละคนไม่กล้าหายใจดัง มุ่งจิตสมาธิแผ่กระจายครอบคลุมอยู่โดยรอบ ท่าทางระมัดระวังกันสุดขีด
เซียถงที่ยืนอยู่ข้างหลังเซียวซาน แลเห็นอีกฝ่ายที่กำลังเดินถือคบเพลิงชะงักฝีเท้าหยุดลง และเอยตัวก้มลงกับพื้นดิน คล้ายกับว่ากำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างอยู่ แล้วค่อยหันมามองหน้าเซียถง ทอดสายตาลงไปให้ลองมองตาม
บนพื้นสีดำสนิทปรากฏรอยเท้าเปื้อนเลือดประทับอยู่แห่งหนึ่ง ภายใต้แสงคบเพลิงสลัวจะเห็นเงาเลือดสะท้อนส่องขึ้นมาค่อนข้างชัด
หื้ม? มีคนเข้าสำรวจถ้ำแห่งนี้ก่อนหน้าพวกเรา?
“เคยมีคนบุกเข้ามาและน่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย”
เซียวซานกล่าวอธิบาย พลางกดสายตาจับจ้องรอยเท้าเปื้อนเลือดนี้ หากสังเกตจากแสงสะท้อนสีแดงฉานที่ยังเป็นประกาย จะรู้ได้ทันทีว่ารอยเลือดพวกนี้ยังสดอยู่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมาก่อนพวกเขาได้ไม่นาน
“แต่ดูจากทิศทางของรอยเท้าที่ยังหลงเหลือ อีกฝ่ายน่าจะได้รับบาดเจ็บและออกไปแล้ว ยังมีใครอีกที่ทราบเรื่องที่ซ่อนไฟวิเศษอีกหรือไม่? หรือจะเป็นสหายของเจ้า?”
เซียถงส่ายหัวเป็นคำตอบ รีบยกศีรษะแนบชิดติดกับผนังถ้ำฝั่งหนึ่งโดยไว จากนั้นก็หลับตาพยายามมุ่งจิตสมาธิเพื่อฟังเสียงแปลกปลอมนอกเหนือจากพวกเขา แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็ปราศจากความผิดปกติอันใด
“มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นใคร มุ่งหน้าเข้าสำรวจต่อเถอะ”
กลับกลายเป็นเซียงซานที่ปริปากกล่าวขึ้นมา น้ำเสียงที่เปล่งดังซุกซ่อนความจองหองผยองเดชเอาไว้หนึ่งส่วน ราวกับว่าต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นใครหรือแกร่งกล้าเพียงใด เขาก็ไม่แยแสหรือคิดที่จะหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและย่างเท้าเดินหน้าออกไปต่อ ทิ้งให้เซียถงและหยุนซีอยู่ท้ายหลัง
ตั้งแต่ที่ใช้เวลาอยู่กับเซียวซานเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ชายคนนี้มักจะไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าไหร่ กระทั่งสีหน้าการแสดงออกยังเฉยชาเรียบนิ่ง แต่พอได้ยินวาจาเร้นแฝงแววหยิ่งผยองเช่นนี้ เซียถงก็ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ชั่วครู่ต่อมาให้หลัง พลันรู้สึกเพียงว่า ไอ้นิสัยหยิ่งผยองไม่แยแสต่อสิ่งใดเฉกเช่นนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
“ไปเถอะ! ไปเถอะ! ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะมาใครจะไป ต่อให้เป็นผีมีหรือที่เจ้าจะกลัว?”
หยุนซีผลักไสแผ่นหลังของเซียถงมให้เคลื่อนเดินต่อไปข้างหน้า กล่าวกระตุ้นอยู่คำสองคำ
เซียถงยักไหล่เล็กน้อย ไม่คิดอันใดให้มากความอีกต่อไป และเดินหน้าสำรวจต่อไป
“นายท่าน โปรดระวังด้วย เท่าที่ข้าจำได้ ปีนี้เป็นช่วงเวลาที่ดวงดาราชีวิตของมังกรบรรพกาลตนนั้นอ่อนแอที่สุดในรอบหลายพันปี อาจจะมีใครบางคนอาศัยจังหวะนี้ ลอบเข้ามาเพื่อหวังครอบครองเพลิงพิภพเก้าดุษณี”
ทันใดนั้นสุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วก็ดังขึ้นผ่านห้วงความคิดของนาง
ช่วงเวลาที่ดวงดาราชีวิตอ่อนแอทที่สุด?
“แสดงว่าต้องมีคนรู้ความลับนี้อีกนอกจากเจ้า?”
เซียถงสื่อจิตถามกลับไป ท่าท่างดูประหลาดใจมาก
“ข้าหาใช่เทพอสูรเพียงตนเดียวที่เหลือรอดจากยุคบรรพกาล ยังมีเทพอสูรตนอื่นๆ บนผืนพิภพแห่งนี้ที่รู้ถึงความลับดังกล่าวเช่นกัน”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
หรือจะให้กล่าวโดยง่ายคือ ผู้บุกรุกที่เข้ามาก่อนพวกนาง บางทีอาจจะมีดวงวิญญาณเทพอสูรแบบเดียวกับฮั่วหยางอยู่เคียงข้าง ซ้ำร้ายอาจจะมาเป็นกายเนื้อหาใช่แค่ดวงวิญญาณเท่านั้น! ดังนั้น ห้ามประเมินความสามารถของอีกฝ่ายต่ำเกินไป หรือก็คือ จงเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว!