ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 217 จือหยวน (1)
ตอนที่217 จือหยวน (1)
“เอ๊ะ?!”
อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออกไปไม่เป็น ได้แต่เหม่อมองเนื้อมังกรชั้นนั้นในมือด้วยความเสียใจ ชั่วครู่ต่อมา ก็ถอนสายตาเคลื่อนไปจับจ้องทางเซียถง แลเห็นอีกฝ่ายที่กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างมุ่งมั่น ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็พึงทราบทันทีว่า คุณหนูของนางไม่กินแน่นอน แต่จะขอขายคืนเพื่อเอาเงินสิบเหรียญทองกลับมา หยุนซีก็ดันไม่ยอม ปั้นหน้ารวนเรใจอยู่สักครู่ใหญ่ สุดท้ายนางก็เอ่ยขึ้นว่า
“คุณหนู เช่นนั้นข้าจะส่งเนื้อมังกรชิ้นนี้มอบให้แก่ฮูหยินหลี่ที่จวนเสียแล้วกัน”
นางไม่มีทางกล้ากินเนื้อมังกรราคาแพงชิ้นนี้แน่นอน ต่อให้บังคับกันก็ไม่รู้สึกเต็มใจกินเลยสักนิด ดังนั้นคงเป็นการดีกว่า หากนำเนื้อมังกรชิ้นนี้ส่งไปให้ฮูหยินหลี่ซึ่งเป็นท่านแม่ของคุณหนู
“อิ๋งเอ๋อร์ เนื้อมังกรตนนี้มีระดับความเข้มข้นธาตุไฟที่รุนแรงมาก หากคนทั่วไปรับประทานเกรงว่า จะทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานผิดปกติได้ ดีไม่ดีอาจถึงขั้นป่วยหนัก หากอาจาร์หยุนซีไม่รับคืน เช่นนั้นก็โยนทิ้งไปเสีย”
เซียถงเหลือบหางตามองเสียดมองหยุนซีที่กำลังยิ้มแย้มไปหนึ่งปราด และหันมากล่าวกับอิ๋งเอ๋อร์
มังกรเพลิงโลหิตตนนี้อาศัยอยู่ในก้นป่องภูเขาไฟตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นร่างกายของมันจึงมีธาตุไฟที่เข้มข้นมาก และในกรณีของคนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีทางทนรับพลังธาตุไฟที่สูงปานนั้นได้ไหวแน่นอน กระทั่งผู้บำเพ็ญตบะระดับแรกเริ่มก็ไม่น่าทานทนได้เช่นกัน และขอเดาเลยว่า อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ หยุนซีคงหัวหมอ นำโอสถระงับเพลิงพิษออกมาขายต่อแน่นอน
ทำกำไรทั้งขึ้นทั้งร่อง! หยุนซีนางนี้จะหน้าเงินเกินไปแล้ว!
“ห๊ะ?! ท่านอาจารย์หยุนซี ท่านหลอกขายของพวกนี้ให้ทุกคนได้ยังไง? ทั้งยังหลอกเอาเงินของคุณหนูไปด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อิ๋งเอ๋อร์ก็หันขวับจ้องหน้าหยุนซีเขม็ง เปล่งเสียงดังลั่นทั้งตกใจปนโกรธเกรี้ยวที่ถูกหลอก
เงินตั้งสิบเหรียญทอง! อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกทุกข์ระทมใจทุกครั้งไปเมื่อนึกถึงจุดนี้
ดวงตาคู่สวยของหยุนซีกวาดมองทันควัน ลั่นวาจาตอกสวนอิ๋งเอ๋อร์กลับไปโดยไม่มีแยแสใดๆ ว่า
“ก็ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าซื้อเสียหน่อย กลับเป็นเจ้าที่ยินดีนำเงินออกมาจ่ายเอง เช่นนั้นแล้วจะโทษข้าได้เยี่ยงไร?”
อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับสะดุดพูดไม่ออก ร่างชะงักไปชั่วจังหวะ แต่พอนึกถึงเงินจำนวนสิบเหรียญทองที่ต้องเสียค่าโง่ให้แก่หยุนซี นางเองก็กัดฟันกรอดไม่ยอมเช่นกัน โพล่งกล่าวออกไปด้วความหงุดหงิดว่า
“ที่ข้าซื้อเป็นเพราะท่านบรรยายสรรพคุณของเนื้อมังกรซะดิบดี กลับเป็นท่านนั่นแหละที่โกหกหลอกลวง!”
“แล้วข้าบอกสักคำรึยังว่า เรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริง? กลับเป็นเจ้าที่เอออ่อเห็นชอบไปเองทั้งนั้น แล้วจะโทษกันได้อย่างไร? อีกอย่างเลย หากเป็นคนฉลาดพอจะตระหนักทราบได้ทันทีว่า คำพูดของข้ามันไม่น่าเชื่อถือ ก็หมายความได้ว่า หัวสมองของเจ้ายังไม่ฉลาดพอ หากต้องการจะโทษก็จงโทษในความใสซื่อของตัวเองเถอะ นี่ถือเป็นบทเรียนเสียแล้วกัน”
หยุนซีกล่าวปัดความรับผิดชอบทุกกรณี ส่วนรอยยิ้มหวานยังคงประดับค้างอยู่บนใบหน้าราวกับว่านางไม่ได้เป็นฝ่ายผิดจริงๆ
“นี่ท่าน…”
โฉมงามน้อยๆ สั่นเทาจนเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ อิ๋งเอ๋อร์จ้องหน้าหยุนซีเขม็งพลางอ้าปากขึ้นเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก เพราะนี่เป็นความจริงทั้งหมด กลับเป็นตัวนางที่เต็มใจที่จะซื้อเนื้อมังกรชิ้นนี้มาก้อง และไม่มีประโยคไหนที่หยุนซีบอกว่าเลย สิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง ดังนั้นอิ๋งเอ๋อร์จึงเถียงไม่ออกแม้สักคำเดียว ได้แต่สาดสายตาไม่พอใจเข้าใส่อย่างไม่ลดละ
“อะไร? มีตรงไหนที่ไม่พอใจอีก?”
ประกายตาสีดดอกท้อสวยของหยุนซีสบปะทะกับอิ๋งเอ๋อร์ ทันใดนั้นเอง ก็มีรัศมีแรงกดดันขุมเย็นเยียบแผ่ซ่านเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ
อิ๋งเอ๋อร์ตกใจสุดขีด รีบวิ่งกระโดดขึ้นเตียงหลบหลังเซียถงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ทันควัน เพราะไอเย็นที่พัดผ่านจากร่างกายของหยุนซี ทำเอานางใจหายวาบสั่นกลัวแทบตาย
“อาจารย์หยุนซี ไม่ทำเกินไปหน่อยกระมัง?”
เซียถงลุกขึ้นยืนหยัดต่อหน้าหยุนซีโดยไม่มีเกรงกลัวใดๆ
หยุนซีเปลี่ยนท่าเป็นกอดอก เอนหลังพึงประตูกล่าวว่า
“ก็สาวใช้ของเจ้าน่ะสิ พอข้าไม่รับซื้อของคืน ก็หงุดหงิดเป็นฟืนเป็นไฟ”
เซียถงเหลียวศีรษะหันกลับไปมองอิ๋งเอ๋อร์เล็กน้อย แลเห็นอีกฝ่ายปั้นหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ
“อิ๋งเอ๋อร์ เอาเนื้อมังกรทิ้งไป ไม่ต้องไปเสียดาย”
เซียถงกล่าวตอบน้ำเสียงเรียบเฉย
ได้ยินแบบนั้นก็อิ๋งเอ๋อร์ก็ทำหน้าบึ้งตึงหนักข้อ แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่คุณหนูบอก เดินตรงออกไปทางประตูพร้อมเนื้อมังกรชิ้นนั้นในมือ ขณะที่กำลังเดินผ่านหน้าหยุนซี เพราะร่องรอยของรัศมีแรงกดดันที่ยังหลงเหลืออยู่หรือยังไงก็มิทราบ กระแสความหวาดผวาโฉบแล่น อิ๋งเอ๋อร์รีบหดคอก้มศีรษะลงทันทีด้วยความตื่นตระหนก กลัวว่าหยุนซีจะลงมือลงไม้กับตนจริงๆ
เพียงหนึ่งฝ่ามือของอาจารย์หยุนซีก็สามารถปลิดชีพของนางได้ง่ายดาย
“อาจารย์ ท่านทำให้สาวใช้ของข้าตกใจเกินไปแล้ว”
เซียถงกล่าวทักท้วงขึ้นคำหนึ่ง เมื่อเห็นอิ๋งเอ๋อร์รีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางหวาดผวา พลางส่ายหัวเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“สาวใช้ของเจ้าขี้เหนียวเกินไป แล้วรู้หรือไม่ว่า ความขี้เหนียวจนเกินเหตุเช่นนี้ มันอาจเป็นบ่อเกิดของความหายนะ”
หยุนซีเลิกคิ้วกล่าวกับเซียถง
“ความเห็นแก่เงินจนเกินเหตุ ก็อาจเป็นบ่อเกิดของความหายนะได้เช่นกัน”
เซียถงตอบกลับไปทันควัน
“ในฐานะที่เจ้าเป็นนักหลอมโอสถ แค่ละเมอหลอมกลั่นโอสถสักสองสามเม็ด ก็สามารถนำไปขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำเข้ากระเป๋าตัวเองแล้ว เช่นนั้นมีหรือที่เจ้าจะเข้าใจความทุกข์โศกของคนยากคนจนอย่างพวกเรา?”
หยุนซียกนิ้วขึ้นถูไถ่จมูกทีสองที
“อาจารย์มาที่นี่ก็เพื่อคุยกับข้ามิใช่รึ?”
เห็นหยุนซีเริ่มออกทะเลพูดคุยเรื่องไร้สาระ เซียถงจึงกล่าวทักเตือนสติให้กลับเข้าประเด็นทันที
“ถูกต้อง”
หยุนซีเดินตรงเข้าไปตรงโต๊ะพลางหยิบกาน้ำชาใบหนึ่งขึ้นรินใส่ถ้วยที่ว่าง บรรจงกรอกรินอย่างตั้งใจ
เซียถงเหลือบสายตาเฝ้ามองอีกฝ่ายกำลังรินชา ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร
จนกระทั่งน้ำชาเต็มถ้วย หยุนซีจึงค่อยวางกาน้ำชาในมือลง เงยหน้ามองนางกล่าวเปิดประเด็นขึ้นทันทีว่า
“อาศัยเพลิงพิภพเก้าดุษณีในมือ เข้าสามารถหลอมกลั่นโอสถได้ถึงระดับชั้นใด?”
“อาจารย์ต้องการโอสถชนิดใดล่ะ?”
เซียถงสบสายตามองหน้าหยุนซีสวนกลับไป เลือกที่จะยิงคำถามใหม่เข้าไปแทนคำตอบ
หยุนซีแกว่งถ้วยน้ำชาลายครามในมือเล่นเบาๆ เคลื่อนสายตาค่อนข้างเอาจริงจับจ้องไปที่เซียถง ย้ำเสียงเปล่งขึ้นทีละพยางค์หนักแน่นว่า
“ข้าต้องการ โอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้า”
โอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้า? เซียถงถึงกับเบิกตาโต ตื่นตะลึงหลายส่วน นี่เป็นโอสถที่มีเพียงระดับชั้นจักรพรรดิโอสถเท่านั้นที่สามารถหลอมกลั่นได้มิใช่รึ?! สรรพคุณโอสถนับว่าอัศจรรย์พันลึก สามารถนำคนตายคืนชีพกลับมาได้ ไม่ว่าอาการป่วยจนรุนแรงเพียงใด ตราบเท่าที่ยังสามารถรักษาร่างกายเนื้อเอาไว้ได้ แค่นำโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าป้อนเข้าปาก คนตายจะฟื้นขึ้นทันที นับเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ในตำนานชนิดหนึ่ง
แล้วหยุนซีต้องการโอสถชนิดนี้ไปเพื่ออะไร? อาศัยความแข็งแกร่งของนาง ยังจะมีกี่คนบนพิภพที่สามารถฆ่านางให้ตายได้?
เห็นเซียถงจับจ้องมาทางตนเองด้วยคาวมสงสัย หยุนซีจึงกล่าวอธิบายแถลงไขต่อว่า
“ข้าจะนำไปช่วยใครบางคน”
คล้อยหลังกล่าวจบ ดวงตาสีดอกท้อคู่งดงามพลันหม่นประกายมืดลง เสมือนนางกำลังจะร้องไห้
เซียถงยกมือขึ้นตบไหล่เรียกสติอีกฝ่ายเบาๆ พยายามสาวความถามต่อ
“แล้วใครบางคนที่ว่าหมายถึง?”
“เป็นชายคนหนึ่ง…เขาหลับใหลมากว่าสิบปีได้แล้ว”
จู่ๆ หยุนซีก็คว้ามือข้างหนึ่งของเซียถงเข้ามากุมกอดเอาไว้บนแผ่นอก เงยหน้าจับจ้องนางตาเป็นประกายเปี่ยมแววคาดหวัง และกล่าวว่า
“เหตุผลที่ข้ามาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นี่ก็เพื่อเสาะหาใครสักคนที่ช่วยเหลือข้าได้ และคนๆนั้นคือเจ้า เซียถง! ข้าตามหาคนอย่างเจ้ามาเกือบครึ่งชีวิต! ขอร้องเถิด ช่วยเขาด้วย! ได้โปรด! ข้า…ข้ายอมทุกอย่างไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไร!”
ทันทีที่พูดจบ หยุนซีก็คุกเข่าลงต่อหน้าของเซียถง
“อาจารย์หยุนซี ข้าจะพยายาม ท่านลุกขึ้นก่อนเถอะ”
เซียถงรีบก้มตัวไปพยุงร่างของหยุนซีขึ้นมาทันที หยุดมิให้อีกฝ่ายต้องมาคุกเข่าต่อหน้าต่อตากันเช่นนี้
เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนซีก็ดีใจเป็นอย่างมาก ร้องห่มร้องไห้ออกมาจนน้ำตาอาบสองแก้ม คลี่ยิ้มหวานส่งมอบให้แก่เซียถงอย่างสุขอกสุขใจ
“อาจารย์หยุนซี ช่วยพาข้าไปพบชายคนนั้นได้หรือไม่?”
เซียถงเอ่ยถามขณะพยุงร่างจับแขนของหยุนซีลุกขึ้นยืน ภายในใจบังเกิดความสงสัยเหลือเกินว่า ใครกันที่กำลังหลับใหลอยู่นับสิบปี และเป็นเพราะเหตุผลใดกัน ที่ทำให้หยุนซีมีความปรารถนาที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายปานนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยเหลือเกิน แต่อย่างอื่นอย่างใด เรื่องที่น่าหนักใจที่สุดคงเป็น ระดับชั้นโอสถที่สูงลิบลิ่วเกินกว่าจะหลอมกลั่นได้
“ได้สิ ข้าจะพาเจ้าไปดูเขา”