ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 215 ความเข้าใจผิดของเฉียนอวิ๋ง (1)
ตอนที่215 ความเข้าใจผิดของเฉียนอวิ๋ง (1)
ได้ยินเสียงถอดถอนหายใจแผ่วอ่อนดังจากทางซือโม่ที่อยู่เบื้องล่างโคนต้นไม้ เฉียนอวิ๋งก็ระบายยิ้มสีจาง ทอดสายตาแช่มมองลอดช่องกิ่งก้านใบ และเชยชมพระจันทร์ที่แขวงค้างอยู่บนฟากฟ้ารัตติกาล ภาพฉากใบหน้าของสตรีงามนางนั้นได้ปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเขา ยามนึกถึงก็อดยิ้มมิได้
นางเป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิหรู่หรานจริงๆ งั้นรึ?
เคยได้ยินมาว่า ในปีนั้น องค์หญิงแห่งหรู่หรานรอดตายจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และตกสู่ชีวิตสามัญชนคนธรรมดา ทั้งยังระหกระเหินเดินทางไปทั่วทวีปเทียนหลางพร้อมกับหญิงชราผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์ที่มีแต่ความคิดที่จะแก้แค้นและกอบกู้จักรวรรดิให้ฟื้นคืนกลับมา โดยอาศัยเสน่ห์ขององค์หญิงแห่งหรู่หรานเที่ยวหลอกล่อองค์ชายและองค์รัชทยาทจากจักรวรรดิต่างๆ ซึ่งเฉียนอวิ๋งเองก็ไม่ทราบกระจ่างนักว่า นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรกลับมีความจริงอันน่าเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ ระหว่างสองตระกูลกลับมีบัญชีแค้นอาฆาตที่บาดลึกเกินจะลบล้างได้แล้ว หากเขาพบเจอกับนางในครั้งต่อไป คงมีแต่ต้องสู้กันเท่านั้น และนี่เป็นชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง
เสียงหอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้น ลอดผ่านช่องมุมปากของเฉียนอวิ๋งไปทีหนึ่ง โฉมหน้าอันหล่อเหลาต้องฉาบคลุมไปแววความหม่นหมองโศกเศร้าเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาคู่นั้นที่เหม่อลอยไร้จุดหมาย พลันกระตุกวูบอย่างแรงและวิสัยทัศน์ตรงหน้ากลับมาคมชัดจริงจังขึ้นในทันใด หรี่สายตาแคบลงหลายส่วน เพ่งมองบางสิ่งลอดช่องกิ่งก้านใบออกไปอย่างเงียบงัน แม้ร่างตรงหน้าจะแต่งกายในชุดดำ แต่ก็ยากเกินกว่าจะปกป้องสัดส่วนที่โค้งเว้าพราวเสน่ห์ของอิสตรีงามได้
นางยังคงยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์นวล สายตาคู่คมแน่วแน่ไม่แยแสหรือสนใจใดๆ เสมือนกุหลาบดำต้องห้ามที่ใอนุญาตให้ผู้ใดมาแตะต้อง
เฉียนอวิ๋งเบิกตาโตเป็นประกายเจิดจ้า เขาลุกขึ้นพรวดทันควัน คู่เท้ากระตุกวูบอันตรธานร่างหายวับ เสี้ยวพริบตาต่อมาก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตาเซียถง
“เจ้ามาแล้ว!”
เฉียนอวิ๋งยิ้มกริ่มปีติมองหน้าเซียถงไม่คลายอ่อน จนสังเกตเห็นแววความเป็นประกายระยิบระยับจากดวงตาคู่นั้นของเขา
“โอสถหลอมกลั่นเสร็จแล้ว”
เซียถงยื่นมือของนางขึ้นต่อหน้าอีกฝ่าย ปรากฏเป็นโอสถเม็ดสีทองมันวาวที่นอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือของนาง
ขณะที่เฉียนอวิ๋งกำลังจะเอื้อมมืไปรับ แต่จู่ๆ โอสถเก้าทองคำเม็ดนั้นก็ถูกฉกคว้าออกไปโดยซือโม่ที่ปราดพุ่งขึ้นแทรกแซง
“องค์รัชทยาท อย่าหลงกล!”
ซือโม่ลอบคิดไปเองว่า ระหว่างที่เซียถงยื่นมือขึ้นต่อหน้าเฉียนอวิ๋ง นางอาจจะซ่อนอาวุธลับอะไรสักอย่างไว้ใต้แขนเสื้อยาว โดยมีโอสถเม็ดกลมบนฝ่ามือเป็นเหยื่อล่อให้ติดกับ โดยไม่สนใจฟังอะไรทั้งนั้น ซือโม่กระชับกระบี่ยาวตวัดฟันใส่ทางเซียถงทันควัน คลื่นกระบี่ฉาบจิตสังหารสีเย็นสะบั้นโจมตีดุดัน
ร่างของเซียถงไม่แม้แต่ขยับเขยื้อนด้วยซ้ำ เพียงเอี้ยวศีรษะเปลี่ยนไปเพียงเสี้ยวองศาก็สามารถเลี่ยงหลบคลื่นกระบี่ตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้สีหน้าการแสดงออกยังคงเมินเฉย ประดับคู่สายตาฉาบไอเย็นเยียบที่สาดเข้าใส่ซือโม่
“ซือโม่! สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าคือโอสถเก้าทองคำ! นางไม่มีอาวุธลับใดๆ ทั้งสิ้น! หยุดซะ!!”
เฉียนอวิ๋งคำรามลั่น รีบเร่งเข้าไปหยุดมือซือโม่ กระชากด้ามกระบี่ยึดไว้แน่นหนามิให้ขยับเคลื่อวไหวได้อีก
ได้ยินดังนั้น ซือโม่ถึงกับตัวแข็งค้าง รีบคลายมือที่กลัดกุมโอสถเก้าทองคำออกมา และจ้องเขม็งไปที่โอสถเม็ดกลมสีทองมันวาวตรงหน้า ทีท่าการแสดงออกดูตื่นตกใจอย่างยิ่ง เมื่อตระหนักได้ว่า โอสถเม็ดนี้ที่อยู่ในมือเป็นโอสถเก้าทองคำจริงๆ เขาก็รีบเงยหน้ามองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยคำขอโทษมากมาย
แต่ยังไม่ทันจะได้ปริปากด้วยซ้ำไป ซือโม่ถึงกับหน้าซีดเผือดพร้อมกับกระแสความเจ็บปวดที่โฉบแล่นผ่านหวางขาขึ้นมายังสมองกะทันหัน พอค่อยๆ กดสายตามองลงไป ก็พบว่า ตรงเป้าของตนถูกหญิงสาวตรงหน้าเตะผ่าหมากเข้าเต็มรัก ดวงตาของชายชาตรีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ น้ำตาลูกผู้ชายถึงกับคลอเบ้า ก่อนที่ร่างจะทรุดมอบลงไปพร้อมมือทั้งสองข้างที่ยังกุมเป้าเอาไว้แน่นหนา
“ครั้งต่อไป หากเจ้ายังกล้าโจมตีใส่ข้าสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ข้าจะเชือดคอเจ้าทิ้งเสีย!”
เซียงก่นเสียงเย็นชาลั่นออกไปประโยคหนึ่ง เหลือบหางตามองซือโม่ที่กำลังนอนขดตัวราวกับดักแด้อยู่ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
นางอุตส่าห์ใช้ความพยายามอย่างมหาศาลถึงสามวันเต็ม เพื่อช่วยคนพวกนี้หลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำโดยไม่คิดค่าตอบแทนสักแดง แต่ไฉนนางยังต้องมาหลบคมกระบี่ที่ต้องการจะฆ่าแกงกันอีก? นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเลยสักนิด!
เฉียนอวิ๋งหันขวับ กดสายตาต่ำจับจ้องซือโม่ที่กำลังนอนขดดิ้นด้วยความทรมานสุดแสน เขาถึงกับลอบกลืนน้ำลายอึดใหญ่โดยมิตั้งใจ สีหน้าเจือแววครั่นคร้ามปนสยองเล็กน้อย ใครจะไปคิดล่ะว่า สตรีนางนี้ที่มีอุปนิสัยเย็นชาดุจน้ำแข็ง แท้จริงแล้วจะซ่อนคมความอำมหิตเลือดเย็นปานนี้? ทำร้ายบุรุษเพศโดยจ้องเล่นงานกล่องดวงใจ นับเป็นความโหดเหี้ยมอย่างที่สุด!
ตระหนักได้ถึงสายตาของเฉียนอวิ๋งที่เหลือบมองไปทางซือโม่ปนแววหวาดผวา เซียถงจึงเคลื่อนสายตามองหน้าอีกฝ่ายอยู่ด้านข้าง สีหน้าเฉียนอวิ๋งถึงกับแปรเปลี่ยนไปทันทีหนึ่งส่วน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดบริเวณท้องน้อยส่วนล่างของตนโดยไว และสืบเท้าถอยห่างออกไปก้าวหนึ่ง
พินิจจากสีหน้าที่บิดเบี้ยวของซือโม่แล้ว ลูกเตาะผ่าหมากเมื่อครู่น่าจะเจ็บมากจริงๆ ดังนั้นแล้ว เขาคงต้องหาทางป้องกันตนเองเอาไว้ก่อนเป็นยอดดี
เห็นสีหน้าท่าทางของเฉียนหมิงที่หวาดผวาครั่นคร้าม เซียถงก็อดหัวเราะกับตนเองอย่างลับๆ มิได้ เชยมองอีกฝ่ายด้วยความเมตตาสงสัยฉายสะท้อนออกจากดวงตาคู่นั้น นางกล่าวว่า
“ข้าหาใช่พวกทำร้ายคนโดยไม่มีเหตุผล แยกแยะได้ใครมิตรใครศัตรู”
ซือโม่พยายาสูดอากาศคว้าเข้าตัวสุดขั้วปอด สีหน้าซีดเผือดราวกับคนกำลังจะหมดสติ เขาโงศีรษะขึ้นจากพื้น หันมามองหน้าเซียถงและเอ่ยถามวาจาเศร้าโศกปนความระทมว่า
“แม่นาง ไปกินอะไรมาถึงได้โหดเหี้ยมปานนี้?”
นี่นับว่าไม้เบามากแล้ว อย่างน้อยก็ออกแรงเบากว่าตอนที่แตะผ่าหมากใส่ไป๋หลี่หานค่อนข้างมาก เหลือบมองซือโม่กลิ้งเกลือกคลุกตัวอยู่กับพื้นไปมาสักครู่ เซียถงก็หันหลังเตรียมตัวลาจากออกไปภายใต้แสงจันทร์เจ้าทันที
“เดี๋ยวก่อน! แม่นาง!”
เห็นว่าเซียถงกำลังจะลาจาก เฉียนอวิ๋งก็รีบตะโกนหยุดเอาไว้
เซียถงเหลียวหน้าหันกลับมาครึ่งทาง เหลือบมองประกายสายตาสดใจของอีกฝ่าย กำลังเฝ้ารอประโยคต่อไปที่อีกฝ่ายจะปริปากกล่าว
“แม่นาง ข้า…มิทราบว่าจะเป็นอะไรหรือไม่ หากจะให้ท่านเปิดเผยโฉมหน้าให้ได้เห็น? สักวันหนึ่ง เราผู้นี้ต้องการจะตอบแทนเจ้า”
ท่ามกลางสายตาคู่คมของเซียถงที่จับจ้องลอดช่องหน้ากาก สีหน้าการแสดงออกของเฉียนอวิ๋งเผยอาการประหม่าอย่างชัดเจนอยู่สองสามคราโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้
“ใบหน้าของข้าน่าเกลียดจะตาย ไม่มีอะไรสวยงามให้ดูหรอก หากข้าต้องการสิ่งตอบแทนเมื่อใด ข้าจะไปหาเจ้าเองเมื่อนั้น”
เซียถงกล่าวตอบไปคำหนึ่ง น้ำเสียงเรียบเฉยฉาบเย็น
ใบหน้าน่าเกลียด? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ในเมื่อตอนนั้นเป็นนางเองมิใช่รึที่เข้าช่วยเหลือหญิงชราอัปลักษณ์? ซึ่งตัวนางในวันนั้นช่างงดงามประดุจนางสวรรค์ ในเรื่องหน้าตา เขาไม่มีข้อกังขาสงสัยใดๆ อีกเลยตั้งแต่ได้ประจักษ์ในวันนั้น
เฉียนอวิ๋งพลางครุ่นคิดไปเรื่อย หรือนางมิได้รู้สึกอะไรต่อตนจึงกล่าวปัดออกมาเช่นนี้? หนึ่งความคิดเตลิดไปไกล ร่องรอยความผิดหวังพลันปรากฏชัดเจนขึ้นบนใบหน้าของเขา ยกมือขึ้นล้วงใต้อกเสื้อคลำหาอะไรบางสิ่ง จากนั้นก็โยนไปให้เซียถง
“หากแม่นางต้องการความช่วยเหลือในอนาคต ก็จงเดินทางไปยังจักรวรรดิตะวันตกและแสดงป้ายตราแผ่นนี้ออกมา ถึงเวลานั้นข้าจะมาช่วยทันที ตราบเท่าที่มีปัญญาสามารถ ข้าพร้อมตายเพื่อตอบแทนบุญคุณในคราวนี้!”
เซียถเอื้อมมือขึ้นรับ ชักกลับมามองสิ่งนั้นที่อยู่ในมือก็เห็นเป็น ป้ายตราทองคำแผ่นหนึ่ง นางพยักหน้าและเก็บป้ายตราดังกล่าวเข้าใต้อกเสื้อ กล่าวกับเฉียนอวิ๋งตอบกลับไปว่า
“หวังว่าตอนนั้นเจ้ายังจะจดจำคำพูดในวันนี้ได้”
สิ้นเสียงกล่าวจบ ร่งาอรชรงดงามก็อันตรธานหายลับราตรีไป
เฉียนอวิ๋งแหงนศีรษะเหม่อมองเงาร่างสายหนึ่งที่ทะยานออกไป อดใจไล่ติดตามมิได้ไปสองสามก้าว พร้อมตะโกนไล่หลังทิ้งท้ายกับเซียถงว่า
“แม่นาง! ท่านคือองค์หญิงแห่งจักรวรรดิหรู่หรานใช่หรือไม่?”
ห่ะ? องค์หญิงแห่งจักรวรรดิหรู่หราน? นี่เขาคิดว่าตัวนางก็คือฉีหมิงเยว่งั้นรึ?
เซียถงคิดกับตัวเองในใจอยู่พลาง เหาะทะยานเดินทางต่อไปโดยไม่ปริปากให้คำตอบใดๆ แก่เฉียนอวิ๋ง บางครั้นบางที ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเช่นนี้ย่อมเป็นการดีกว่า เผื่อคราวหน้าที่ชายคนนี้พบเจอกับฉีหมิงเยว่ตัวจริง เขาจะได้เมตตานางบ้าง
แผ่นหลังสีดำของเซียถงหายวับท่ามกลางแสงจันทร์เจ้า ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง เฉียนอวิ๋งยังคงยืนทอดสายตาจับจ้องไปยังทิศทางที่หญิงสาวนางนั้นจากไป บรรยากาศพลันรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“องค์รัชทายาท…”
ซือโม่ค่อยๆ ทรงตัวลุกขึ้นยืน เปล่งเสียงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ