ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 216 ความเข้าใจผิดของเฉียนอวิ๋ง (2)
ตอนที่216 ความเข้าใจผิดของเฉียนอวิ๋ง (2)
เฉียนอวิ๋งที่ได้ยินเสียงเรียกตนก็ก้มหน้ามองลงมา สีหน้าแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยแววความเปลี่ยวเหงา
“องค์รัชทาท ท่านไปรู้มาจากไหนว่า นางคือองค์หญิงแห่งจักรวรรดิหรู่หราน?”
สีหน้าปั้นฉงนงุนนน ซือโม่เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก และหากหญิงสาวนางนั้นเป็นองค์หญิงแห่งหรู่หรานจริงๆ เขาก็ควรสังหารทิ้งทันทีที่มีโอกาสมิใช่รึ ทั้งนี้ก็เพื่อถอนรากถอนโคน ป้องกันมิให้ก่อเกิดปัญหาใหญ่หลวงในภายภาคหน้า
“หญิงชราที่ลอบสังหารข้าในคืนนั้นครั้งล่าสุด แท้จริงแล้วเป็นคนรับใช้ส่วนตัวที่อยู่เคียงข้างฮ่องเฮาแห่งหรู่หราน เหตุการณ์ในวันนี้ คนรับใช้นางนี้จำหน้าข้าได้ และเมื่อรอดชีวิตออกมา นางจึงเค้นฝังใจจวบจนเรื่อยมา”
เฉียนอวิ๋งกล่าวตอบ ดวงตาเร้นประกายหรี่แคบลง
โศกนาฎกรรมและการสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเหตุการณ์ล่มสลายของจักรวรรดิหรู่หรานในวันนั้น ทุกภาพฉากย่าเฟิงยังคงจดจำสลักใจได้เป็นอย่างดี และเฉียนอวิ๋งก็เช่นกัน เขาจำเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นได้ และรู้ว่าความเคียดแค้นที่สุมทรวงอยู่ในอกของหญิงชรานางนั้นมันมหาศาลเพียงใด
“แต่หากนางคือองค์หญิงแห่งหรู่หรานจริงๆ แล้วมีหรือที่อีกฝ่ายจะช่วยหลอมกลั่นโอสถให้พวกเราได้? ฟังว่าองค์หญิงแห่งหรู่หรานไม่มีคุณสมบัติของนักหลอมโอสถในกาย อย่าว่าแต่โอสถเก้าทองคำเลย กระทั่งปรุงยาสมุนไพรทั่วไปยังไม่น่าจะทำได้!”
ซือโม่ยิงคำถามชวนสงสัยที่สุดของตนออกไปให้เฉียนอวิ๋งรับฟัง และถึงแม้องค์หญิงแห่งหรู่หรานจะสามารถหลอมกลั่นโอสถได้จริงๆ แล้วทำไมนางถึงต้องลงทุนลงแรง หลอมกลั่นโอสถเพื่อช่วยเหลือศัตรูที่ทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของตนด้วย? จะช่วยพวกเขาหลอมกลั่นโอสถเก้าทองคำเพื่อ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…นางจะแอบทำอะไรกับโอสถเก้าทองคำเม็ดนี้?
เฉียนอวิ๋งกดสายตาจับจ้องโอสถเม็ดสีทองมันวาวบนฝ่ามือ เขาเองก็เผยแสดงสีหน้าไม่เข้าใจเช่นกัน เพราะเหตุใดกัน…องค์หญิงแห่งหรู่หรานถึงต้องช่วยเหลือศัตรูอย่างเขา? จะอย่างไร ตอนที่พบเจอกัน เฉียนอวิ๋งก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารหรือร่องรอยความเกลียดชังใดๆ จากตัวของนางเลย
ในทางตรงกันข้าม ตอนที่ย่าเฟิงบุกโจมตีในยามวิกาลครานั้น กลับสามารสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความแค้นอาฆาตที่แผ่ซ่านออกจากร่างที่เหี่ยวย่นของอีกฝ่ายได้ชัดแจ้ง รัศมีจิตสังหารเข้มข้นเหล่านั้นแทบปานจะกลืนกินตัวเขาไปทั้งร่าง ซึ่งนี่แทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ก็สามารถรับรู้ได้จากระยะไกล
แต่ทำไมกัน…ทำไมเขาถึงมิอาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยความเกลียดชังใดๆ จากตัวองค์หญิงแห่งหรู่หรานนางนี้ได้เลย? หรือนางมิได้รังเกียจในตัวเขา?
เขานำโอสถเก้าทองคำเม็ดนั้นในมือขึ้นส่องกับแสงจันทร์เจ้า พินิจมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระชับกำมือแน่น เอ่ยขึ้นว่า
“กลับแดนตะวันตก แล้วลองให้หมอหลวงของเราตรวจสอบดูเถอะ”
“ขอรับ!”
ซือโม่พยักหน้า จากนั้นทั้งผู้เป็นนายและผู้ใต้บัญชาต่างเดินกลับเข้าตัวตำหนักโดยพร้อมเพรียง
เซียถงลอบเร้นออกจากวังหลวงในที่สุด ทั้งยังมีป้ายตราทองคำที่ได้รับมาจากเฉียนอวิ๋งติดไม้ติดมือมาด้วย พร้อมเดินทางกลับไปยังสถานศึกษาเซิงหลิง
ยังมีเวลาอีกประมาณสิบกว่าวันก่อนงานประลองสี่จักรวรรดิจะเริ่มต้นขึ้น ระหว่างที่ยังมีเวลาเหลือนับเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างสงบสุขดี ไม่มีสองพี่น้องไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิงคอยตามรำควานหาเรื่อง เซียถงจึงใช้เวลานี้เก็บตัวบำเพ็ญตบะหวังเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตนโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องหลอมกลั่นโอสถพับเก็บลงไปชั่วคราว
“คุณหนูเจ้าค่ะ… อาจารย์หยุนซีกำลังขายเนื้อมังกรในสถานศึกษา”
อยู่มาวันหนึ่ง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ อิ๋งเอ๋อร์ย่องเท้าเข้ามาในห้องที่เซียถงกำลังเก็บตัวอยู่ เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เซียถงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง เมื่อได้ยินเช่นั้นกลับไม่ปริปากใดๆ ตอบ เพียงหยักไหล่อย่างไม่แยแส และนั่งดูดซับพลังต่อไป เมื่ออิ๋งเอ๋อร์เห็นว่า คุณหนูของตนมิได้สนใจอะไรนักและกำลังยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญตบะ จู่ๆ นางก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงจับจ่าย และวางบางสิ่งบางอย่างในมือลงบนโต๊ะ
คล้ายมีบางสิ่งแปลกแยกส่งกลิ่นประหลาดออกมา ทั้งรู้สึกเปรี้ยวทั้งรู้สึกเหม็นในเวลาเดียวกัน เซียถงถึงกับทนไม่ไหว ลืมตาตื่นขึ้นพลางเหลือบมองไปที่ชิ้นเนื้อสีแดงตากแห้งอยู่บนโต๊ะ ปลายคิ้วถึงกับกระตุกอย่างแรงปนหงุดหงิด หันขวับจับจ้องไปทางอิ๋งเอ๋อร์ที่กำลังเดินออกประตูไป
“เดี๋ยวก่อน! นี่คืออะไร?”
“เนื้อมังกรเจ้าค่ะ อาจารย์หยุนซีบอกว่า หากคุณหนูทานเนื้อมังกรชิ้นนี้เข้าไป ร่างกายของท่านจะแข็งแกร่งทานทนขึ้นเจ้าค่ะ อีกฝ่ายลดให้เหลือเพียงชิ้นละสิบเหรียญทองเท่านั้น!”
อิ๋งเอ๋อร์ยื่นนิ้วไปจิ้มเนื้อตากแห้งก้อนนั้นไปทีสองที แล้วกล่าวขึ้นต่อว่า
“คุณหนู ให้ข้านำเนื้อมังกรชั้นนี้ไปเคี้ยวเป็นน้ำแกงดีหรือไม่เจ้าค่ะ? สิ่งนี้จะช่วยยกระดับความแกร่งกล้าของท่านขึ้นเป็นอย่างมาก!”
หยุนซี…นางเอาเนื้อมังกรมาขายจริงๆ รึ?
นางทำจริง!!
“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าซื้อในราคาสิบเหรียญทอง?”
อิ๋งเอ๋อร์สาวรับใช้ผู้สุดแสนจะตึ๋งหนืดขี้เหนียวนางนี้ ยอมจ่ายเงินสิบเหรียญทองเพื่อก้อนเนื้อเน่าๆ ชิ้นนี้?
“ตอนนี้ข้างนอกกำลังชุลมุนแย่งกันซื้ออยู่เลยเจ้าค่ะ แต่พออาจารย์หยุนวีเห็นข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนู นางเลยแทรกแถวให้ข้าซื้อก่อนเป็นกรณีพิเศษ”
อิ๋งเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นเมื่อกล่าวเล่าให้ฟัง แต่ชั่วครู่ต่อมา สีหน้าของนางก็กลับกลายมาเป็นความเศร้าสร้อยปนเสียดายในทันใด นางยังกล่าวอีกว่า
“คุณหนู แท้จริงแล้วคนที่พิชิตมังกรตนนั้นได้คือท่าน แต่ไฉนถึงไม่นำเนื้อมังกรมาขายเองล่ะเจ้าค่ะ? ปานนี้เหรียญทองเป็นกอบเป็นกำคงไหลเข้ากระเป๋าคุณหนู แทนที่จะเป็นกระเป๋าของอาจารย์หยุนซี”
มังกรตัวมหึมาปานนั้น เนื้อมังกรที่ตัดแบ่งส่วนมาจำหน่ายย่อมเยอะเป็นธรรมดา และในครั้งนี้หยุนซีน่าจะทำกำไรได้ดีเลยทีเดียว อย่างไรเสีย…มีคำถามหนึ่งที่ยังคาใจ เนื้อมังกรเหล่านี้มีสรรพคุณเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายได้จริงๆ งั้นรึ? เซียถงคิดได้ดังนั้นก็พลันมวดคิ้วเล็กน้อย มองเนื้อมังกรตากแห้งก้อนนั้นบนโต๊ะและกล่ากับอิ๋งเอ๋อร์ว่า
“เอาเนื้อก้อนนี้ไปทิ้งซะ ข้าไม่ต้องการ”
นางไม่ต้องการกินเนื้อมังกรเหล่านี้
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับสะดุ้งโหย่ง เบิกตาโต่ร้องอุทานลั่นด้วยความตกใจว่า
“ทิ้งงั้นรึเจ้าค่ะ? คุณหนู เนื้อมังกรชิ้นนี้บ่าวซื้อมาตั้งสิบเหรียญทอง จะให้ทิ้งไปได้อย่างไร?”
เซียถุงไม่พูดอะไรต่อ เพียงยิงสายตาคู่เย็นยะเยือกสาดใส่ไปทีหนึ่ง อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับรีบปิดปากไม่กล้าเอ่ยกล่าวอันใดอีก เพียงหยิบเนื้อมังกรชิ้นนั้นที่อยู่บนโต๊ะกลับออกไป
คุณหนูค่อนข้างชัดเจนมากว่า ไม่ต้องการเนื้อมังกรชิ้นนี้จริงๆ
เซียถงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง และเริ่มดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินต่อไป ในเวลานี้เส้นลมปราณและเส้นเอ็นทั่วกายาโดยส่วนใหญ่ถูกทะลวงเปิดออกเต็มที่แล้ว ตราบเท่าที่ส่วนที่เหลือถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์ ในเวลานั้นระดับพลังลมปราณของนางจะเลื่อนชั้นขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้โดยตรง
ขณะที่กำลังดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นประตูห้องเก็บตัวก็ถูกผลักเปิดเสียงดัง หยุนซีและอิ๋งเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาโดยพร้อมเพรียง ขณะที่อิ๋งเอ๋อร์ยังคงยืนถือเนื้อมังกรตากแห้งอยู่ในมือ
“ท่านอาจารย์หยุนซี คุณหนูไม่ต้องการเนื้อมังกรชิ้นนี้ โปรดรับซื้อคืนด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
อิ๋งเอ๋อร์หยุดหยุนซีเอาไว้ไม่ทัน ส่งผลให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาถึงภายในห้องเก็บตัวที่เซียถงอยู่ได้
“หากคุณหนูของเจ้าไม่กิน เช่นนั้นเจ้าก็กินมันแทน!”
หยุนซีเหลือบหางตามองอิ๋งเอ๋อร์ที่เกาะหนึบอยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นพลันนึกอะไรดีๆ ขึ้นได้ จึงรีบหันไปตบไหล่อิ๋งเอ๋อร์เบาๆ สองสามครา ยิ้มหวานกล่าวขึ้นว่า
“โอ้ลืมไป คนธรรมดาอย่างเจ้าคงสู้กลิ่นเฉพาะของเนื้อมังกรไม่ไหว โชคยังดีที่ข้ามีเครื่องเทศดีๆ ติดตัวอยู่ หากนำมาปรุงพร้อมกับเนื้อมังกรชิ้นนี้ บอกเลยว่าอร่อยเหาะ! ทั้งนี้ร่างกายของเจ้าก็ยังได้ประโยชน์ไปในตัว! ข้าลดให้เจ้าเหลือแค่ห้าเหรียญทองเท่านั้น!”
อิ๋งเอ๋อร์รีบส่ายหัว ยื่นเนื้อมังกรชิ้นนั้นพยายามยัดเหยียดใส่มือของหยุนซี และกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์หยุนซี ข้าไม่กล้ากินมันหรอก ยังมีศิษย์สาวกในสถานศึกษาอีกมากมายที่ต้องการมัน รับซื้อคืนแล้วนำไปขายต่อให้คนอื่นเถิดเจ้าค่ะ ขอแค่สิบเหรียญทองที่จ่ายเมื่อครู่คืนก็เป็นพอ”
เซียถงยังคงนั่งขัดสมาธิแน่นิ่งอยู่บนเตียง พลางกำลังแอบฟังสองคนนี้กำลังเกี่ยงไปมา
“ข้าไม่อยากให้เจ้าพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป ในเมื่อคุณหนูของเจ้าไม่อยากกิน เช่นนั้นเจ้าก็ควรนำมันไปปรุงแล้วกินเอง! จะได้บำรุงร่างกายของเจ้าให้แข็งแรง อยู่รับใช้คุณหนูของเจ้าไปนานๆ ไง!”
ของที่ขายไปแล้ว ไม่รับคืนทุกกรณี นี่เป็นคติประจำใจของหยุนซี