ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 211 ความหน่ายใจ (1)
ตอนที่211 ความหน่ายใจ (1)
“เซียถง หมอนั่นโกรธแล้วจะไปสนทำไม? ปล่อยมันไปเถอะ”
หยุนซีทโดดมาขวางหน้าเซียถง ลูบมือลูบไม้ดูมีทีท่าประหม่าเล็กน้อย
เซียถงมองค้อนใส่หยุนซีไปทีหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกแข็งกระด้างเย็นชา ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ ยกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือขึ้นมาพินิจตรวจสอบโดยละเอียด เมื่อเห็นว่าใบกระบี่ไม่ได้มีส่วนใดบุบสลาย นางค่อยสื่อจิตเก็บกระบี่ทัณฑ์ฟ้าลงในห้วงความคิดดังเดิม พร้อมสืบเท้าก้าวเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจหยุนซีเลยสักนิด จนกระทั่งออกมาถึงบริเวณหลุมลึกที่เข้ามาในทีแรก
“ไป๋หลี่หานมันคงโกรธที่ไม่ได้เพลิงพิภพเก้าดุษณี แล้วไฉนเจ้ายังต้องไปสนใจด้วย? นี่! อย่าเมินข้า! ลืมไปเสียแล้วรึว่า ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า! โทษฐานเมินเฉยต่อคำสั่งสอนของอาจารย์ ระวังจะถูกปรับเงิน!”
หยุนซีเดินติดตามนางมาไม่ห่าง เลิกคิ้วขู่ออกไปคำโต สีหน้าการแสดงออกไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก
“อาจารย์ที่หลอกลูกศิษย์ไม่สมควรได้รับความเคารพ”
เซียถงกล่าวตอบประโยคหนึ่งอย่างใจเย็น วาจาน้ำเสียงปราศจากระลอกคลื่นความโกรธใดๆ แต่นั่นกลับดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอีก
หยุนซีหลอกเป่าหูให้นางทรยศคิดร้ายต่อไป๋หลี่หาน คนที่มีบุญคุณช่วยเหลือนางทั้งในปัจจุบันและก่อนหน้า ซึ่งนับว่านางยังโชคดีมากที่ยังไม่คิดลงมือเคลื่อนไหว เพราะหากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา นางคงตายไม่รู้ตัวเช่นกัน
“นี่เจ้าคิดว่าข้าอยากพามันมามากเลยกระมัง? หากมิใช่เพราะมันยกเรื่องหนี้สินเข้ามาข่มขู่ข้า มีหรือจะพาคนอย่างมันมา? เจ้ารู้อะไรหรือไม่ เวลาอยู่กับคนแบบนั้น ข้าอึดอัดเสียยิ่งกว่าติดคุก!”
หยุนซีเริ่มมีน้ำโหปริปากบ่นไม่หยุดหย่อน จะเห็นได้ถึงความไม่พอใจที่มีต่อไป๋หลี่หานเผยแสดงออกจากใบหน้าอันงดงามของนางชัดเจนมาก
“แล้วท่านไปเป็นหนี้เขาเท่าไหร่?”
เซียถงเอ่ยถามขณะที่ฝีเท้ายังคงเดินแช่มออกห่าง การที่หยุนซีทั้งเกลียดทั้งกลัวไป๋หลี่หานขนาดนี้ แสดงว่าจำนวนหนี้สินคงเป็นมูลค่ามหาศาลมาก แต่หลังจากรอฟังคำตอบอยู่สักครู่ ปรากฏว่าไม่มีสุ้มเสียงใดๆ เปล่งดังออกมาจากเบื้องหลังเลย พอเหลียวหลังหันกลับไปมอง นางก็ไม่พบใครอยู่ด้านหลังแล้ว จู่ๆ หยุนซีก็หายตัวไปไหนไม่รู้!
หรือจะถูกผู้บุกรุกก่อนหน้าลอบจับตัวไปฆ่าทิ้ง?!
เซียถงตกใจสุดขีด รีบหมุนตัววิ่งย้อนกลับไปตามหาทันที พลางตะโกนเรียกเสียงดังสนั่น
“อาจารย์! อาจารย์หยุนซี!”
“ข้าอยู่นี่! มาช่วยข้าเร็ว!”
จู่ๆ เสียงตะโกนของหยุนซีก็เปล่งดังลั่น พินิจจากทิศทางของเสียงน่าจะมาจากตรงบ่อหินหนืดร้อนระอุที่เพิ่งจากกันออกไป ฟังดูราวกับกำลังใช้แรงมหาศาลขณะเปล่งเสียงตะโกน หรือว่ากำลังสู้อะไรสักอย่างอยู่?!
เซียถงรีบวิ่งติดตามทิศทางของสุ้มเสียงที่ดังเข้าหูทันที แต่พอไปถึงก็ต้องตะลึงงันอีกครา ภาพฉากเบื้องหน้าของนางก็คือ หยุนซีกำลังนั่งใช้กระบี่หยกเล่มยาวหันท่อนขาของมังกรเพลิงโลหิตที่นอนตายอยู่
“อาจารย์ นี่ท่าน…”
เซียถงจ้องเขม็ง เหม่อมองชักสีหน้าสงสัย
“ข้าจะหั่นเนื้อมังกรพวกนี้ไปขาย ขอเดาเลยว่า ยังไม่มีใครเคยแยกส่วนเนื้อมังกรพวกนี้มาขายแน่นอน และข้าก็เป็นคนแรกที่ทำ! กำไรเห็นๆ!”
หยุนซีกล่าวตอบไปคำหนึ่ง สองมือพลางบรรจงหันส่วนขาของมังกรเพลิงโลหิตให้เป็นชิ้นสวยสำหรับนำไปขาย และทุกครั้งที่ลงคมกระบี่ตัด มักจะมีธารเลือดสดสาดกระเซ็นออกมาเป็นระยะ ทำเอาใบหน้าและเนื้อตัวของหยุนซีเปรอะเปื้อนสกปรก แต่ถึงแบบนั้นนางกลับมิได้ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์เลย และยังคงนั่งหั่นเนื้อมังกรต่อไปราวกับพ่อค้าขายหมู
จะหั่นเนื้อมังกรไปขาย? ขนาดใหญ่ปานนี้วันไหนถึงจะหั่นหมด? หยุนซีคนนี้บ้าเงินเกินเยียวยาแล้วจริงๆ!
“อาจารย์ เช่นนั้นก็ตามสบายเถิด ข้าขอตัว”
เซียถงเหลือบสายตามองหยุนซีไปทีหนึ่ง แววตาเจือร่องรอยน่าสังเวชใจอยู่หนึ่งส่วน และหันหลังเดินจากออกไปโดยไม่แยแสใดๆ อีกเลย
“เซียถง! มาช่วยข้าหั่นก่อนเร็วๆ! มังกรตัวตั้งใหญ่ ข้าหั่นคนเดียวไม่ไหว!”
แต่ไม่ว่าหยุนซีจะตะโกนร้องเรียกเพียงใด เซียถงก็ไม่ตอบ ทั้งยังปล่อยร้างทิ้งนางอยู่ตรงนั้นคนเดียว
“นายท่าน เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่ท่านดูดซับเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น อานุภาพค่อนข้างอ่อนแอมาก ดูเหมือนว่าเพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่เหลือจะถูกแย่งชิงไปก่อนหน้านี้แล้ว”
เสียงเรียกของเสี่ยวฮั่วดังขึ้นผ่านห้วงความคิดของเซียถง
กระทั่งตัวนางเองก็สัมผัสได้ว่า พลังเปลวเพลิงสีทองเหล่านี้ที่เพิ่งดูดซับมา มันค่อนข้างอ่อนแออย่างบอกไม่ถูก หาได้แกร่งกล้าไร้เทียมอย่างที่จินตนาการถึงเท่าไหร่ และพอได้ฟังคำอธิบายของเสี่ยวฮั่ว นางก็เข้าใจได้ทันที
“แต่ก็นับเป็นความโชคดีในโชคร้ายเช่นกัน เพราะหากเมื่อครู่ต้องดูดซับเพลิงพิภพเก้าดุษณีทั้งหมดมา เกรงว่าข้าคงไม่มีพละกำลังมากเพียงพอที่จะต้านรับได้ไหว ไม่เพียงท่านจะไม่สามารถพิชิตเพลิงพิภพเก้าดุษณีได้ แต่ท่านยังอาจถูกเพลิงเหล่านั้นแผดเผาจนตาย แต่นี่ขนาดเป็นเพียงเศษเสี้ยวยังเกือบเอาชนะไม่ไหว นายท่าน ข้าจำเป็นต้องกลับสู่สภาวะจำศีลสักระยะ พลังจิตวิญญาณที่สั่งสมมาตลอดที่ผ่านมาแทบหมดเกลี้ยง หลังจากตื่นขึ้น ค่อยช่วยกันตามหาเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนที่เหลือใหม่เสียแล้วกัน”
กล่าวจบเสี่ยวฮั่วก็กลับไปพักฟื้นพลังโดยทันที และกลับสู่สภาวะจำศีลไป
เซียถงก่นเสียงตอบไปคำหนึ่ง จากนั้นก็สื่อจิตถามกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในห้วงความคิดต่อว่า
“หลิวซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่โดนเปลวเพลิงลวกใช่ไหม?”
ทว่ากระบี่ทัณฑ์ฟ้ากลับแน่นิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนอง แม้จะเอ่ยถามออกไปหลายต่อหลายครา มันก็ยังนิ่งสงัดจนสุดท้ายนางต้องเลิกถามไปเอง
เดินออกมาภายนอก นางก็ปีนเชือกที่ห้อยทิ้งไว้ตรงหลุมลึกขึ้นไป ซึ่งระหว่างทางก่อนหน้า นางก็พบรองเท้าข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอยเท้าเปื้อนเลือดก่อนหน้า หยิบมันขึ้นมาห่อด้วยผ้าผืนหนึ่งที่พกติดตัวไว้และคาดเก็บไว้ที่เอว หลังจากปีนขึ้นมาจากก้นหลุมได้สำเร็จ นางก็เตรียมตัวจะกลับ ภายในใจคาดการณ์ไว้ว่า รองเท้าเปื้อนเลือดข้างนี้จะต้องเป็นเบาะแสสำคัญที่จะนำไปสู่เพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่เหลือแน่นอน
พอเดินออกมา นางก็เหลือบเห็นไป๋หลี่หานที่กำลังยืนหลังพึงแผ่นหินอยู่ ไม่คาดไม่ฝันเช่นกันว่าอีกฝ่ายยังอยู่ที่นี่มิได้จากไปไหน นางเหลือบสายตามองไปทางเขา ส่วนเขาเองก็เหลือบสายตามองมาทางนางเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างสบตากันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เซียถงจะเดินหาคลายเชือกจูงม้าที่ผูกติดกับต้นไม้ กระโดดขึ้นควบบังเหียนและควบม้าจากออกไปโดยทันที
ไป๋หลี่หานหันศีรษะมองดูเม็ดฝุ่นที่ฟุ้งตลบอบอวลพร้อมเงาม้าที่เคลื่อนจากออกไป ดวงตาคมเฉียบคมเปล่งแสงเป็นประกายส่องสะท้อน ยกนิ้วขึ้นมาเป่าเป็นเสียงนกหวีดดังขึ้นทีหนึ่ง ทันทีทันใดม้าสีโลหิตก็ควบทะยานออกจากป่าด้านข้างเคียง โดยไม่รอช้า เขากระโดดขึ้นหลังม้าและควบติดตามหญิงสาวที่ล่วงหน้าออกไปก่อนหน้าโดยไว
เมื่อได้ยินเสียงกีบม้ากระทบพื้นเร้าจังหวะรัวแรง อยู่ท้ายหลังของนางมาติดๆ เซียถงก็อดใจเหลียวหน้าหันกลับไปมองมิได้ แลเห็นม้าสีแดงโลหิตฉาบคลุมเม็ดเหงื่อ กำลังควบทะยานเข้ามาใกล้ ชักนำเศษดินเศษฝุ่นฟุ้งกระจายหลายตลบ หากให้เปรียบคงไม่ต่างจาก รถสปอตอย่างBMWที่กำลังไล่ตามรถจ่ายกับข้าว ไม่น่านไป๋หลี่หานก็แทรกนางขึ้นไปและหยุดม้าขวางทางเบื้องหน้าเอาไว้ หันหน้ามองเซียถงอยู่สักครู่หนึ่ง
“เซียถง ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ๆ ไยคิดจะจากลาโดยไม่กล่าวอันใดสักคำ? หรือนี่เป็นวิธีที่เจ้าใช้ปฏิบัติกับผู้มีบุญคุณ?”
รอยยิ้มสีจางผุดขึ้นบนมุมปาก ไป๋หลี่หานเอ่ยถามเคียงประดับแววตาใสพิสุทธิ์
“เช่นนั้นแล้ว ท่านต้องการสิ่งใด?”
เซียถงดึงบังเหียนบังคับม้าให้หยุดโดยพลัน เอ่ยถามกลับไปคำหนึ่ง
ทว่าไป๋หลี่หานกลับไม่ปริปากตอบ ดวงตาคู่คมหรี่แคบลงหนึ่งส่วน จับจ้องนางเป็นประกายแวววับ
เซียถงนั่งอยู่บนหลังม้ามองสู้ สบสายตาอีกฝ่ายสวนกลับไปอย่างไม่มีกลัวเกรง ภายในใจพลางคิดไปว่า จุดประสงค์ของชายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่? ช่วยเหลือนางเพื่อให้ได้เพลิงพิภพเก้าดุษณีมาครอบครองเฉยๆ? หรือเป็นไปได้ไหมว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายคือ การนำเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาเป็นของตนเอง? แต่ตอนนี้เพลิงดังกล่าวก็ถูกนางดูบซับไปแล้ว เช่นนั้นเขาต้องการอะไร?
ฆ่านางทิ้งแล้วชิงมาเป็นของตนเอง? แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วทำไมไม่แย่งตั้งแต่ทีแรก?
สายตาคู่สวยหรี่แคบเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นเท่าทวี ถึงแม้ความแกร่งกล้าของอีกฝ่ายจะเกินหยั่งรู้ แต่หากอีกฝ่ายกล้าเคลื่อนไหวจริงๆ นางเองก็กล้าสู้ตายไปข้างเช่นกัน
สายลมเย็นพัดผ่าน ย่ำรุ่งแรกแย้มเยือนย่าง ดวงตะวันทอแสงอ่อนปรากฏเหนือขอบฟ้า ทว่าบรรยากาศภาคพื้นเบื้องล่างช่างเย็นยะเยือกฉาบความเงียบสงัด ราวกับยามตะวันอัสดงลับขอบฟ้าก็มิปาน