ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 231 สาวงามตามตื๊อ (1)
ตอนที่231 สาวงามตามตื๊อ (1)
ตอนที่231 สาวงามตามตื๊อ (1)
เซียถงหันไปมองคนๆนั้นที่อยู่ด้านหลัง เพียงแวบแรก นางก็อดตะลึงมิได้ คนที่แอบย่องเข้ามาในห้องของนางกลับกลายว่าเป็นสาวงามนางหนึ่งจริงๆ! เป็นสาวงามนางนั้นในชุดสีเหลืองที่ยืนอยู่ตรงทางเดินชั้นสอง ใบหน้าถูกเติมแต่งจนงดงามน่าหลงใหล แต่เนื่องด้วยเครื่องประดับเพชรพลอยที่ใส่มามากจนเกินงาม กลับทำให้เสน่ห์ดูลดลง คล้ายกับว่าเป็นหญิงสาวไม่ค่อยมีรสนิยมเท่าไหร่
ทันทีที่เห็นเซียถงหันมอง นางก็อดเชิดหน้ามุ่ยใส่มิได้ เดินกุมจมูกที่เริ่มบวมแดงเนื่องจากโดนฟันศอก ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉ่ำขบกัดบางๆ บ่นขึ้นว่า
“คุณชาย ไยท่านถึงมีนิสัยใจคอเหี้ยมปานนี้? ดั้งจมูกข้าหักแล้วกระมัง?”
แค่ย่างเท้าก้าวเข้ามา จู่ๆ ก็มีศอกจากไหนมิทราบพุ่งจามใส่หน้าอย่างแรง ถึงแม้จะพยายามเลี่ยงหลบแล้วก็ยังไม่ทันเวลา จึงเป็นส่วนดั้งจมูกที่โดนจามเข้าใส่เต็มรัก
“คุณชายเย็นชาเกินไปแล้วนะเจ้าค่ะ! ไม่คิดจะรับผิดชอบสาวน้อยคนนี้เลยงั้นรึ?”
สาวงามลูบคลำดั้งจมูกอยู่หลายที ระบายเสียงขุ่นเคืองเอ่ยถามออกไป ทั้งที่เป็นคนฟันศอกเข้าหน้ากันแท้ๆ ไฉนถึงไม่คิดจะแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย?
“แล้วใครบอกให้เจ้าเข้ามา?”
เซียถงเหลียวตาชำเลืองมองนางไปหนึ่งปราด เปล่งเสียงเย็นชืดเอ่ยถามทีท่าไม่แยแสใดๆ ให้อารมณ์ราวกับภูเขาน้ำแข็งพันปีไร้ใจ
“ข้าเป็นนางโลมอันดับหนึ่งของที่นี่ มีชื่อว่าเยว่อวี๋ ข้า…”
เยว่อวี๋ปั้นหน้าหงุดงหิดฉุนเฉียวเล็กน้อย ขณะที่กล่าวก็เงยหน้าขึ้นสบสายตาไปพลาง แต่เมื่อเหกก็สีหน้าเย็นเยียบของเซียถงดังนั้น ก็ถึงกับตะลึงงันเกินหักห้าม ริมฝีปากสีแดงฉ่ำชะงักค้างเติ่ง เปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง คำพูดต่อจากนั้นต้องรีบกลืนเฮือกใหญ่กลับเข้าคอทันที
นี่เป็นครั้งแรก…ครั้งแรกที่นางได้เผชิญหน้ากับบุรุษชายที่หล่อเหลาถล่มเมืองปานนี้! คู่คิ้วโค้งมนดั่งจันทร์เสี้ยวทรงสวย นัยน์ตาใสพิสุทธิ์ดุจเหมันต์บริสุทธิ์บนภูเขาน้ำแข็ง ถึงแม้จะให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ แต่เสน่ห์เกินหักห้ามปานนี้กลับทำให้ดวงใจของผู้คนตกอยู่ในภวังค์ไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น ลองดูริมฝีปากบางสีอมชมพูนั่นสิ…เสมือนใจดวงนี้ของเยว่อวี๋ถูกคมมีดบาด นางไม่เคยเห็นใครครอบครองริมฝีปากที่งดงามเช่นนี้มาก่อน
“คุณชาย ท่านหล่อเหลาเกินพรรณนา…”
ชั่วพริบตาขณะ ความหล่อสวยของเซียถงก็สะกดใจของเยว่อวี๋ได้อยู่หมัด ถึงขั้นที่อีกฝ่ายจ้องตาไม่มีคลายอ่อน กล่าวน้ำเสียงเลื่อนลอยว่างเปล่าราวกับต้องมนต์เสน่ห์ไปแล้ว
เมื่อได้เห็นทีท่าสุดแสนจะลุ่มหลงของเยว่อวี๋ เซียถงก็อดรู้สึกขำขันมิได้ วาจาคำกล่าวประโยคนี้ของนางช่างดูไร้เดียงสาเหลือเกิน สีหน้าการแสดงออกยังคงรักษาความเย็นชา เซียถงเอ่ยถามกลับไปว่า
“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? มีหน้าที่รับแขกห้องนี้กระมัง?”
“อะ-อ่า? จะ-เจ้าค่ะ! บ่าวได้ยินจากพี่สาวคนอื่นๆ บอกว่า มีคุณชายรูปงามเดินทางมาที่นี่ แล้ว…แล้วเขาหาได้ใคร่ปรารถนาหญิงใดให้ดูแลเคียงกาย มาที่นี่เพียงเพื่อทานข้าวเท่านั้น ด้วยความสงสัย บ่าวจึงเดินทางมาดูเจ้าค่ะ”
เยว่อวี๋คลี่ยิ้มหวาน จีบมุมกระโปรงพลางยกขึ้นสูงขึ้นเล็กหน่อย จากนั้นก็เคลื่อนขยับเข้าไปชิดใกล้เซียถง กล่าวเสียงติดปลายกระเส่าเล็กน้อยว่า
“คุณชายเจ้าค่ะ กินดื่มเพียงลำพังมันน่าเบื่อ โปรดให้บ่าวคนนี้ได้รับใช้รินสุราให้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
เซียถงเหลือบสายตามองร่างของสาวงามที่เคลื่อนขยับเข้าใกล้ ทันทีทันใดสีหน้าการแสดงออกพลันเย็นชืดอีกครา มองค้อนกล่าวน้ำเสียงตัดสัมพันธ์ไปสั้นๆ ว่า
“ข้าไม่ดื่มสุรา เชิญออกไปเถอะ”
“คุณชายเจ้าค่ะ หากท่านไม่ชอบดื่มสุรา เช่นนั้นแล้วให้บ่าวบรรเลงพิณขับกล่อมให้ฟังดีไหมเจ้าค่ะ?”
เยว่อวี๋ยังคงไม่ยอมแพ้ ตามตื๊อเซียถงตัวติด ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนกับว่า นางไม่อยากออกห่างจากอีกฝ่ายไปไหน
เซียถงชำเลืองมองอีหกครั้ง เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“ไม่ ข้าไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทานข้าว ออกไปซะ แล้วอย่ามายุ่มย่ามกับอาหารของข้าด้วย”
“โถ่ คุณชาย เหตุไฉนท่านถึงใจร้ายกับบ่าวปานนี้? เพียงหวังดีต้องการให้ท่านมีความสุขเท่านั้น แต่ท่านกลับปฏิเสธความหวังดีเหล่านั้นตลอด”
เยว่อวี๋อเม้มริมฝีปากขดแน่นด้วยความไม่พอใจ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเห่อร้อนแดงก่ำขึ้นมาขณะเอ่ยตัดพ้อ เหมือนกับว่ากำลังจะร้องไห้แล้ว
เซียถงเห็นดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ไฉนหญิงสาวนางนี้ถึงตื๊อนัก? มีลูกค้าท่านชายอื่นอีกตั้งมากมาย ไยต้องสนใจแต่ห้องของตน? พอเหลียวหน้ามามองก็พบว่าน้ำตาสีใสเริ่มรินไหลออกมาจากดวงตาคู่งามของเยว่อวี๋แล้ว ท้ายที่สุดนี้เซียถงก็กล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“เอาเถอะ เล่นก็เล่น แต่ช่วยเวง้นระยะห่างจากข้าประมาณหนึ่งด้วยเถอะ แนบชิดกันปานนี้ทานข้าวไม่ถนัดมือ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เยว่อวี๋ซึ่งกำลังร้องไห้ก็เลิกคิ้วเจ้าเล่ห์ ระบายยิ้มฉีกกว้างในทันใด รีบพยักหน้าตอบอย่างมีความสุข หมุนตัวกลับไปทางประตูและรีบวิ่งออกไป ไม่นานนัก นางก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพิณเจ็ดสายในมือ
เยว่อวี๋ไม่ได้เริ่มบรรเลงเล่นพิณทันที แต่ยกไปมันไปวางไว้ข้างตัว และหยิบอะไรบางอย่างในมือส่งให้กับเซียถง ยิ้มกล่าวว่า
“คุณชาย เมื่อครู่ที่ท่านเคลื่อนไหว ตะเกียบบนโต๊ะมันตกพื้น เช่นนั้นข้าจึงนำตะเกียบคู่ใหม่มาให้ จะเปลี่ยนไหมเจ้าค่ะ?”
เซียถงมองตะเกียบเงินคู่หนึ่งในมือของอีกฝ่าย พลันรู้สึกใจสั่นเล็กน้อยเมื่อเผชิญพบกับความหวังดีนี้ สาวงามนางนี้เป็นคนละเอียดอ่อน ใส่ใจกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว เซียถงหรี่ตามองเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า
“อืม ขอบใจ”
เยว่อวี๋พยักหน้า และส่งตะเกียบคู่ใหม่ในมือให้ จากนั้นก็ถอยกลับไปหยิบพิณขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าตั้งท่านั่งบนพื้น เว้นระยะห่างจากตัวเซียถงอยู่ประมาณหนึ่ง จากนั้นเรียวนิ้วยาวสีขาวนวลก็เริ่มแตะสัมผัสสายเอ็นบรรเลงโหมโรงขึ้นด้วยทีท่าอันชดช้อย
ท่วงทำนองพิณขับกล่อมแผ่วบางประดุจสายวารีเย็นไหลผ่าน บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นความรื่นอภิรมย์ ท่ามกลางเสียงดีดบรรเลง เซียถงหยิบตะเกียบเงินคู่ใหม่ขึ้นมา ชำเลืองสายตาปราดมองเยว่อวี๋ที่นั่งอยู่ด้านข้างอยู่หนึ่งปราด จากนั้นก็เริ่มรับประทานอาหารต่อ
เยว่อวี๋ค่อนข้างตั้งใจเล่นบรรเลงพิณในมือเป็นอย่างมาก ทั้งยังเหลือบสายตาเปี่ยมความอ่อนโยนชำเลืองหาเซียถงเป็นครั้งคราว ทว่าอย่างไร กลับมีแววแสงผิดแปลกงำประกายเร้นซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาอันอ่อนโยนคู่นั้นอยู่อีกที ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่สามารถหนีจากสายตาของเซียถงได้อยู่ดี แต่ถึงจะทราบเช่นนั้น นางก็ยังเลือกที่จะรับรับประทานและนั่งฟังอย่างเงียบงันต่อไป
คล้อยหลังท่วงทำนองสิ้นสุดลง เซียถงก็วางตะเกียบในมือ เปล่งเสียงเย็นยะเยือกกล่าวกับเยว่อวี๋โดยไม่แม้แต่เหลียวมองใดๆ
“ไยเจ้าถึงต้องมาห้องของข้า?”
ท่วงทำนองที่ขับกล่อมเมื่อครู่นี้ แม้นผิวเผินจะฟังดูไพเราะเบาสบาย แต่หากพินิจโดยละเอียดกลับอัดแน่นไปด้วยแววความเศร้าหมอง และเซียถงสามารถรับรู้ได้ถึงจุดนี้อย่างชัดแจ้ง ยิ่งฟังก็ยิ่งมั่นใจว่า ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่นอนที่เยว่อวี๋ถึงต้องเลือกมาห้องนี้ของนาง
“เพราะคุณชายดูดีเสียเหลือเกิน บ่าวไม่เคยเห็นบุรุษชายใดหล่อเหล่าเทียมทัดกับคุณชายมาก่อน”
เยว่อวี๋เงยหน้าขึ้นมองพร้อมส่งยิ้มหวานให้ ซึ่งรอยยิ้มนี้ของนางมีเพียงความงดงามและไร้เดียงสาที่คงอยู่ หาได้แอบแฝงแววความเย้ายวนยั่วสวาทกันใดๆ
น่าเสียดายยิ่งนัก ที่สาวงามนางนี้ต้องอยู่อาศัยในซ่องโสเภณีเฉกเช่นนี้ เซียถงรู้สึกเศร้าใจแทนอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่ก็ยังจับตะเกียบคู่นั้นคีบอาหารเข้าปากและกินต่อไป ส่วนเยว่อวี๋ก็มิได้กล่าวอะไรสักคำ เซียถงไม่พูด นางเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเช่นกัน จนล่วงเวลาผ่านเลยไป มันจำเป็นที่นางต้องพูดอะไรสักอย่างแล้วเช่นกัน
“คุณชายเจ้าค่ะ ท่านอยากเห็นข้าเต้นรำหรือไม่?”
เยว่อวี๋ยิ้มถามกับเซียถง
เซียถงยังคงนั่งตักอาหารเข้าปากดังเดิม ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขานตอบ เช่นนั้นเยว่อวี๋จึงวางเครื่องพิณในมือลง และเริ่มลุกขึ้นโบกสะบัดแขนเสื้อยาวพลิ้วไสว ร่ายรำท่วงท่าสง่างดงาม
ชายเสื้อแพรพรรณ ทรวดทรงองเอวรูปงามไสวพลิ้วคล่องแคล่ว ปรับเปลี่ยนบรรยากาศจากความรื่นรมย์เย็นสบาย กลายเป็นเร่าร้อนพราวเสน่ห์ เซียถงนั่งชมหญิงสาวตรงหน้าร่ายระบำพลิ้วไหวดั่งผีเสื้อ ทุกย่างก้าว และทุกสายตาที่เหลียวมอง ช่างงดงามสมบูรณ์
น่าเสียดายจริงๆ …
เซียถงอดถอนหายใจมิได้
ก่อนที่เยว่อวี๋จะร่ายระบำจบลง ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเร่งรัวดังขึ้นเหมือนดูเร่งรีบ และเป็นสุ้มเสียงหญิงชรานางเดิมดังขึ้นว่า
“คุณชายเจ้าค่ะ พึงพอใจกับอาหารหรือไม่?”