ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 218 จือหยวน (2)
ตอนที่218 จือหยวน (2)
หยุนซีนำทางเซียถงไปยังเรือนพักของนางทันที
ภายในเรือนไม้ไผ่ของหยุนซี มองผิวเผินก็เหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเรือนพักทั่วไป จนกระทั่งนางพาเซียถงเดินเข้าไปในทางลับที่อยู่หลังกำแพงไม้ไผ่ด้านหนึ่ง ภายในห้องลับดังกล่าวไม่มีหน้าต่างหรือแสงใดๆ เล็ดลอดผ่านเข้ามา อาศัยเพียงเทียนไขตามทางสลัวที่ประดับประดาอยู่บนกำแพง พอเดินเข้ามาภายในนี้ สิ่งแรกที่สังเกตเห็นได้เลยก็คือ หมอกชั้นบางที่แฝงไปด้วยเย็นยะเยือก บนเตียงสีขาวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องลับ และปรากฏร่างของชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีม่วงนอนอยู่บนนั้น
ยิ่งเซียถงเข้าใกล้เตียงสีขาวบริสุทธิ์ที่ว่ามากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงไอเย็นและอุณหภูมิที่ลบฮวบจนหนาวสั่น สุดท้ายเริ่มทนไม่ไหวก็เลยใช้มือทั้งสองข้างกอดแขนตัวเองไว้แน่นหนา เพียงรัศมีรอบเตียงใกล้ๆ เสมือนถูกบันดาลให้กลายมาเป็นฤดูหนาวขนาดย่อม
“เหมันต์พันธนาเก้าฤดูงั้นรึ?”
เสี่ยวฮั่วที่ตกสู่สภาวะตจำศีลถึงกับได้สติตื่นขึ้นทันใด ร้องอุทานน้ำเสียงฉงนใจดังลั่นผ่านห้วงความคิดของเซียถง
เหมันต์พันธนาเก้าฤดู?
เซียถงมองหน้าหยุนซี สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย และหากสังเกตให้ละเอียดถี่ถ้วน ดูเหมือนว่าเตียงสีขาวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ตรงหน้า ทุกอณูส่วนล้วนถูกสร้างขึ้นจากน้ำแข็งของจริง
“สิ่งนี้เรียกว่า เหมันต์พันธนาเก้าฤดู ข้าแอบไปขโมยมาจากหุบเหวเก้าฤดู เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถคงรักษาร่างเนื้อของเขามิให้ย่อยสลายถูกทำลายไปได้”
หยุนซีกล่าวอธิบาย เดินตรงไปหยุดตรงหน้าเตียงสีขาวบริสุทธิ์พลางคลี่เรียวนิ้วยาวเสมือนหยก เข้าลูบไล้สัมผัสใบหน้าของชายที่นอนนิ่งอยู่บนนั้น
“เหมันต์พันธนาเก้าฤดูเป็นหนึ่งในยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุน้ำแข็ง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนเพียงใด สิ่งนี้จะไม่มีวันละลาย มักถูกใช้เป็นโลงศพของบรรดาสุสานของราชวงศ์ต่างๆ และเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญมากกว่าจะได้มันมาสักอัน”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านห้วงความคิดของเซียถงให้ฟัง
เช่นนี้เอง!
ถึงว่าเหตุใกในรัศมีนี้ถึงมีอุณหภูมิที่ต่ำจนน่าตกใจปานนี้
แต่จะว่าไป แล้วหมอกชั้นบางที่เร้นแฝงไอเย็นโดยรอบห้องลับแห่งนี้ล่ะ?
เซียถงกวาดสายตาพยายามมองหาต้นต่อของไอหมอกที่เคลือบคลุมทั่วห้อง จนกระทั่งไปเห็นหม้อน้ำโบราณใบหนึ่งที่อยู่ช่วงปลายสุดของมุมห้อง รูปลักษณะเป็นทรงดอกบัวสีแดงใสพิสุทธิ์คล้ายอัญมณี ตรงจุดศูนย์กลางมีวัตถุบางอย่างคล้ายกับผงแป้งสีฟ้าอ่อนตัดกันสวยงาม บนยอดผงแป้งเหล่านั้นคล้ายกับมีเส้นด้ายแข็งสีเขียวบางๆ ปักอยู่สองสามชิ้น
นี่มันอณูวิญญาณแห่งเซิ่น กับ ยอดหญ้าของดอกลืมทุกข์!
อณูวิญญาณแห่งเซิ่นมีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมวิญญาณให้สงบนิ่ง ในทางกลับกันก็ยังสามารถใช้กักขังดวงวิญญาณของผู้คนที่เพิ่งเสียชีวิตได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ส่วนยอดหญ้าของดอกลืมทุกข์ก็มีสรรพคุณตามชื่อ สามารถทำให้ดวงวิญญาณของผู้ตายหลงลืมการจะไปสู่สุคติได้ และสร้างความสงบโล่งใจให้กลับคืนมา
หากผสวกสมุนไพรวิญญาณทั้งสองชนิดนี้เข้าด้วยกัน ก็จะสามารถทำให้ดวงวิญญาณของคนตายสามารถเป็นอมตะไม่สูญสลายหายไปไหนได้ ถึงแม้ว่าระบบร่างกายภายในจะหยุดทำงานไปแล้วก็ตาม แต่ดวงวิญญาณและจิตสำนึกต่างๆ ยังคงถูกกักขังไว้อยู่ในร่างไม่หายไปไหน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์ผักดีๆ นี่เอง
อย่างไรเสีย ราคาของสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้มีมูลค่าสูงลิบลิ่ว ต่อให้เป็นฝ่าบาทที่ใช้ชีวิตเสพสุขในวังหลวงก็ไม่มีปัญญาหยิบใช้พวกมันได้ตลอดทั้งวี่วัน เฉพาะยามนี้ เซียถงจึงเข้าใจได้ในทันทีว่า เหตุใดหยุนซีถึงกระหายเงินทองจนเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้
เซียถงหันศีรษะไปมองหยุนซี ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงสีขาวบริสุทธิ์ ลูบไล่ใบหน้าของชายชุดคลุมสีม่วงอย่างสุดจะอาลัยคิดถึง เรียวนิ้วสีขาวผ่องประดุจหยก ค่อยๆ เคลื่อนขยับปัดเศษฝุ่นบางที่เกาะแกะบนแก้มเย็นยะเยือกสีขาวซีดอย่างประณีตเบามือทีละเล็กละน้อย ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้เรียวนิ้วของนางคือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดบนผืนพิภพแห่งนี้
เพื่อรักษาและคงความอมตะของซากศพมิให้เสียหายตลอดหลายสิบปี หยุนซีจำต้องผลาญเงินในจำนวนมหาศาลเกินคนานับเสียยิ่งรายจ่ายทั้งหมดภายในวังหลวงรวมกัน! นางทำได้อย่างไรจวบจนถึงปัจจุบันนี้?
“เขามีชื่อว่า จือหยวน ตระกูลของข้ากับตระกูลของเขาล้วนเป็นตระกูลชนชั้นสูง พวกเราโตมาด้วยกันและก็ยังร่ำเรียนวรยุทธ์ฝึกปรือมาด้วยกัน ไม่ว่าข้าจะไปแห่งหนใด เขาก็จะติดตามข้าไปเสมอ”
สีหน้าการแสดงของหยุนซีในเวลานี้นิ่งสงบราวกับหมดอาลัยตายอยากจนน่าตกใจ ซึ่งภาพฉากเช่นนี้นับว่าหายากยิ่งสำหรับคนอย่างนาง กล่าวจบก็ลุกขึ้นจากเตียงสีขาวบริสุทธิ์ หยิบเสื้อแพรพรรณชุดใหม่สีครามมาเปลี่ยนให้ ราวกับกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผู้ป่วยติดเตียง
ทุกการเคลื่อนไหวของนางเบามือเกินหาที่ใดเปรียบประดุจขนนกแรกสัมผัส ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนนอนกลับก็พนันได้เลยว่า อีกฝ่ายคงไม่ตื่นขึ้นกลางคัน
เซียถงทอดสายตามองไปยังร่างของจือหยวน หากให้พูดตามความจริงที่เห็นคือ หยุนซีกำลังเปลี่ยนชุดให้ศพร่างหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น ผิวพพรณของชายคนนี้ซีดเซียวไร้เลือดหล่อเลี้ยงแล้ว ถึงจะดูไม่เหมือนกับศพทั่วไปสักทีเดียว แต่ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็เหมือน…ศพอยู่ดีนั่นแหละ!
ใบหน้าของเขาซูบผอมติดกระดูก บริเวณดวงตากลมโบ๋เป็นหลุมลึก ใครเห็นต่างต้องรู้สึกสะเทือนขวัญไปตามๆ กัน
“พวกเราโตมาด้วยกัน ทั้งท่องแม่น้ำ เชยชมทะเลสาบ รวมไปถึงเดินทางไกลขึ้นภูเขาด้วยกัน พวกเราไม่เคยแยกจากกันไปไหนเลยจริงๆ”
คำกล่าวประโยคนี้ของหยุนซีราวกับได้พาเซียถงล่องลอยไปดูภาพฝันอันงดงาม
“เขารักข้ามาก เป็นความรักที่ช่างบริสุทธิ์และงดงามเกินพรรณนา แต่ข้า…ตอนที่ข้ายังเด็กกลับมีนิสัยหยิ่งผยองถือตน เคยชินกับที่อีกฝ่ายประคบประหงมตลอดเวลาจนได้ใจ และไม่เคยคิดกับตัวเขาจริงจังแม้นสักครั้ง ที่แย่ไปกว่านั้นคือ…ข้ามักชอบทำร้ายจิตใจของเขาอยู่บ่อยครั้ง”
“แต่ถึงจะตกอยู่ในปัญหานับไม่ถ้วนที่ข้าสรรค์สร้างให้ แต่เขาก็ยังยิ้มสู้และพยายามทำให้ข้าเปิดใจทุกวิถีทาง ข้า…ทว่าข้านั้น…มันช่างเลวทราม หลงระเริงได้ใจ เหยียบย่ำทุกอย่างที่เขาทำให้เพียงเพราะความคึกคะนอง จนสุดท้ายข้าก็รู้สึกเบื่อกับความตามตื้อของเขา”
“ตอนข้าอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ข้าก็คิดหาวิธีสนุกๆ มาเพื่อกำจัดเขาไปจากชีวิต จึงได้จัดงานประลองเฟ้นหาคู่ครองของข้า ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พูดหรือบ่นอะไรสักคำ และตัดสินใจสมัครเข้าร่วมงานประลองนี้โดยไม่มีลังเล เขาแทบจะใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อคว้าชัยจนสำเร็จในท้ายที่สุด แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ข้าในตอนนั้นรู้สึกเกลียดขี้หน้าเขาเข้าไปใหญ่ ในวันนั้น ข้าเดินทางไปหาเขาและวางยาพิษขวดหนึ่งไว้ต่อหน้าด้วยความโกรธจัด”
“ข้าบอกกับเขาว่า หากต้องการแต่งงานกับข้าจริง เช่นนั้นก็จงดื่มพิษในขวดนี้เสีย…”
พอเล่ามาถึงจุดนี้ จู่ๆ หยุนซีก็ชะงักเงียบไป ไม่นานเสียงร่ำไห้ก็เริ่มดังขึ้นแทน ธารน้ำตาสีใสรินไหลจนอาบทั้งสองแก้มของนาง มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความรู้สึกผิดบาปเกินจะยกโทษให้อภัยตนเอง
หยาดน้ำตาแต่ละหยดที่ตกกระทบมือคู่นั้น ล้วนอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจไร้ขอบเขตเปี่ยมล้น
“แล้วพิษที่ว่าคือ…?”
เซียถงเอ่ยถามออกไปคำหนึ่ง
“พันพิษเลิศหล้า! เป็นยาพิษที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด!”
บรรยายกาศเงียบสงัดเข้าปกคลุมอยู่สักครู่ ไม่นานนักหยุนซีก็ปริปากกล่าวขึ้นอีกครา กล่าวตอบอยู่ไม่กี่คำน้ำเสียงอ่อนล้า เมื่อกดสายตามองต่ำ เซียถงก็เห็นหยุนซีค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปสวมกอดร่างศพของจือหยวนเอาไว้แน่น มีแต่เพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญเท่านั้นที่เปล่งดังออกมาในขณะนี้
แม้จากเหตุการณ์ในตอนนั้นจะพ้นผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่หยุนซีเอ่ยชื่อของพิษชนิดนี้ออกมา หัวใจของนางมักแตกสลายให้เหลือชิ้นดี
เซียถงเผยแววตื่นตะลึงขึ้นเล็กน้อย พันพิษเลิศหล้ามีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปเทียนหลาง ฟังว่าพิษชนิดนี้มีรสชาติหวานหอมกระชากใจ แต่กลับคุณสมบัติเป็นพิษที่รุนแรงเกินจินตนาการ เพียงเสี้ยวหยดเดียวก็สามารถคร่าชีวิตใครหน้าไหนก็ได้นับหลายสิบ ไม่เว้นแม้กระทั่งยอดฝีมือผู้แกร่งกล้า