ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 236 หลินเยวี่ยนผู้อัปยศ (2)
ตอนที่236 หลินเยวี่ยนผู้อัปยศ (2)
ตอนที่236 หลินเยวี่ยนผู้อัปยศ (2)
อย่างไรเสีย หากเขากล้าฆ่าคนกลางที่สาธารณะโจ่งแจ้งปานนี้ เดาได้เลยว่า สถานะของหลินเยวี่ยนคงหาได้ต่ำทราม
“เขาเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิซีฉิน มีพี่ชายชื่อว่าหลินเฟย และหลินเฟยคนนี้ได้ชื่อว่าเป็น อัจฉริยะแห่งเส้นทางบำเพ็ญตบะอันดับหนึ่งในจักรวรรดิซีฉิน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลินเยวี่ยนกำแหงได้ใจ ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน ฆ่าผู้คนเล่นเป็นผักปลา กระทั่งฝ่าบาทยังไว้หน้าเกรงใจอยู่สามส่วน เพราะเห็นแก่คุณงามความดีของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นบิดาของเขา”
เย่วอวี๋เอ่ยอธิบายน้ำเสียงสั่นเครือ ยามนี้ชักจะเริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ลากคนไม่เกี่ยวข้องอย่างคุณชายรูปงามท่านนี้ให้ติดบ่วงแห เพราะหากหลินเยวี่ยนไปเรียหกหลินเฟยผู้พี่มา เกรงว่าสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม
หลินเฟย? อัจฉริยะแห่งเส้นทางบำเพ็ญตบะอันดับหนึ่งในจักรวรรดิซีฉิน?
เวลานี้ เซียถงเริ่มทำความเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว เกี่ยวกับเรื่องราวพื้นฐานภายในจักรวรรดิซีฉินแห่งนี้ อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ จำนวนยอดฝีมือของที่นี่มีนับไม่ถ้วนประดุจก้อนเมฆ ขนาดพนักงานในร้านอาหารที่นางเข้าพัก ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าขึ้นไปทั้งสิ้น และหากหลินเฟยที่ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งซีฉินจริง ระดับพลังลมปราณของเขาก็ไม่น่าจะต่ำกว่าขอบเขตราชันย์ม่วง วันแรกของการประลองที่ต้องเผชิญหน้าพบกัน ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายน่าจะเหนือกว่าตนอยู่หลายขุม
คิดได้ดังนั้นคู่คิ้วเซียถงก็ขมวดแน่น หันไปเอ่ยถามเยว่อวี๋ขึ้นว่า
“เวลานี้กี่ยามแล้ว?”
“ใกล้จะล่วงเลยยามสามแล้วเจ้าค่ะ”
เยว่อวี๋กล่าวตอบ ทอดสายตาแช่มมองเซียถงอย่างว่างเปล่าปนฉงนใจ ไยคุณชายท่านนี้จู่ๆ ถึงถามเรื่องเวลา?
เซียถงก้มศีรษะพินิจครุ่น กล่าวกับอีกฝ่ายว่า
“ข้าจะมอบเงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองแก่เจ้า นี่มันมากเพียงพอที่จะไถ่ตัวเจ้าออกจากที่นี่ได้หรือไม่?”
เพราะก่อนหน้าหญิงชราก็ได้เงินจากนางไปกว่าสองหมื่นเหรียญทองแล้ว เพิ่มอีกหนึ่งหมื่นถ้วนก็ถือได้ว่าเป็นเงินจำนวนมากเกินพอที่จะซื้อชีวิตใครคนหนึ่งออกจากหอนางโลม
และที่สำคัญ หากหลินเฟยเป็นปรมาจารย์ขอบเขตราชันย์ม่วงจริงๆ ศึกสัประยุทธ์ที่ก่อเกิดหลังจากนี้คงถล่มภูเขาเผากระท่อมแน่นอน เซียถงระแวงว่า เรื่องนี้จะเป็นปัญหาใหญ่จนไปเตะตาเย่หลีเทียนเข้า เมื่อใดที่เรื่องดังกล่าวดันไปดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย เกรงว่าสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะอย่างไร เย่หลีเทียนเคยเห็นนางตอนที่ไม่มีจุดด่างดำบนใบหน้า หากบังเอิญพบเจอกันมีหวังตัวนางถูกจับได้แน่ และยามที่ตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผย ทุกอย่างคงจบเห่
“คุณชาย ท่านจะไถ่ตัวข้าออกจากที่นี่จริงๆ งั้นรึ?”
เยว่อวี๋เอ่ยถาม เบิกตาโตประหลาดใจยิ่งยวด
“ข้าช่วยเจ้าออกจากหอนางโลมแห่งนี้ได้ แต่เมื่อใดที่ออกไปได้แล้ว ก็จงรีบลี้ภัยออกจากซีฉินด้วยตัวเอง หลังจากนี้พวกเราสองจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
คู่สายตาใสสว่างจับจ้องเยว่อวี๋ เซียถงกล่าวสีหน้าค่อนข้างจริงจัง
แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น จากเดิมที่ประกายตาของเยว่อวี๋ส่องไสวเปี่ยมความหวัง จู่ๆ ก็พลันมืดหม่นลงทันใด นางก้มศีรษะลงด้วยความผิดหวัง คล้อยหลังไม่นาน นางก็แหงนหน้าขึ้นมองเซียถง สีหน้าแววตาตั้งมั่น กล่าววาจาอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นโดยไม่ลังเลว่า
“ถึงแม้เยว่อวี๋คนนี้จะใช้ชีวิตอยู่ในหอนางโลม ทว่าเรือนร่างของข้ายังคงบริสุทธิ์ ขอเพียงคุณชายเต็มใจยอมรับ เยว่อวี๋คนนี้ยินดีที่จะติดตามรับใช้ท่านไปชั่วชีวิต! ตัวข้าหาได้ทะเยอทะยานฝักใฝ่ลาภยศ จะให้เป็นสนมหรือของเล่นยามเบื่อของท่านย่อมได้ทุกเมื่อ ขอทำหน้าที่ทาสเยี่ยงหมูเยี่ยงม้าจวบจนวันตาย!”
กล่าวจบ อุณหภูมิทั่วบริเวณร้อนผ่าว นัยน์ตาสั่นไสวคู่งดงามจ้องหน้าเซียถงเขม็งอย่างมุ่งมั่นเจือผสมแววดื้อรั้น แต่ที่ดูโดดเด่นที่สุดคือ ใบหน้างดงามของเยว่อวี๋กลัยแดงก่ำราวกับกำลังขวยเขิน
เอ่อ…
เซียถงถึงกับเหงื่อตก มองหน้าเยว่อวี๋ด้วยความประหลาดใจ แลเห็นก้อนเมฆสีแดงก่ำสองก้อนลอยตุบป๋องอยู่บนแก้มของอีกฝ่ายทั้งสองข้าง ผนวกกับบรรยากาศร้อนรุ่มน่าอึดอัดจนอธิบายไม่ถูกเช่นนี้ ทำเอาเซียถงอดคิดกับตัวเองมิได้ มิใช่ว่าหญิงสาวนางนี้กำลังแอบชอบนางอยู่ใช่ไหม?
เวรแล้ว….
พอคิดมาถึงจุดนี้ เซียถงอดรู้สึกเสียวสันหลังวาบมิได้ เบี่ยงสายตาหลบเยว่อวี๋เล็กน้อยด้วยความประหม่า
“คุณชาย ที่ท่านปฏิเสธเป็นเพราะไม่ต้องการตัวข้าจริงๆ หรือท่านกำลังดูถูกว่าข้าเป็นเพียงหญิงโสเภณีคนหนึ่ง และอาจทำให้ชื่อเสียงของท่านเสื่อมเสียได้?”
เมื่อทีท่าประหม่าดูน่าอึดอัดใจของเซียถง นัยน์ตาคู่ใสบริสุทธิ์ของเยว่อวี๋ก็หม่นประกายหรี่แคบ และเสี้ยวอึดใจต่อมา น้ำตาสองสายก็เริ่มรินไหลออกมาอีกครั้งจนเปรอะเปื้อนแอบแก้ม ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของนางเม้มขบกันแน่น เสมือนกับว่าโลกใบนี้กำลังจะจบสิ้นลงแล้ว
เหงื่อแตก… เซียถงลอบปาดเหงื่อบนหน้าผากไปทีหนึ่ง
ได้เห็นสีหน้าแววตาอันน่าสงสารสุดแสนของเยว่อวี๋ เซียถงตัวชาไปทั่วร่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เสมือนกับว่า ตรงหน้ามีลูกแมวน้อยที่เปียกฝนกำลังร้องเรียกให้ตัวนางอุ้มกลับไปเลี้ยงอย่างใดอย่างนั้น จะอย่างไร ใจจริงนางต้องการปฏิเสธออกไป ทว่าเจอสถานการณ์เช่นนี้เข้ากลับไม่กล้าพูดออกไป
“อย่าร้องสิ อย่าเพิ่งร้องไห้ เอาล่ะ…พวกเราไปกันเถอะ”
สิ้นเสียงกล่าวจบ ใจหนึ่งเซียถงก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ตัวเองตัดสินใจพูดอะไรแบบนี้ออกไป แต่อีกใจกลับไม่สามารถทนเห็นแววตาอันน่าสงสารของเยว่อวี๋ได้เช่นกัน ขณะนี้เริ่มจะทำใจแข็งได้แล้ว เซียถงต้องการจะเปลี่ยนคำพูด ทว่าทันทีที่กำลังจะปริปากกล่าว ก็ดันไปเห็นสีหน้าแววตาของเยว่อวี๋ที่เปล่งประกายกลับมาสดใสได้อีกครั้ง ซึ่งรอยยิ้มนี้เอง ทำเอาเซียถงพูดไม่ออกอีกเลยสักคำ
“คุณชาย ท่านเป็นคนที่จิตใจงดงามอย่างแท้จริง เยว่อวี๋ยินดีรับใช้ท่านไปชั่วชีวิต ยอมสละให้ได้ทั้งกายและ…ใจ”
เยว่อวี๋ได้ยินคำตอบรับดังนั้น เนื้อตัวถึงขั้นบิดไปมา สองมือพัลวันซุกซนอยู่ไม่สุข แสดงอาการขวยเขินออกมาอย่างชัดเจน ก่อนที่ท้ายที่สุด จะรีบคุกเข่าลงต่อหน้าเซียถง
“ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน!”
เซียถงคว้าแขนเยว่อวี๋ยกร่างอีกฝ่ายขึ้นมา อุ้มกอดอยู่ในอ้อมแขน
ทั้งยังใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าปูที่นอนจากเตียงข้างเคียงเข้ามาห่มเรือนร่างที่เปลือยเปล่าของเยว่อวี๋ ดึงปลายผ้าสองด้านพันให้แน่นพอดีกาย จากนั้นก็นำมามัดติดกัน ช้อนกระชับกอดร่างอรชรสาวงามในอ้อมแขน จากนั้นก็ทะยานเหินออกไปจากย่านโคมแดงหลากสีสันแห่งนี้ออกไปทันที
เยว่อวี๋ยกเรียวแขนสองข้างโอบกอดคอของเซียถงเอาไว้ ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนแดงก่ำยิ่งขึ้น บังเกิดความสุขเล็กๆ ผุดขึ้นในใจดวงนี้ของนาง บางที…คุณชายท่านนี้เองก็อาจมีใจให้ข้าอยู่บ้าง
แลเห็นสีหน้าขวยเขินของเยว่อวี๋ เซียถงแค่ปราดมองย่อมทราบทันทีว่า หญิงสาวนางนี้กำลังจินตนาการเรื่องเข้าใจผิดอะไรอยู่ แต่ภายใต้สถานการณ์ฉุกละหุกแบบนี้ นางไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายใดๆ ได้ คงต้องปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดกันไปก่อน และทันทีที่ออกจากย่านโคมแดงไปได้ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะทิ้งเงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองให้ แล้วค่อยหาจังหวะชิ่งหนี
อุ้มเยว่อวี๋จนมาถึงหน้าประตูทางเข้าย่านโคมแดงขนาดใหญ่ ขณะที่พวกนางกำลังจะก้าวเท้าออกไปนั่นเอง ก็มีชายร่างกำยำสูงจำนวนหลายคนตรงเข้าขวางเส้นทาง หยุดมิให้หนีไปไหนได้ต่อ ทุกสายตาที่จับจ้องมาทางเซียถงช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย หวังฆ่ากันให้ตายตรงนี้ก็ไม่เกินจริง
เซียถงเลิกคิ้วมองเล็กน้อย กวาดสายตาเข้าหาชายร่างกำยำกว่าสี่ห้าคนตรงหน้าอย่างเฉยเมยไร้อารมณ์ ริมฝีปากบางปริออกครึ่งส่วน คำรามน้ำเสียงเย็นสามพยางค์เล็ดลอดออกไปว่า
“ไสหัวไป!”
“คุณชาย ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน จนกว่าที่นายน้อยใหญ่หลินจะมา”
หนึ่งในกลุ่มชายร่างกำยำขานตอบ
หุหุ ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี อาศัยแค่คนคุมซ่องไม่กี่คน คิดหรือว่าจะหยุดข้าได้?
เซียถงปล่อยเยว่อวี๋ลงจากอ้อมแขน เงาร่างกระตุกวูบกลายเป็นประกายแสงสีแดงสายหนึ่ง พุ่งเข้าใส่กลุ่มชายร่างกำยำเหล่านั้นด้วยความเร็วสูงสุด ไม่ว่าประกายแสงสีแดงสายนี้เคลื่อนผ่านไปที่ใด ที่นั่นล้วนมีเสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังระงมทิ้งทวนไม่หยุดหย่อน และชั่วอึดใจต่อมา ร่างกำยำสูงของชายพวกนั้นก็หงายล้มตึงกับพื้น ทั่วบริเวณนั้นกลายเป็นแอ่งเลือดสีแดงสดนองเยิ้ม
“รีบไปกันเถอะ!”
คล้อยหลังสังหารหมู่กลุ่มชายร่างกำยำเสร็จสิ้นภายในไม่กี่เสี้ยวอึดใจ เซียถงก็หันกลับมากเอ่ยทักทามเยว่อวี๋ที่กำลังยืนตะลึงงัน พลางเก็บมีดสั้นซ่อนใต้แขนเสื้อดังเดิม ช้อนร่างอรชรของหญิงสาวขึ้นอุ้มกอดในอ้อมแขน และเริ่มออกวิ่งไปอีกครั้ง
เย่วอวี๋ยังคงเผยแสดงสีหน้าว่างเปล่า ส่งสายตากะพริบปริบอยู่หลายครา ปฏิกิริยาถัดมา สีหน้าการแสดงออกของนางเต็มไปด้วยความชื่นชม เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ นางไม่เห็นคุณชายเคลื่อนไหวเลยด้วยซ้ำ! แต่พริบตาต่อมา กลุ่มชายร่างใหญ่เหล่านั้นก็นอนกองเป็นศพกับพื้นแล้ว!
คุณชายท่านนี้…ไม่เพียงจะมีหน้าตาหล่อเหลาถล่มเมือง แต่ก็ยังมีทักษะการต่อสู้ที่เหนือชั้นและจิตใจที่ดีงามหาที่ใดเปรียบไม่!
เยว่อวี๋แอบเอนศีรษะพิงซบบนอ้อมอกของเซียถงที่กำลังวิ่งอยู่เบาๆ รอยยิ้มหวานฉ่ำสุดแสนวางประดับบนใบหน้าของโฉมงามไม่มีหุบ คุณชายท่านนี้แหละคือ…เจ้าชายที่นางใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต!