ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 212 ความหน่ายใจ (2)
ตอนที่212 ความหน่ายใจ (2)
สองร่างนั่งควบอยู่บนบังเหียนม้าหันหน้าเข้าปะทะกัน ไอเย็นยะเยือกขุมหนึ่งแผ่ซ่านกวาดล้างอาณัติบริเวณ ไป๋หลี่หานและเซียถงสบสายตาประจันหน้ากัน แต่เดิมที่อากาศโดยรอบค่อนข้างร้อน กลายเป็นหนาวสั่นถนัดตา
ไป๋หลี่หานจ้องเซียถงเขม็ง ดวงตาเปล่งประกายสว่างสุกไสว ดั่งมหาสมุทรพราวแสงระยิบระยับที่ลึกล้ำไร้ขอบเขต มิอาจล่วงรู้ได้ถึงความคิดนับร้อยพันที่อยู่ในหัวของเขาได้เลย หากชายคนนี้มีเจตนาสังหารนางจริง ปานนี้เซียถงคงตายไปนานแล้ว พอคิดได้ดังนั้น ร่องรอยความสิ้นหวังพลันคืบคลานปรากฏขึ้นในเบื้องลึกของนัยน์ตาหญิงสาว
คล้อยหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจต่อมา ไป๋หลี่หานก็ถอนหายใจเสียงแผ่วเบาอยู่เฮือกหนึ่ง ดึงเชือกควบบังเหียนเพื่อหันหัวม้าจากไปภายใต้แสงแรกอรุณสีจางบนขอบเขตฟ้าไกล แผ่นหลังของบุรุษยอดฝีมือผู้นี้ให้อารมณ์เปลี่ยวเหงาโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
ปรากฏว่าเขามิได้มาที่นี่เพื่อช่วงชิงเพลิงพิภพเก้าดุษณีจริงๆ? หรือก็คือปล่อยกันไปโดยง่ายเช่นนี้เลย? เซียถงทอดสายตาเหม่อร่างที่เคลื่อนห่างออกไปของไป๋หลี่หาน ทีท่าฉงนใจมึนงงเล็กน้อย คล้อยหลังครุ่นพินิจกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เข้าใจแล้วว่า อีกฝ่ายมาช่วยเหลือนางจริงๆ มิใช่เพราะต้องการเพลิงพิภพเก้าดุษณี
อย่างไรเสีย หากเขามิได้มาที่นี่เพื่อช่วงชิงเพลิงพิภพเก้าดุษณีไปให้ไป๋หลี่อวี๋อิงแล้ว แล้วจะมาช่วยทำไม? เพราะความเป็นไปได้เดียวที่เซียถงนึกออกคือ ไป๋หลี่หานมีศักดิ์เป็นท่านอาของไป๋หลี่อวี๋อิง ดังนั้นแล้วเพื่อหลานตัวเอง บางทีเขาอาจจะอาสามาช่วย เพราะหวังนำเพลิงพิภพเก้าดุษณีนี้ไปมอบให้แก่นาง? แต่ใครจะไปคิด พอช่วยเหลือเซียถงเสร็จแล้ว ก็ควบม้ากลับโดยไม่สนใจใดๆ อีกเลย?
เมื่อเซียถงกลับมายังสถานศึกษาเซิงหลิง นางก็เหลือเวลาอีกสองวันครึ่งที่ว่างจากการขอลาหยุดไม่เข้าเรียน หลังจากพักผ่อนไปชั่วครู่ใหญ่ นางก็ลุกขึ้นมาวานให้อิ๋งเอ๋อร์ไปเตรียมสมุนไพรที่เฉียนอวิ๋งมอบให้ก่อนหน้านี้รอเอาไว้ ส่วนนางในเวลานี้จะทดลองหลอมกลั่นโอสถชนิดอื่นเพื่ออุ่นเครื่องก่อน พอปิดประตูห้องแน่นหนาเสร็จสรรพ เซียถงก็ลองยกมือขวาขึ้นประจักษ์ต่อหน้า เพียงหนึ่งความคิดเคลื่อนขยับ ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงสีทองอ่อนลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือ
หลังจากที่ดูดซับและหล่อหลอมกับธาตุไฟในกายนางจนสมบูรณ์ เพียงสะเก็ตเปลวเพลิงกลุ่มจิ๋วที่เรียกออกมา มันก็สร้างความร้อนได้เหนือความคาดหมายของเซียถงเอาไว้มาก ซึ่งระดับความร้อนของเพลิงพิภพเก้าดุษณีบนฝ่ามือของนางในเวลานี้ มันเทียบเท่าได้กับตอนที่มังกรเพลิงโลหิตพ่นออกมาจากปากเลย
แต่ทันใดนั้นเอง ภายในห้วความคิดของนางก็บังเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง แวบต่อมา หลิวซูก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเซียถง ทั้งยังกล่าวว่า
“แต่เดิมมังกรเฒ่าตนนั้นเป็นเพียงมังกรไฟธรรมดา แต่เพราะสถานที่ที่มันจำศีลอยู่ดันเป็นสถานที่เดียวกับแหล่งกำเนิดเพลิงพิภพเก้าดุษณี เมื่อกาลเวลาผ่านไป เพลิงพิภพเก้าดุษณีก็หลอมรวมไปกับมังกรเฒ่าตนนั้นโดยธรรมชาติ ทำให้มันแข็งแกร่งเป็นพิเศษ”
กว่าจะโผล่หัวมาได้!
เซียถงเหลือบสายตามองค้อนไปทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะปริปากด่ากราดออกไป ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นปลายผมสลวยสีเงินของมันที่ดูแปลกไป นางเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“หลิวซู ปลายผมเจ้าไฉนหยิกหยอยปานนั้น? โดนเพลิงพิภพเก้าดุษณีเผาเข้าตอนไหน?”
หลิวซูได้ยินดังนั้นก็เอะใจ เหลียวสายตาเคลื่อนไปมองบริเวณปลายเส้นผม ก่อนค้นพบว่า ปลายผมส่วนนั้นของมันถูกเผาจนไหม้เกรียมเป็นสีน้ำตาลขดแข็ง
“ผมของข้า!! ไอ้มังกรเฒ่าบัดซบ! กล้าดียังไงมาเผาเส้นผมของข้า!!!”
ทันใดนั้น บังเกิดเสียงดังสนั่นลั่นห้องเสมือนเสียงเตือนภัยมหันตภัยร้าย รีบยกมือทั้งสองข้างประคองเส้นผมที่ไหม้ในส่วนนั้นอย่างบรรจง สาดสายตาเคลื่อนไปหาเปลวเพลิงสีทองอ่อนที่เต้นระบำอยู่บนฝ่ามือของเซียถงอยู่หนึ่งปราด สีหน้าซีดเผือดจนเห็นได้ชัด ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นลมล้มพับไปทั้งแบบนั้น
เอ่อ…เจ้านี่มันเป็นลมจริงๆ รึ?
เซียถงเดินเข้าไปใกล้เอื้อมมือไปเขย่าร่างของหลิวซูที่นอนกองกับพื้นเบาๆ หลายที พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นลมจริงๆ ก็ถึงกับถอนหายใจ เป็นลมเพราะปลายเส้นผมถูกเพลิงพิภพเก้าดุษณีเผาจริงๆ รึนี่? เห็นอีกฝ่ายยังนอนแน่นิ่งไม่ฟื้นคืนสติสักที นางจึงอุ้มร่างของมันขึ้นไปนอนพักบนเตียง จากนั้นก็หันมาสนใจกับการหลอมกลั่นโอสถตรงหน้าต่อ เพียงกระดิกปลายนิ้ว เปลวเพลิงสีทองอ่อนก็บินเข้าไปใต้ก้นเตาหลอมกลั่นโดยตรง
หลังจากจุดไฟเตาหลอมกลั่น เปลวเพลิงสีทองอ่อนก็พราวแสงสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย ทดลองมุ่งจิตควบคุมอยู่สองสามคราจนเริ่มชินมือในที่สุด เปลวเพลิงสีทองอ่อนก็ขนาดใหญ่ขึ้ในทันใด เปลี่ยนสีกลายมาเป็นสีทองปนแดง
สีของเปลวเพลิงเฉกเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าถูกควบคุมจนเสถียรแล้วในระดับหนึ่ง นางสามารถเริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโอกสได้แล้ว
ครั้นหนึ่ง เซียถงเคยค้นพบว่า หนึ่งในหัวใจสำคัญของเส้นทางหลอมกลั่นโอสถคือ ความเสถียรในการควบคุมเปลวเพลิง และนางก็เคยทำพลาดจนหลอมกลั่นโอสถล้มเหลวเพราะมุ่งจิตสมาธิควบคุมไม่ดีพอ นี่แสดงให้เห็นว่า เปลวเพลิงที่ใช้ในการหลอมกลั่นมันสำคัญมากขนาดไหน ดังนั้น หากใช้เปลวเพลิงที่ดีขึ้น คุณภาพของโอสถที่หลอมกลั่นได้ย่อมต้องสูงขึ้นโดยธรรมชาติ?
สองชั่วยามต่อมา กลิ่นสุคนธรสหอมจางล่องลอยออกมาจากเตาหลอม สัมผัสแรกที่ได้รับคือความสดชื่นเมื่อสูดดม เซียถงยกฝ่าเตาหลอมขึ้นมาอย่างมีความสุข แลเห็นเป็นโอสถสีขาวน้ำนมบริสุทธิ์จำนวนกว่าแปดถึงเก้าเม็ดนอนนิ่งอยู่ภายในนั้น
ลองสุ่มหยิบสักเม็ดขึ้นมาพินิจพิจารณาโดยละเอียดตรงหน้า นางก็ค้นพบทันทีว่า โอสถเหล่านี้มคุณภาพสูงกว่าโอสถบรรดาก่อนหน้าที่เคยหลอมกลั่นมาทั้งหมด ทั้งในแง่เนื้อมวลสารและความหนาแน่น
โอสถที่หลอมกลั่นรอบนี้มีคุณภาพค่อนข้างน่าทึ่ง แม้จะถูกหลอมกลั่นโอสถระดับชั้นราชาโอสถ แต่ทว่าประสิทธิภาพของตัวโอสถที่ได้กลับสูงราวกับว่า ถูกหลอมกลั่นมาจากมือปราชญ์โอสถขนานแท้
ทั้งรูปทรงและความแวววาวของสี ไม่ว่าจะดูยังไงก็หาใช่สิ่งที่ระดับชั้นราชาโอสถจะสามารถทำได้เลย หากมิใช่เพราะเพลิงพิภพเก้าดุษณีนี้ เซียถงคงไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถคุณภาพสูงขนาดนี้ได้แน่นอน
ขนาดเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่นางครอบครองยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวจากทั้งหมด ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งปานนี้ หากได้เพลิงพิภพเก้าดุษณีทั้งหมดในกำมือ ผลลัพธ์ที่ได้จะยิ่งน่าทึ่งขนาดไหน?
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ประกายตาของเซียถงพลันสว่างไสวแพรวพราวขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด นางจะต้องเสาะหาหนทางนำเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่เหลือมาครองให้จงได้!