ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 210 เปลวเพลิงสีทอง (2)
ตอนที่210 เปลวเพลิงสีทอง (2)
เปลวเพลิงสีทองทั้งหลายเริ่มจางอ่อนลงต่อหน้าต่อตา ชั่วอึดใจต่อมา เซียวซานถึงกับเบิกตาโต จับจ้องเปลวเพลิงกลุ่มนั้นด้วยความตกตะลึงยิ่งยวด ร่างอรชรเพรียวบางของสาวน้อยย่างสามขุมเดินตรงออกมา พร้อมกับเปลวเพลิงสีทองอร่ามที่ห่อหุ้มกายา มือข้างหนึ่งกำกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเอาไว้แน่นหนา ไม่นานเปลวเพลิงสีทองทั้งหมดทั้งมวลก็ซึมซาบเข้าสู้ร่างกายของนาง
เปลวเพลิงสีทองถูกเซียถงดูดซับเข้าไปแล้ว?
หยุนซีเฝ้าสังเกตภาพฉากดังกล่าวจากระยะไกล เพียงชั่วพริบตา กองเพลิงกลุ่มใหญ่ก็หายวับกลับเข้าไปในร่างของเซียถง เสมือนคลื่นน้ำลง บรรยากาศสุดโกลาหลเมื่อครู่กลายเป็นความเงียบสงัดท่ามกลางแววตื่นตะลึง นางเดินออกจากปากถ้ำที่ใช้หลบภัย เอ่ยถามเซียวซานที่อยู่ข้างๆ เจือน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“หรือนี่จะเป็นเพลิงพิภพเก้าดุษณี? แล้วเซียถงก็ดูดซับเข้าไปเรียบร้อยแล้ว?”
“นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเพลิงพิภพเก้าดุษณีเท่านั้น”
เซียวซานเอ่ยตอบน้ำเสียงลึกล้ำ เพ่งสายตาพินิจมองร่างอรชรของสาวน้อยตรงหน้าที่เคลื่อนเข้าใกล้ชัดเจนมากขึ้น
หากเป็นเพลิงพิภพเก้าดุษณีทั้งหมดจริงๆ ปานนี้ทั้งเซียถงกับกระบี่ในมือของนางคงกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว
ณ ปัจจุบัน เนื้อกายของเซียถงเสมือนถูกฉีกแยกเป็นชิ้นๆ ซึ่งตามรอยแตกเหล่านั้นจะแลเห็นกระแสเปลวเพลิงสีทองไหลเวียนโคจรอย่างชัดเจน
และหากเพ็งสายตามองเข้าไปใกล้กว่านั้น จะเห็นได้ว่าบนเนื้อหนังบนร่างกายของเซียถง จะมีรัศมีแสงสีม่วงชั้นบางฉาบเคลือบเอาไว้อยู่ เพราะรัศมีสีม่วงดังกล่าวจึงทำให้ร่างกายของนางมิได้ถูกแผดเผาจนมอดไหม้ลึกถึงชั้นกระดูก
ชั่วพริบตาที่เซียถงกระโจนลงไปในเปลวเพลิงพิภพเก้าดุษณี เสี่ยวฮั่วได้ใช้พลังจิตวิญญาณหลอมสร้างเกราะปราการป้องกันชั้นหนึ่งฉาบคลุมร่างกายของนางเอาไว้ ส่งผลให้ความเสียหายที่เกิดจากเพลิงพิภพเก้าดุษณีถูกลดทอนไปค่อนข้างมาก
“นายท่าน รีบใช้ธาตุไฟภายในกายท่านดูดกลืนเปลวเพลิงเหล่านี้โดยเร็วเถิด ข้าจะทานรับเอาไว้ไม่ไหวแล้ว”
สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วโหร้องลั่นผ่านห้วความคิดของเซียถง
เซียถงกัดฟันแน่นฝืนกระแสความเจ็บปวดเกินพรรนณา บีบบังคับกระแสพลังงานสีแดงไหลทะลักเข้าหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย เพื่อให้กลืนไปกับเปลวเพลิงสีทองที่โคจรอยู่ภายนอกในขณะนี้ และกระแสพลังงานสีแดงที่ว่าก็คือธาตุไฟในกายของนางนั่นเอง
ทุกครั้งที่บีบเคล้นพลังงานสีแดงออกมา เซียถงรู้สึกเจ็บปวดทรมานเจียนขาดใจ ราวกับว่ามีใครกำลังฉีกเนื้อเลาะกระดูกออกมาทั้งเป็น แต่เพื่อรักษาชีวิตมิให้ถูกเปลวเพลิงสีทองเหล่านี้แผดเผาร่าง วิธีเดียวก็เหลืออยู่คือ การให้ธาตุไฟในกายของนางดูดกลืนพวกมันเข้าไปให้หมดจด ทว่ากระแสความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับ มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน สติสัมปชัญญะเริ่มเจือจางเรือนหายทีละน้อย เนื่องด้วยความเจ็บปวดเหล่านี้
เสี้ยวอึดใจก่อนที่เซียถงจะสิ้นสติลง พลังงานสีแดงที่เข้าสูบฉีดหล่อเลี้ยงร่างกายเริ่มแผ่วลง ส่งผลให้เปลวเพลิงสีทองจากภายนอกเริ่มพยศ เสี้ยวฮั่วร้องลั่นด้วยความกังวลสุดขีด
“นายท่านอดทนไว้! หากหลับไปตอนนี้พวกเราตายกันหมดแน่!”
ท่ามกลางจิตใจที่เคว้งคว้างสับสน จู่ๆ ก็ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลบ่าเข้ามาจากทางหัวไหล่ข้างขวาของนาง มันค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ห้วงจิตใจของนางอย่างช้าๆ เข้าเชื่อมสมานสติสัปชัญญะที่กระจัดกระจายไปเหลือชิ้นดีของนางให้กลับเข้ามารวบรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวอีกครั้ง จิตวิญญาณที่อ่อนแรงเต็มทนของเซียถงได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!
ทานทนต่อความเจ็บปวดสุดพรรณนานับคนา นางรีบเพ่งสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการควบคุมพลังงานสีแดง เพื่อเข้าห้อมล้อมเปลงเพลิงสีทองที่เริ่มพยศเหล่านั้นให้สงบลง ไม่นาน เปลวเพลิงสีทองอร่ามก็เริ่มเข้าสอดผสานรวมเป็นหนึ่งกับพลังงานสีแดง คล้อยหลังหลอมบรรจบเป็นเนื้อเดียว พลังงานสีแดงก็เปล่งประกายสีทองอำพันที่แกร่งกล้ากว่าก่อนหน้าไม่รู้กี่เท่าทวี ก่อนที่นางจะควบคุมให้พลังงานสีแดงประกายทองเหล่านั้นกลับเข้าจุดตันเถียนดังเดิม
หลังจากเปลวไฟสีทองบนเรือนร่างของนางหายไป เซียถงก็ลืมตาตื่นขึ้นพลางเหลือบไปเห็นมือขวาของเซียวซานที่กำลังกุมจับหัวไหล่ของนางเอาไว้อยู่ ด้วยความตกใจ นางจึงกระชับจับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเข้าฟาดฟันใส่อีกฝ่ายในบัดดล เพราะหลงเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะลอบทำร้าย
เซียวซานเองก็ไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่า จู่ๆ เซียถงจะเข้าโจมตีเขาทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพฉากนี้เกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะสามารถรับมือได้ทัน คมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเข้าบาดข้อมือของเขาจนเป็นแผลลึก โชคยังดีที่มีรัศมีลมปราณสีเงินค่อยปกป้องมิฉะนั้นอาจจะมือขาดไปแล้ว
เซียวซานร่นถอยออกมาเจือแววตื่นตระหนักเล็กน้อย จ้องหน้าเซียถง ทอประกายตาหงุดหงิดเล็กน้อย
ด้วยเหตุผลบางประการ หากมิใช่ตัวเขาที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเซียถงเมื่อครู่นี้ เกรงว่านางคงโดนเพลิงพิภพเก้าดุษณีเผาตายไปแล้ว
เมื่อถอนคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกมา เซียถงก็เพิ่งตระหนักได้ว่า อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายใดๆ ต่อตนเองเลย ที่เข้ามาแตะเนื้อต้องตัวเมื่อครู่เพราะต้องการช่วยเหลือตัวนางเองเท่านั้น พอคิดได้ดังว่า นางก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายทันที เงยหน้าหันไปมองเซียวซานราวกับต้องการขอโทษ แต่ก็แลเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังคงไร้ความรู้สึก
แปลกแหะ…ถึงจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเย็นชาก็เถอะ แต่สีหน้าเช่นนี้มันดูไร้ความรู้สึกเกินไป ราวกับว่า…นี่ไม่ใช่หน้าจริง?
คิดได้ดังนั้น เซียถงก็เอื้อมมือไปจับใบหน้าของเซียวซานโดยตรง
“แปลกมาก”
เซียถงออกแรงกระชากไปทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีหน้ากากผิวหน้ามนุษย์ติดมือนางออกมา
“ราชาหมาป่าสวรรค์ ไป๋หลี่หาน?”
พอได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเซียวซาน นางถึงกับร้องอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจ
“เซียถง นี่ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าแท้ๆ แต่ไฉนถึงตอบแทนกันเช่นนี้?”
ไป๋หลี่หานสืบเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พร้อมใช้มือข้างซ้ายกดแผลบนข้อมือขวาที่ถูกฟันเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ สายตาคู่นั้นภายใต้หน้ากากสีดำที่แนบติดใบหน้า มองมาทางนางอย่างเย็นชา
ไป๋หลี่หาน…หมอนี่มาจากไหน?
แต่ทันใดนั้นเอง เหมือนกับว่าเซียถงจะเพิ่งนึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้ ก็เลยหันขวับจับจ้องไปทางหยุนซีที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
หยุนซีถึงกับหดคอเจือทีท่าละอายใจเล็กน้อย โบกมือปัดส่งให้พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ อันที่จริง นางเองก็ไม่อยากให้ไป๋หลี่หานเดินทางติดตามมาด้วยเท่าไหร่ แต่เมื่อวานหมอนี่ดันลากนางไปคุยในเรือนพัก ทั้งยังยกเรื่องหนี้สินมาข่มขู่ บังคับให้นางพาเขาร่วมเดินทางไปกับเซียถงด้วย จนท้ายที่สุด หยุนซีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟังแต่โดยดี และพามาร่วมเดินทางด้วยอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
แต่…เดี๋ยวก่อน!
หากว่าหยุนซีรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เซียวซานก็คือไป๋หลี่หานที่ปลอมตัวมา แล้วการที่นางเป่าหูหลอกให้เซียถง หาจังหวะลอบฆ่าอีกฝ่ายอย่างลับๆ มันหมายความว่ายังไง?!!
เซียถงกดสายตาจับจ้องหยุนซีเขม็งเย็นชายิ่งยวด ก่อนที่จะเอ่ยปากกล่าวอะไรออกมา ไป๋หลี่หานที่อยู่เคียงข้างก็ชิงกล่าวขึ้นก่อน น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยจะอภิรมย์เท่าไหร่นักว่า
“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าเสาะหาเพลิงพิภพเก้าดุษณี ในเมื่อเจ้าดูดซับมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ขอลา!”
เมื่อครู่นี้ เปลวเพลิงที่มังกรเพลิงโลหิตพ่นออกมาก็คือ เสี้ยวหนึ่งของเพลิงพิภพเก้าดุษณี
กล่าวจบ ไป๋หลี่หานก็สาดประกายตาเย็นยะเยือกเข้าใส่เซียถงปราดหนึ่ง จะเห็นได้ชัดแจ้งว่า เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่ตนอุตาห์หวังดีช่วยเหลือ แต่กลับได้รับการตอบแทนเช่นนี้กลับมา ทางด้านเซียถงกับหยุนซีเองต่างก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุ แต่มิทราบว่าทำไม ไฉนตอนนี้ถึงรู้สึกเย็นราวกับอุณหภูมิติดลบ
เซียถงเงยหน้าสบมองแววตาอันเย็นชาประดุจน้ำแข็งของชายตรงหน้า เขามาที่นี่เพื่ออาสาช่วยนางตามหาเพลิงพิภพเก้าดุษณีด้วยความเต็มใจจริงๆ และหากไม่มีเขา เกรงว่าวันนี้ทั้งนางและหยุรนซีคงถูกมังกรเพลิงโลหิตเผาตายทั้งเป็นแล้ว
สุดท้ายก็เป็นเขาที่ช่วยเหลือชีวิตของนาง
ไป๋หลี่หานมองหน้าเซียถงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินจากออกไปพร้อมเสียงถอดถอนหายใจผิดหวังเฮือกใหญ่ ทางด้านเซียถงก็รีบวิ่งติดตามเขาออกไปทันที และขณะที่เดินผ่านหน้าหยุนซี ก็ไม่ลืมสาดสายตาเย็นชาปนแววไม่พอใจเข้าใส่ หยุนซีที่เห็นสายตาคู่ดังกล่าวก็ถึงกับเสียวสันหลังวูบ รู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อย
เซียถงได้แต่เหม่อมองแผ่นหลังของไป๋หลี่หานที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสได้ถึงไอเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาได้ชัดเจน ชายคนนี้กำลังโกรธนางอยู่จริงๆ