ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 23 ผู้หล่อแสดงความสามารถ
ตอนที่23 ผู้หล่อแสดงความสามารถ
ได้ยินเสียงเดือดดาลจากฝั่งผู้ชม หลัวซีเพียงโบกกุหลาบในมือแผ่วอ่อน รอยยิ้มบางเบาคลายจิตใจเสมือนกับว่า ชายเคราหนาตรงหน้าหาใช่ภัยร้ายในสายตาของเขาเลย เสมือนกับว่าศึกครานี้หาใช่สมรภูมิสัประยุทธ์เลือดสาด แต่เป็นการเปิดตัวครั้งแรกเคียงคู่ไปกับรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของเขา
ชายเคราหนายิ่งหงุดหงิดใจเข้าไปใหญ่ต่อความไม่รู้ไม่ชี้ใดๆ ของหลัวซี ค้อนยักษ์สองมือหวดฟาดจากบนลงล่าง ทว่าครึ่งจังหวะต่อมากลับเปลี่ยนทิศทางจากซ้ายไปขวา กวาดลานกว้างหวังทุบช่วงล่างของหลัวซีให้พิการ
ตัดตอนเจ้าหนุ่มนี้ให้พิการเดินไม่ได้ อยากรู้จริงเชียว หลังจากนี้มันยังจะหลงตัวได้อีกหรือไม่!
“ระวังนะสุดหล่อ!!”
บรรดาผู้สาวหลายนางท่ามกลางฝูงชนต่างกรีดร้อง อุทานลือลั่นด้วยความตกใจสุดขีด
เซียถงอดหนี่ตาแคบลงมิได้ พินิจจากสีของลมปราณที่เป็นสีฟ้าจางอ่อนเจือผสมกับสีเขียวมรกตซะเป็นส่วนใหญ่ ชายเคราหนาคนนี้น่าจะอยู่ในขอบเขตเสาหลักฟ้าครึ่งขั้นเท่านั้น แต่กระทั่งเอง อาศัยความโหดเหี้ยมไร้ปรานีของตัวเขา นับเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ยุ่งยากคนหนึ่ง ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องดี แต่แน่นอนว่า หากเป็นนางที่ลงสนามสัประยุทธ์ อีกฝ่ากลับมิใช่ภัยคุกคาม แต่สำหรับหลัวซีกลับไม่แน่
เมื่อจะเห็นค้อนยักษ์กวาดลานกำลังหวดใส่ร่างกายช่วงล่างของตน ทว่าหลัวซียังทำตัวราวกับว่าไม่รู้ไม่เห็น และยังคงยิ้มหวานพราวเสน่ห์ พลางสูดดมกุหลาบในมือต่อหน้าฝูงชนดังเดิม
ฝูงชนบางส่วนกรีดร้องระงมลั่น บางคนถึงกับปิดตาก็มี น่าเสียดายยิ่งนัก หากชายหนุ่มผู้นี้พิการช่วงล่างเดินไม่ได้ นั่นหมายความว่าคงเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปด้วย
“คุณหนู รีบลงไปช่วยเขาเร็วเจ้าค่ะ!!”
อิ๋งเอ๋อร์คว้ามือเซียถงกุมแน่นไม่คลายอ่อน รีบเร่งกล่าวขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ
เซียถงยังคงเฝ้ามองอย่างสงบเสงียบ
“โอ้ ตาลุงเคราหนา วิธีการของมันมีแต่พวกคนเถื่อนไร้อารยะเท่านั้นที่ทำลง ไฉนถึงต้องตัดอนาคตของเด็กหนุ่มวัยนี้ด้วย?”
ขณะที่ทุกคนกำลังดุร้าย วิจารณ์ชายเคราหนา เสี้ยวอึดใจก่อนค้อนยักษ์จะหวดมาถึง เขาเพียงควงหมุนกุหลาบในมือเบาๆ พลันปรากฏกระแสลมปราณสีฟ้าครามคลุมเคลือบ พร้อมปักช่อลงบนค้อนยักษ์ดันดุร้ายของอีกฝ่าย
ทันทีทันใด เสมือนไฟฟ้าสะทิดโฉบแล่นผ่านค้อนยักษ์เข้ามายังแขนทั้งสองข้าง ทั่วทั้งร่างของชายเคราหนาเหน็บชาขยับไม่ได้ไปชั่วขณะราวกับเป็นอัมพาต สีหน้าซีดเซียวหนักเป็นตับหมู แต่กระนั้นเขาก็ยังกัดฟัน พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อคลายตัวเองออกจากสภาวะดังกล่าว
กุหลาบในมือของหลัวซีเคลื่อนขยับเล็กน้อย กระแทกก้านกุหลาบในมือลงบนค้อนอีกคราหนึ่งเบาๆ รอบนี้ถึงขั้นทำให้ค้อนยักษ์ร่วงกราวตกกระแทกพื้นอย่างแรง พื้นสนามแตกระแหงกลายเป็นรูขนาดใหญ่
ชายเคราหนาปั้นสีหน้ามืดทมิฬคล้ายดินดำ ใจหายวูบจมลงสู่ก้นหุบเหว เร่งเร้าลมปราณทั้งหมดที่มีกรอกเทไปที่กำปั้นขวา สุดท้ายนี้คิดอะไรไม่ออก ก็ออกหมัดชกใส่บริเวณกล่องดวงใจช่วงล่างของหลัวซีสุดแรงเกิดหวังบดขยี้ให้แหลก!
“ลุงเครา ข้าเข้าใจดีว่าตนนั้นหล่อเหลามากเพียงใด ดังนั้นแล้วอย่าได้อิจฉากันเลย ทั้งหมดนี้บิดามารดาของข้าล้วนให้มา เพียงความริษยาของลุงกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย”
หลัวซีส่งยิ้มให้เล็กน้อยพร้อมขยับมือ หันก้านกุหลาบอาบลมปราณสีฟ้าครามในมือประจันหน้าใส่อีกฝ่ายเสมือนคมดาบ พุ่งเสียบแขนขวาของอีกฝ่ายโดยไม่มีลังเล
ชายเคราหนาถึงกับส่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญระงมลั่น ล้มกองลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เพราะก้านกุหลาบสีแดงดังกล่าวได้แทงทะลุมือขวาของมันในพริบตา ภาพฉากที่สายเลือดพุ่งปรี๊ดออกมาช่างงดงามเสมือนน้ำพุสีโลหิต
หลัวซียังคงหันไปส่งยิ้มพราวเสน่ห์ให้แก่ฝูงชน ดวงตาหวานเยิ้มเป็นทรงเสี้ยวจันทร์ดูมีความสุขปราศจากความทุกข์ใจอันใด และไม่แม้แต่จะเหลียวมองชายเคราหนาอีกเลย กระบวนเคลื่อนไหวทั้งหมด รวดเร็ว เด็ดขาด ภายในหนึ่งเสี้ยวอดใจเท่านั้น มันทั้งสง่างามและน่าดูชมยิ่งแล้ว
อัฒจันทร์โดยรอบพลันเงียบสงัด ทุกคนต่างเบิกตาโตเท่าไข่ห่านต่อเหตุตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเกินพรรณนานับ กระทั่งเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายเอง แต่ละคนยังถึงกับหรี่ตาลง
หลัวซีแทบไม่ได้ใช้มือเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดเป็นเพียงการหยิบใช้ก้านกุหลาบในการปราบปราม ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างการต่อสู้ เขายังแทบจะไม่เหลียวมองคู่ต่อสู้เลยด้วยซ้ำ หากหลัวซีคนนี้เอาจริงขึ้นมา…
“เสาหลักฟ้าเต็มขั้น! เขาเป็นยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าตัวจริงเสียงจริง!”
ฝูงชนต่างแหกปากร้องลั่น อุทานกันอย่างจ้าละหวั่น
หลัวซีโบกมือของตนให้แก่ทุกคนโดยรอบสารทิศ เสมือนกับว่าการแสดงของเขาได้ปิดม่านจบลงไปแล้ว พร้อมเก็บดอกกุหลาบในมือลงไปอย่างรู้งาน กระแสลมปราณสีฟ้าครามเองก็ค่อยเลือนหายไปจนหมดสิ้น
ต่อหน้าภาพฉากนี้ สายตาของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่อยู่ปะปนท่ามกลางฝูงชน เริ่มส่อแววจริงจังจับจ้องอีกฝ่าย
ดอกกุหลาบสีแดงดอกนี้ถูกสร้างขึ้นจากเหล็กไหลเย็นอายุพันปี ยามผนวกรวมเข้ากับความแกร่งกล้าของลมปราณผู้ใช้ กล่าวกันว่า เมื่อสัมผัสกับสิ่งใดจะเพิ่มน้ำหนักให้สิ่งของเหล่านั้นหนักขึ้นพันตันในพริบตา! ปรากฏว่าเจ้าหนุ่มชุดไหมขาวผู้นี้มีสมบัติล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่งอยู่ในครอบครอง
เซียถงเองก็จับจ้องไปที่กุหลาบดอกนั้นชนิดตาไม่กะพริบ พลางรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ภายในใจนางคิดเพียงว่า นางควรสรรหาอาวุธสักชิ้นติดตัวบ้างแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะมีประโยชน์กว่ามือเปล่า เพราะมีดสั้นของนางก็แค่เหล็กธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ยามที่นางต้องปะทะกับหลัวซีคนนี้ โอกาสชนะของนางกลับน้อยลงกว่าที่คาดการณ์ในทีแรก
ต่อให้นางเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน แต่หากต้องเผชิญพบกับของวิเศษในโลกแห่งนี้ มันก็จนปัญญาเช่นกัน
ดีไม่ดี สิ่งของวิเศษที่ว่ายังอาจอันตรายเสียยิ่งกว่าปืนในยุคของนางอีก!
“รอบนี้หลัวซีเป็นฝ่ายชนะ”
ไม่นานกรรมการก็ป่าวประกาศออกมา
หลัวซียิ้มทั้งยังโค้งคำนับแก่ทุกคนเป็นการส่งท้าย ชูมือขึ้นโบกไปมาเล็กน้อยคล้ายเป็นการส่งสัญญาณ หญิงงามในชุดสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่บนสี่มุมสนามรีบเร่งโปรยกลีบบุปผาลงมาอีกครั้ง ในชั่วพริบตา เสมือนสายพิรุณบุปผาร่วงโรย ปลิวว่อนไปทั่วกลางนภาหาว ทุกสายตาตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อกลีบบุปผาเหล่านั้นหยุดลง ทุกคนก็ได้สติฟื้นคืนกลับมา แต่พอกดสายตามองไปทางสนามประลอง กลับไม่มีใครอยู่แล้ว
“คุณชายหลัวซีไปเสียแล้ว…”
อิ๋งเอ๋อร์เหม่อมองไปทางสนามประลอง พร้อมเผยสีหน้าผิดหวังออกมา
“อืม”
เซียถงพยักหน้าและพาอิ๋งเอ๋อร์เดินกลับไปยังสนามหมายเลขหนึ่ง ภายในใจสงสัยว่า ถึงตาของนางแล้วรึยัง? หากถึงแล้วแต่นางไม่ยอมปรากฏตัวอยู่บนสนามเกินกว่าสิบห้านาที ก็ถือเป็นการตัดสิทธิ์แพ้ทันที
ในช่วงบ่ายวันนี้ ในที่สุดก็ถึงตาของเซียถงขึ้นสนาม และคู่ต่อสู้คนแรกของนางเป็นเพียงขอบเขตเสาหลักเหลืองเท่านั้น ถึงนางจะออมมือระงับความแข็งแกร่งไว้มากแล้ว แต่ก็ยังสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย กล่าวได้ว่าแทบจะไม่ต้องออกกระบวนอะไรเลย
คล้อยหลังที่นางเดินลงจากสนาม เซียถงก็บังเอิญเหลือบไปเห็นองค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่กับเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนบนอัฒจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เซี่ยเสวี่ยเหลียน นางจับจ้องเซียถงเขม็ง สายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชังเกินกว่าจะปกปิด
เซียถงเหลือบหางตามองทั้งคู่สวนกลับไปทีหนึ่งพร้อมแสยะยิ้มเย้ยหยั่นไปให้ จากนั้นค่อยเดินหันหลังกลับและจากออกไป
เฝ้าแผ่นหลังของเซียถงที่เคลื่อนห่างจากออกไปไกลจนหลับสายตา ไป๋หลี่เย่ก็ยกมือลูบคางเล็กน้อยคล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิด แววตาคู่นั้นไสววูบหนึ่ง กล่าวว่า
“เป็นฝีมือของนางจริงๆ งั้นรึ? นางเก่งถึงขั้นทำให้ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีเย่เกิดแผลได้เชียว?”
“ใช่แล้วท่านพี่! นังนี่ไม่เพียงแต่จะกรีดคอท่านแม่ข้าจนเป็นแผลเท่านั้น แต่ยังสร้างภัยคุกคามแก่ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ได้ด้วย!”
เซี่ยเสวี่ยเหลียนกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นใจนัก แม้นางจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ณ วันนั้น แต่ในเวลาต่อมา คล้อยหลังได้ฟังฮูหยินรองเฉิงร้องไห้ตัดพ้อชีวิตใส่ นางก็เข้าใจทุกอย่างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
“มีน้อยคนนักที่สามารถสร้างภัยคุกคามแก่อัครมหาเสนาบดีเย่ได้”
ไป๋หลี่เย่ค่อนข้างรู้สึกสังสัยกังขาใจมาก แม้ว่าความแข็งแกร่งของเซียถงจะสูงถึบขอบเขตเสาหลักเขียว แต่ก็ไม่น่าจะสร้างบาดแผลให้แก่เย่หลีเทียนได้เลย
“ทีแรกข้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่เรื่องนี้มิใช่แค่ท่านแม่เท่านั้น กระทั่งบ่าวไพร่ทุกคนในจวนยังกล่าวตรงกันหมด แม้แต่พี่ชายของข้าเองก็เช่นกัน”
ไม่รู้ว่านังผีบ้านี่แอบใช้เวทมนตร์อาคมอันใดกัน ถึงพลิกฟ้าคว่ำสมุทร ทรงพลังเก่งกาจได้ในพริบตา ขณะที่ตัวเซี่ยเสวี่ยเหลียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรพัฒนา แน่นอนว่า ยิ่งเซียถงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเกลียดมันมากขึ้นเท่านั้น!
“หากพี่ชายของเจ้าเองยังกล่าวเช่นนั้น คงมิใช่เรื่องเท็จแล้ว”
ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นผ่านสายตาของไป๋หลี่เย่วูบหนึ่ง รากฐานพลังบำเพ็ญตบะของเซียถงจักต้องสูงปานใดกัน? หลังนางหายจากอาการบาดเจ็บสาหัส ความแข็งแกร่งของนางก็พุ่งทะยานสูงถึงขอบเขตเสาหลักเขียวในชั่วอึดใจ สิ่งนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่แท้?
ก่อนเดินจากสนามขึ้นไปบนอัฒจันทร์ เซียถงต้องแวะจับฉลากเพื่อจับคู่ในรอบถัดไป ซึ่งนางได้หมายเลขสิบสาม ณ สนามประลองที่สาม พอเหลือบไปเห็นชื่อของคู่ต่อสู้ ก็ถึงกับอดยิ้มเยาะขึ้นมิได้ ปรากฏว่าคู่ต่อสู้ในรอบถัดไปที่ต้องเจอก็คือ จางเสวี่ยหรง
เส้นทางมักคับแคบเสมอเมื่อกล่าวถึงศัตรู จางเสวี่ยหรงได้เจอนางสมใจปรารถนาแล้ว