ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 22ฟันต่อฟัน (2)
ตอนที่22ฟันต่อฟัน (2)
สิ่งที่บรรดาฝูงชนร้องฮือฮาออกมาหาใช่เพราะความว่องไวของเขา แต่เป็นแสงสีเขียวมรกตสดใสที่เฉิดฉายเปล่งประกายบนค้อนยักษ์สองมือนั่นต่างหาก ปรากฏว่าเป็นผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเขียว!
อย่างที่เคยกล่าวเล่าไป แม้ภายในอาณาจักรตงหลี่แห่งนี้ยังมีผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเขียวอยู่บ้าง แต่จำนวนกลับไม่มากมายนัก เพียงเห็นรัศมีแสงสีเขียวมรกตปะทุคลั่งออกมาจากทั่วร่างของชายร่างกำยำเคราหนา บรรดาผู้ชมทั้งหลายโดยรอบต่างเปล่งเสียงกันจ้าละหวั่น
สีหน้าของชายร่างสูงโปร่งถึงกับซีดเซียว ภายในใจตื่นตระหนกตกใจอย่างยิ่งยวด รอบแรกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับระดับอาวุโสขอบเขตเสาหลักเขียวแล้ว แม้ตนจะมีระดับลมปราณอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักเขียวเช่นกัน แต่เมื่อพินิจจากรัศมีความเข้มข้นของสีเขียวมรกตที่แผ่ซานออกมาจากชายร่างกำยำเคราหนาแล้ว น่าจะอยู่ในขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นสูง ในขณะที่ตัวเขามีระดับลมปราณอยู่เพียงขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นกลางเท่านั้น หาดนำมาเปรียบเทียนกัน ค่อนข้างห่างชั้นแตกต่างกันค่อนข้างมาก
เมื่อค้อนยักษ์สองมือปะทะคมกระบี่ของชายร่างสูงโปร่ง ชายเคราหนาพลันแสยะยิ้มขึ้นทันใด รัศมีแสงสีเขียวมรกตเข้มข้มยิ่งทวีความสว่างวูบวาบอยู่บนค้อนยักษ์ ก่อนจะควบแน่นพลังทั้งหมดบีบอัดที่ปลายค้อนและระเบิดคลั่งทำลายล้างรัศมีโดยรอบ แม้ชายร่างสูงโปร่งจะตตอบสนองได้ทันท่วงที แต่ก็ยังสายเกินไป คมกระบี่ที่เข้าประจัญบานแตกระแหงเป็นชิ้นเล็กชิ้นนอก ทั้งยังถูกคลื่นพลังทำลายล้างกวาดร่างซัดกระเด็นปลิวออกไปจนตกสนาม กระพ่นเลือดสดออกมาคำโต นอนหมดสภาพคาพื้นดินในพริบตา
“สวรรค์! ขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นสูง!”
“เพียงว่าก่อนหน้านี้เขาระงับขุมพลังความแข็งแกร่งเอาไว้เท่านั้น ทีแรกข้าเองก็คิดว่า น่าจะมีระดับชั้นอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นกลางเท่านั้น ที่ไหนได้…ปรากฏว่าเป็นขั้นสูง!”
บรรดาผู้ชมรอบอัฒจันทร์ต่างจับกลุ่มสนทนากันร้อนแรง
แม้ว่า ระหว่างขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นสูงกับขั้นกลางจะอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งระดับชั้นย่อย แต่ความแตกต่างของพลังความแข็งแกร่งกลับกว้างใหญ่เกินจินตนาการ กล่าวได้ว่า เพียงหนึ่งกระบวนเคลื่อนไหลของผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นสูง ก็สามารถพิฆาตผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นกลางได้ในพริบตา ทั้งความเร็ว พละกำลังและวรยุทธ์ต่อสู้ ล้วนเหนือชั้นกว่าทั้งสิ้น
เซียถงเฝ้ามองภาพฉากตรงหน้าอย่างสงบ สงสัยเพียงว่า ขุมพลังความแข็งแกร่งของชายเคราหนาคนนี้อยู่แค่ขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นสูงจริงๆ งั้นเหรอ? แม้กระทั่งนางยังสามารถปราบปรามระงับความแข็งแกร่งจากขอบเขตเสาหลักฟ้า ลงมายังขอบเขตเสาหลักเขียวได้เลย หากนางทำได้ คนอื่นเองก็ต้องทำได้จริงหรือไม่?
ชายร่างสูงโปร่งกำลังนอนนอนซีดเซียวอยู่ด้านล่างสนาม สักพักต่อมาค่อยถูกสหายที่มาด้วยกันหามออกไป ก่อนที่กรรมการจะประกาศให้ชายเคราหนาเป็นผู้ชนะในรอบนี้
ชายเคราหนาในยามนี้ ยืดอกแข่งขันดูภาคภูมิใจอย่างที่สุด ตนสามารถโค่นคู่ต่อสู้ลงได้ภายในหนึ่งกระบวนท่าเดียว ยิ่งได้เห็นบรรดาฝูงชนโดยรอบทั้งหลายจับกลุ่มพูดเกี่ยวกับตนอย่างร้อนระอุเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเหิมเกริม เหวี่ยงค้อนยักษ์สองมือกระแทกพื้นสนามประลอง ป่าวประกาศคำรามเสียงดังลั่นว่า
“ใครที่เป็นคู่ต่อสู้รอบต่อไปของข้า? เข้ามาได้เลย! ข้าพร้อมเสมอ! เมื่อครู่เพียงยืดเส้นยืดสายเท่านั้น!”
เมื่อกรรมการบอกให้เขาลงไปก่อน ชายเคราหนากลับไม่ฟังทั้งยังจะหวดค้อนยักษ์ทุบใส่อีกและตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“ไฉนเจ้าถึงเรื่องมากปานนี้? ให้ข้าประลองควบทีเดียวสองรอบไปเลยมิเห็นจะเป็นไร! นี่ถือว่าช้าช่วยประหยัดเวลามากแล้ว!”
วาจาคำกล่าวช่างเปี่ยมล้นความเย่อหยิ่ง ยอดฝีมือผู้ซึ่งคุมสนามหมายเลขสองสีหน้ามืดทมิฬลงทันที ขณะเตรียมขึ้นสนามมาลากตัวขายเคราหราลง ทันใดนั้นทุกคนทั่วบริเวณพลันสังเกตเห็นกลีบบุปผาร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้าโปรยปรายลงสู่สนามประลอง
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงหญิงงามสี่นางในชุดแพรพรรณนาสีแดงเพลิงบนท้องนภาประดับเคียงคู่บุผาโปรยปรายดั่งพิรุณสีหลายสีสัน นางทั้งสี่ช่างงดงามและสวยสง่าหาที่ใดเปรียบไม่ กำลังยืนอยู่ทั้งสี่มุมจัตุรัสรอบสนาม พร้อมตะกร้าบุปผาที่ใช้หยิบโปรย
“คุณชายหลัวซีปรากฏกายแล้ว”
สุ้มเสียงหญิงงามทั้งสี่ขับขานขึ้นโดยพร้อมเพรียง จากสี่มุมจัตุรัส กึกก้องไปทั่วสนามประลองหมายเลขสอง ก่อนจะปรากฏชายหนุ่มในชุดสีขาวกำลังร่อนลงมาสู่ใจกลางสนามท่ามกลางพิรุธบุปผาโปรยปราย ตั้งแต่หัวจรดเท้านุ่งห่มแพรพรรณผ้าไหมชั้นเยี่ยมสีขาวประดุจหิมะ อากัปกิริยาดูชดช้อยสง่าราศี ประดับเคียงฉากหลังเป็นฝนบุปผายิ่งเสริมบารมีดั่งเทพเซียนเสด็จลงมาสู่ผืนพิภพ
บรรยากาศทั่วทั้งสนามหมายเลขสองพลันเงียบสงัดชั่วขณะ แต่ละคนต่างเบิกตาโตอ้าปากค้างขากรรไกรแทบร่วง พลางจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มหน้าหยกที่กำลังร่อนลงมาเหยียบย่างบนสนามประลอง
“สวัสดีทุกคน ข้านามว่าหลัวซี อย่าได้ตื่นตะลึงกับความหล่อเหลาของข้าเลย”
หลัวซีคลี่ยิ้มบางอันทรงเสน่ห์ออกมา มือข้างขวาถือดอกกุหลาบสีแดง โค้งคำนับสี่ทิศทักทายทุกคนด้วยท่าทีแสนสง่างาม
รอยยิ้มสีจางที่ประดับประดาบนใบหน้าอันหล่อเหลาดั่งหยก ต้องกล่าวเลยว่า ช่างเป็นภาพฉากที่ตราตรึงไม่มีชายใดเทียบเคียงได้เลยจริงๆ สิ่งที่ต่างทำให้หญิงสาวทุกคนโดยรอบอัฒจันทร์ใจสั่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพวกนางจะกรีดร้องออกมาดั่งว่าต้องการเป็นทาสรักก็มิปาน
“คุณหนู คุณหนู…คุณชายผู้นี้หล่อเหลาเทียบเคียงอัครมหาเสนาบดีเย่ได้เลย!”
อิ๋งเอ๋อร์กลุมมือนางซะแน่น
เซียถงจับจ้องไปที่หลัวซี อดเม้มปากกลั้นหัวเราะมิได้ ภาพฉากการปรากฏตัวของชายคนนี้ ทำให้นางนึกถึง พิสเซส อะโฟรไดต์ ในเซนต์เซย่า ขึ้นมา ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา มักจะมีกลีบกุหลาบสีแดงโปรยปรายทั่วท้องนภา และจะมีคำพูดติดปากอยู่เสมอ ส่วนหลัวซีคนนี้จะมีกับเขาบ้างหรือไม่?
ก็หวังเพียงว่าหลัวซีจะไม่ใช่พวกเก่งแต่ปาก็แล้วกัน เซียถงหยักไหล่ไปทีหนึ่งก่อนจะกลับมาสนใจสถานการณ์ภายในสนามประลองต่อ
ชายเคราหนาเองก็ตกตะลึงมิใช่น้อยกับรูปโฉมและภาพฉากการปรากฏกายของหลัวซี พอได้สติฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง เขาก็ลอบสังเกตเห็นว่า รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของหลัวซีค่อนข้างละเอียดลออและงดงาม ทว่าปราศจากความดุร้ายหรือแรงกดดันคุกคามใดๆ เลย ยิ่งเห็นแบบนี้เขาก็ยิ่งได้ใจมากขึ้นไปอีก เปล่งเสียงดังกล่าววาจาสุดหยิ่งผยองขึ้นว่า
“เจ้าหนุ่ม ใบหน้าของเจ้างดงามดั่งอิสตรี แถมท่าทางก็ยังดูบอบบาง ข้าเองก็ไม่อยากหวดค้อนยักษ์นี้ใส่ตุ๊กตาแก้วอย่างเจ้าเช่นกัน รีบยอมแพ้และลงสนามไปเสียดีกว่า”
ทว่าหลัวซีกลับมิได้สนใจฟังคำพูดของชายเคราหนาเลยแม้แต่น้อย ทำราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตนเป็นธาตุอากาศไปเสียอย่างนั้น เขาหันไปหาบรรดาหญิงสาวบนอัฒจันทร์และส่งยิ้มหวานกระชากใจให้อีกครา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทุกอากัปกิริยาของเขาดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก ไม่มีตื่นเกรงหรือประหม่าใดๆ และดูท่าจะไม่เห็นหัวของชายเคราหนาเลย
ทันทีทันใดก็มีเสียงกรีดร้องจากฝั่งอัฒจันทร์ขึ้นเป็นครั้งที่สอง
เซียถงถึงกับระเบิดหัวเราะลั่น นางอดจำมิได้จริงๆ ชายคนนี้จะหลงตัวเองไปถึงขนาดไหนกัน?
“เจ้าหมูโสโครก หล่อเหลาแล้วช่วยอะไรได้? บนสนามประลองแห่งนี้วัดกันที่ฝีมือหาใช่หน้าตา!”
ชายเคราหนาโกรธเกรี้ยวยิ่งยวดต่อท่าทีอันเมินเฉยของอีกฝ่าย
“หน้าตาของเจ้าน่าเกลียดไปหน่อยก็จริง แต่หากมีฝีมืออยู่บ้างก็นับว่าพอใช้ แต่ดูท่าแล้ว…เจ้าทั้งน่าเกลียดและอ่อนแอ เช่นนั้นเดินลงสนามไปเถิด ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”
หลัวซีกอดอกพร้อมยกมือข้างหนึ่งลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ก่อนจะหัวเราะเสียงแผ่วอ่อนดูมีมารยาท
“เช่นนั้น ก็ลองลิ้มรสค้อนยักษ์ของข้าดูก่อนเถอะ!!”
ชายเคราหนาเริ่มเคลื่อนไหวทันที ยกค้อนหวดใส่ทางหลัวซีทุ่มสุดกำลัง บริเวณหัวค้อนยักษ์สองมือถูกเคลือบไปด้วยกระแสลมปราณสีฟ้าอ่อนเลือนราง ห่อหุ้มเอาไว้เป็นชั้นหนาในพริบตา
“เสาหลักฟ้า! ขอบเขตเสาหลักฟ้า!!”
เมื่อเห็นชายเคราหนาปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมา ฝูงชนโดยรอบต่างก็ลุกฮือเดือดดาลจ้าละหวั่นขึ้นอีกครั้ง!