ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 214 สหายคนหนึ่งที่ร่วมเคียงบาเคียงไหล่
ตอนที่214 สหายคนหนึ่งที่ร่วมเคียงบาเคียงไหล่
“อืม”
เซียถงพยักหน้าให้อิ๋งเอ๋อร์ไปทีหนึ่ง และวานให้อีกฝ่ายออกไปซื้อข้าวที่โรงอาหารให้ที ช่วยสามวันที่ผ่านมา นางไม่ได้กินน้ำแม้แต่หยดเดียวด้วยซ้ำ และตอนนี้ก็รู้สึกหิวจนไส้กริ้วแล้ว
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าและลุกขึ้นออกไปทันที
เมื่อครู่หลิวซูพูดจาขี้โม้โอ้อวดซะบาตรให้ และไม่ว่าตัวมันจะหน้าด้านขนาดไหน แต่พอโดนจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ มันเองก็ควบคุมอาการสั่นเทาที่บังเกิดขึ้นมิได้ เซียถงยังคงยืนกอดอกพึงกำแพงอยู่เบื้องหน้าดังเดิม แต่ในสายตาของหลิวซูแล้ว หญิงสาวเบื้องหน้าในเวลานี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่านางมารปีศาจร้ายที่จ้องจะกระชากกัดกินมัน
แลเห็นเป็นดังนั้น หลิวซูก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวอยู่ครู่ใหญ่ ไม่กี่อึดใจต่อมา มันก็เคลื่อนสายตามองเซียถงที่เริ่มขยับตัว เห็นเพียงว่า นางเดินลงมานั่งบนโต๊ะ กำลังถือกาน้ำชารินใส่ถ้วยที่ว่างอยู่อย่างใจเย็น พลางยกขึ้นเชยชื่นริมจิบขึ้นคำหนึ่ง
“วันนั้น…เจ้าไม่กลัวถูกเปลวเพลิงพวกนั้นคลอกตายเลยงั้นรึ?”
หลิวซู่เอ่ยถามเซียถงออกไป ซึ่งนี่เป็นคำถามที่ยังคาใจมันเรื่อยมาตลอดสามวัน
“แน่นอน ข้ากลัว แต่ในเมื่อตัวเจ้ายอมรับตัวข้าในฐานะเจ้าของแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไร?”
เซียถงวางถ้วยชาในมือลง ทอดสายตาจับจ้องไปทางหลิวซู ไม่นานก็เริ่มยกดื่มขึ้นใหม่อีกระลอก
หลิวซุสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น มันยกมือกุมหน้าท้องระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ทั้งยังกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยเห็นใครโง่เง่าเท่าตัวเจ้ามาก่อนเลย เหตุผลที่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนถวิลหายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็เพื่อยกระดับพลังฝีมือของตัวเองทั้งสิ้น หากให้พูดกันตามตรง พวกมันก็เห็นยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเราเป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง ใช้พวกเรากวัดแกว่งเพื่อความปลอดภัยของตัวเองทั้งนั้น และไม่มีเจ้าของคนใดที่คิดจะใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเครื่องมืออย่างพวกเรา”
กล่าวจบเซียถงชะงักถ้วยชาในมือไปครึ่งจังหวะ เงยหน้าสบสายตามองหลิวซูสีหน้าจริงจัง กล่าวว่า
“ข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นขี้ข้าหรือเครื่องมือใดๆ ส่วนเจ้าเองก็ไม่ต้องมามองข้าเป็นเจ้านายหรือนายเหนือหัวอะไรพวกนั้น ข้าไม่ชอบ”
ฟังแล้วก็คล้ายคำดูหมิ่นกรายๆ เพราะมีผู้คนมากมายบนพิภพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ยุทธภภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ยอมรับพวกตนในฐานะเจ้านาย แต่ สาวน้อยตรงหน้ากลับพูดกับมันว่า ไม่ต้องมามองข้าเป็นเจ้านาย? กลับเป็นฝ่ายมันเองที่โดนปฏิเสธ?
ดวงตาคู่นั้นของหลิวซูหม่นประกายดิ่งมืดจมลงโดยพลัน เสมือนมีชั้นหมอกหนาเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วใบหน้าของมัน และขณะที่กำลังจะปริปากตอบโต้ จู่ๆก็ได้ยินเซียถงกล่าวขึ้นต่อว่า
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าคิดว่าตนเป็นอาวุธในมือข้า เพียงขอให้จดจำไว้ เจ้าคือสหายคนหนึ่งของข้าที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ยามสุขเราร่วมยิ้มร่า ยามทุกข์เราร่วมสู้จนตัวตาย!”
ทันทีที่ประโยคนี้เปล่งดังออกมา สีหน้าของหลิวซูถึงกับแข็งค้างตะลึงงัน ปรากฏแววแสงประหลาดสาดสะท้อนวาบจากนัยน์ตาคู่นั้นของมัน
ในสายตาของนาง เห็นยุทธภัณฑ์อย่างข้าเป็นสหายร่วมทาง?
ซดน้ำชาภายในถ้วยจนหมด เซียถงก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าโดยเพิกเฉยต่อทุกอากัปกิริยาของหลิวซูในเวลานี้อย่างสมบูรณ์ ปล่อยให้มันนั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ และขณะที่นางกำลังหยิบผ้าเช็ดตัวผืนสะอาดเข้าห้องอาบน้ำ เมื่อเหลียวหลังหันกลับมา ร่างของหลิวซูก็อันตรธานหายวับไปจากจุดที่นั่งอยู่แล้ว เซียถงลอบยิ้มบางประดับมุมปาก ในเวลานี้หลิวซูเริ่มจะเปิดใจให้นางมากขึ้นแล้ว
เพราะหากให้กล่าวกันตามจริง หากหลิวซูยังคงปิดกั้นจิตใจไม่ยอมรับในตัวเซียถงเลยแม้แต่น้อยจวบจนปัจจุบัน มีหรือที่มันจะยอมปล่อยวางตัวเอง พูดคุยกับอิ๋งเอ๋อร์อย่างสนุกสนานปานนั้น? ก็เป็นเพราะว่า มันเริ่มต้นที่จะเปิดใจแก่เซียถงแล้ว มันจึงเริ่มที่จะยอมรับผู้คนรอบข้างมากขึ้น
สักครู่หนึ่ง อิ๋งเอ๋อร์ก็นำอาหารกล่องใหญ่กลับเข้ามา เซียถงรับประทานเสร็จสรรพและค่อยไปนอนพักผ่อนบนเตียง
ในช่วงกลางดึก เซียถงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำรัดรูปสำหรับใช้ลอบเร้นโดยเฉพาะ อุ้มกล่องบรรจุโอสถเก้าทองคำไว้ในอ้อมแขน และกระโจนออกหน้าต่าง มุ่งหน้าไปยังทิศทางวังหลวงโดยไว เพื่อเดินทางไปส่งมอบโอสถแก่เฉียนอวิ๋ง
ซึ่งในคราวนี้ เซียถงมิได้สื่อจิตเรียกหลิวซูให้มาด้วยกัน เพราะหลังจากตัดสินใจอยู่นาน นางก็มีมติว่า หากปล่อยให้อีกฝ่ายมาด้วยอาจจะสร้างปัญหาลำบากเกินแก้ให้ตัวนางได้ ครั้งล่าสุดที่มันลอบไปขโมยแก้วแหวนเงินทองและเครื่องประดับล้ำค่ามากมายจากในวัง เซียถงยังปวดหัวไม่หาย เพราะแก้วแหวนเงินทองและเครื่องประดับนานาจิตตังพวกนั้น ล้วนมีตราราชวงศ์ประทับไว้อยู่ จะเอามาใช้ก็เสี่ยงโดนจับ จะเอาไปขายต่อก็ทำไม่ได้ ได้แค่เก็บซ่อนอยู่ในห้องพักเท่านั้น และนางกังวลเหลือเกินว่า หากวันดีคืนดีใครเข้ามาบุกค้นห้องพักของนาง เกรงว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาไม่เข้าเรื่องถาโถมใส่
เมื่อเข้าใกล้ตัวตำหนักที่เฉียนอวิ๋งพักอาศัย ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยอันไพเราะเสนาะหูก็ดังขึ้น สุ้มเสียงจังหวะโอยอ่อนประณีต แต่คมชัดมั่นคง ผนวกคู่กับบรรยากาศใต้แสงจันทร์เจ้าสีนวลอ่อน เซียถงถึงกับตกอยู่ในภวังค์ความชื่นภิรมย์ไปชั่วขณะหนึ่ง
เซียถงดึงสติกลับคืนเข้ามาโดยไว และกวาดสายตามองหาที่มาของเสียงขลุ่ยดังกล่าว ทอดสายตามองทะลุใบหญ้าชั้นเขียวเข้าไป แลเห็นเฉียนอวิ๋งที่กำลังนั่งอยู่บนกิ่งต้นไม้ใหญ่หน้าศาลาลานพัก
ขลุ่ยจีนโบราณแท่งยาวด้านหนึ่งประกบชินบนริมฝีปาก ดวงตาหรี่แคบหลับลงครึ่งหนึ่ง แผ่นหลังนั่งพักพึงอยู่บนลำต้น ขาข้างหนึ่งยกขึ้นวางอยู่ในท่าชันงอ ส่วนอีกข้างปล่อยสบายห้อยลงมา แสงจันทร์สาดประกายส่องผ่านกิ่งก้านใบลงมา มีบางจุดตกกระทบลงบนร่างเป็นดวงแสงสีนวลอ่อน บรรยากาศยามค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงบ กอปรเคียงคู่สายลมเย็นโชยอ่อน เสมือนนี่เป็นโลกของชายผู้นี้ก็มิปาน
“องค์รัชทายาท นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีแม้แต่ข่าวคราวเกี่ยวกับโอสถเก้าทองคำเลยสักนิด เกรงาว่าเราโดนนางหลอกแล้วเป็นแน่!”
ซือโม่ยืนกอดอกเฝ้าอยู่ตรงโคนต้นเบื้องล่าง ยามนี้เงยหน้าแช่มมองไปที่เฉียนอวิ๋งและกล่าวน้ำเสียงกังวลเอ่ยดัง
บทบรรเลงของเสียงขลุ่ยอันไพเราะจบลงแต่เพียงเท่านี้ เฉียนอวิ๋งถอนขลุ่ยจีนโบราณจากริมฝีปาก กดสายตามองลงไปทางซือโม่ กล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า
“นางไม่หลอกเราแน่นอน”
“องค์รัชทายาท ไฉนท่านถึงเชื่อมั่นในตัวของนางนัก? กระทั่งทุกวันนี้ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวใดๆเลย เกรงว่าอีกฝ่ายคงเดินทางออกจากตงหลี่ไปพร้อมกับสมุนไพรของเราแล้ว!”
ซือโม่กล่าวคาดการณ์ออกไปอีกครา สีหน้าท่าทางค่อนข้างเครียดกังวล
เขามั่นใจมากว่า หญิงสาวในชุดดำตอนนั้นจะต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎิแน่นอน แล้วไฉนองค์รัชทายาทของตนยังเชื่อนางอยู่อีก?
“นางหาใช่คนหลอกลวง คนที่กล้าสู้สายตาขนาดนั้นจะพูดโกหกได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายของนางยังแน่วนิ่ง เรียบสงบยิ่งยวด ผู้คนที่มีคุณสมบัติเหล่านั้นไม่มีทางเป็นพวกขี้โกหกแน่นอน”
เฉียนอวิ๋งส่ายหัวตอบกลับน้ำเสียงมั่นคงเด็ดขาด ไม่สะทกสะท้านกับคำคาดคะเนของซือโม่เลยสักนิด ทั้งนี้เขายังคงเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองที่สุด
มีเพียงคนที่พูดความจริงเท่านั้นที่จะกล้าสบสายตาใส่ขณะเอ่ยกล่าวออกมา ตรงกันข้ามกับผู้คนเวลาพูดโกหกที่มักจะชอบหลบตา
ซือโม่ถึงกับส่ายหัวอ่านพลางถอดถอนหายใจเสียงยืดยาว มิทราบเลยว่า องค์รัชทายาทไปโดนยาพิษตัวไหนมา ถึงได้เชื่อใจคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เห็นเลยสักครา แต่จะอย่างไร เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สุดแท้แล้วแต่การตัดสินใจของผู้เป็นนายของตนล้วนๆ คิดได้ดังว่า เขาก็นั่งยืดเหยียดแข้งขาอยู่ใต้โคนต้นไม้ หยิบกระบี่เล่มใหม่ที่เฉียนอวิ๋งมอบให้มาเช็ดถูทำความสะอาดด้วยความรักใคร่ดูแล และขอนั่งเงียบๆไม่แสดงความคิดเห็นใดๆอีกต่อไป