ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 240 ศัตรูบนทางแคบ (2)
ตอนที่240 ศัตรูบนทางแคบ (2)
ตอนที่240 ศัตรูบนทางแคบ (2)
หลินเยวี่ยนหน้าถอดสีซีดเผือดไร้เลือดหล่อเลี้ยง มีน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง จ้องเขม็งไปที่เซียถงด้วยความขุ่นอาฆาต ทว่ากลับไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้สักคำ เสาะเห็นดังนั้น หลินเฟยรีบหันไปทางเซียถง แผดคำรามน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า
“นี่เจ้าทำอะไรกับน้องชายข้า!?”
“เจ้าเห็นข้าทำอะไรกับน้องชายเจ้ารึไง?”
เซียถงสวนคำถามกลับไปทันที เข็มเงินขนาดจิ๋วเมื่อครู่ที่เซียถงยิงใส่หลินเยวี่ยนเป็นเข็มเงินฉาบพิษ และหากไม่ได้รับโอสถชำระพิษ เขาจะตายภายในสามวัน
“เจ้าหาญกล้าจริงๆ ที่กล้ารังแกน้องชายข้าในเมืองซีเยว่แห่งนี้! สงสัยว่าไม่อยากมีอายุขัยยืนยาวนัก!”
สีหน้าการแสดงออกของหลินเฟยแปรเปลี่ยนไป ดวงตาคู่ล้ำลึกระเบิดแววหม่นหมองออกมาทันที ประกายแสงจิตสังหารฉายสะท้อนวูบวาบ เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เซียถงจ้องกระบี่ยาวในมือของอีกฝ่าย แสยะยิ้มมุมปากแสดงทีท่าเย้ยเยาะใส่อีกฝ่ายโดยไม่มีปิดบังใดๆ และทันใดนั้นเอง รัศมีแรงกดดันปริมาณมหาศาลก็ระเบิดคลั่งทะลักล้นออกจากร่างกายของนาง ชายผ้าแพรพรรณขาวสั่นกระพือทั้งที่ไม่มีลม
หากมันร้องขอ นางเองย่อมจัดให้!
สายตาคู่เย็นยะเยือกสองสายประสานงาท้าชน บริเวณรอบข้างระหว่างหลินเฟยกับเซียถงบังเกิดเกลียวคลื่นพายุโคจร กวาดล้างสรรพสิ่งโดยรอบจนปลิวกระเด็นกระดอน บรรยากาศอึมครึมถึงขีดสุดราวกับว่าสามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ฮ่าฮ่า นายน้อยหลินเองก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ? ช่างบังเอิญนัก!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาร่างสายสง่าแทรกขึ้นกลางสมรภูมิเดือดระหว่างหลินเฟยและเซียถง อีกฝ่ายหันไปยิ้มถามหลินเฟยประโยคหนึ่ง
“โอ้? นายท่านชิงเยวี่ย นานแล้วที่มิได้พบหน้า”
เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นที่ยืนแทรกกลางขัดจังหวะเป็นชิงเยวี่ย แววความเหี้ยมเกรียมทั้งมวลทั่วใบหน้าของหลินเฟยก็อันตรธานหายวับไปทันใด แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันเป็นมิตรแทน
“นายน้อยหลิน สตรีนางนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง มิทราบว่าเหตุใด นายน้อยหลินถึงต้องหันคมกระบี่ใส่นางด้วย?”
ชิงเยวี่ยเหลือบสายตามองกระบี่เล่มยาวในมือของหลินเฟย เอ่ยถามน้ำเสียงแฝงความนัย
“นายท่านชิงเยวี่ย ท่านมีลูกพี่ลูกน้องด้วยงั้นรึ?”
หลินเฟยเลิกคิ้วขึ้นทันทีด้วยความสงสัย ตนเองก็รู้สึกชิงเยวี่ยคนนี้มาก็นาน ตลอดที่ผ่านมาก็เห็นไปไหนมาไหนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีญาติฝักฝ่ายใด แต่วันดีคืนนี้ กลับมีลูกพี่ลูกน้องจากไหนมิทราบโผล่ออกมา แล้วแบบนี้จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร?
“นางเดินทางมาเยี่ยมเยือนข้าจากดินแดนอื่นไกล มาคราวนี้เห็นว่าจะมาขอโอสถจากข้าน่ะ”
ชิงเยวี่ยยิ้มตอบกลับไป สีหน้าน้ำเสียงดูสงบนิ่งราวกับว่าเป็นเรื่องจริง คล้อยหลังกล่าวจบ เขาก็ลอบหันไปกะพริบตาให้เซียถงที่อยู่ด้านหลังทีหนึ่ง
“โอ้? ถึงจะแบบนั้นก็ตามทีนายท่านชิงเยวี่ย ลูกพี่ลูกน้องของท่านนางนี้กลับรังแกและสร้างความอับอายแก่น้องชายของข้าในหอนางโลมเมื่อคืน แถมตอนนี้ยังลอบทำร้ายน้องชายข้าจนชักดิ้นชักงออยู่ตรงนี้ ท่านเองก็เห็นมิใช่รึ?”
หลินเฟยเหลือบสายตาเย็นชาใส่เซียถงไปหนึ่งที กล่าวกับชิงเยวี่ยนพร้อมเหลียวหลังหันไปชี้หลินเยวี่ยนที่นอนอยู่กับพื้น
สีหน้าของหลินเยวี่ยนในเวลานี้ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก ซีดเผือดเกือบจะเหมือนคนตายแล้ว แถมยังดูราวกับว่ากำลังเจ็บปวดแสนสาหัส แม้แต่จะปริปากร้องเพื่อระบายความทุกข์ทรมานก็ยังทำไม่ได้ นอนอัมพาตราวกับผัก สภาพในเวลานี้ช่างน่าสังเวชเกินมองจริงๆ
“นายน้อยหลิน ท่านเอาแต่พูดจาใส่ร้ายข้า หากจะบอกว่า ข้าลอบทำร้ายน้องชายของท่านจริงๆ เช่นนั้นเห็นด้วยตาข้างไหนรึ?”
เซียถงยิงคำถามจี้ใส่ทันที นางมั่นใจอย่างมากว่า เหตุการณ์เมื่อครู่หลินเฟยไม่ทันมองเห็นแน่นอน
“ก็มีแต่เจ้าคนเดียวในบริเวณนี้ที่มีปัญหากับน้องชายข้า หากมิใช่เจ้าแล้วจะเป็นผีสางที่ไหนล่ะ?”
หลินเฟยกดสายตามองเซียถงเขม็ง กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าสั่นกระตุกหลายที เขามั่นใจมากว่า ต้นเหตุที่น้องชายของเขามีสภาพเป็นแบบนี้ล้วนมาจากนาง แต่ตัวเขากลับประมาทจนไม่ทันได้สังเกตเสียดาย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจที่ไม่สามารถจับโจรใต้จมูกตนเองได้
“ใครจะไปรู้ล่ะว่า น้องชายของเจ้าเป็นโรคอะไรบ้าง เห็นสีหน้าซีดเซียวปานนี้ เมื่อคืนน่าจะเที่ยวหนักใช้แรงมากเกินไป โรคติดต่อมันอันตรายเกินจินตนาการ หากเป็นขึ้นมา สภาพก็น่าจะประมาณนี้แหละ”
เซียถงกล่าวตอบอย่างไม่แยแส ทำหน้าทำตาช่วยไม่ได้พลางยักไหล่เย้ยใส่หลินเฟยไปทีหนึ่ง
“นี่เจ้ากำลังพล่ามไร้สาระอันใด! ก็เห็นอยู่ว่าเจ้านั่นแหละที่แอบวางยาพิษใส่น้องชายข้า!”
สีหน้าหลินเฟยเริ่มน่ากลัวขึ้นทันตา เขาชักคมกระบี่ขึ้นจากฝักในมือ ชี้เข้าใส่ทางเซียถง
เซียถงยังคงยืนนิ่งสง่าผ่าเผย เชิดหน้าเผชิญกับคมกระบี่อีกฝ่ายอย่างภาคภูมิ
ชิงเยวี่ยเห็นดังนั้นก๋รีบยกมือหยุดหลินเฟย ยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“นางพูดความจริงหรือโกหก ให้ข้าช่วยพิสูจน์จะดีกว่า ข้าขอดูอาการของน้องชายท่านหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็เดินตรงออกไปประคองแผ่นหลังของหลิเยวี่ยนขึ้นจากพื้น พินิจจับจ้องอาการบนใบหน้าและตามร่างกายอย่างระมัดระวัง ยกสองนิ้วชี้กลางเข้าทาบบริเวณข้อมือของอีกฝ่าย เริ่มจับชีพจรฟังจังหวะทันที เสมือนกรอกเทพลังลมปราณเข้ายับยั้งพิษในร่างกายอีกฝ่ายผ่านการสัมผัส หลังจากกระแสลมปราณไหลเวียนเข้าตัวหลินเยวี่ยนกว่าสิบระลอก สีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูดีขึ้นอย่างมาก
เซียถงชำเลืองมองทักษะของชิงเยวี่ยก็แอบประหลาดใจไม่น้อย ชายคนนี้กำลังมุ่งจิตบังคับกระแสลมปราณของตน เข้าชำระพิษที่ฉาบเคลือบบนเข็มเงินของนางตามเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายของหลินเยวี่ยน วิธีรักษาเฉกเช่นนี้จำเป็นจะต้องมีพลังจิตวิญญาณที่แกร่งกล้าและสูงมาก เพราะหากเผลอพลาดไปแม้สักนิด เส้นลมปราณในร่างกายของผู้ป่วยอาจแตกระเบิดออกมาได้ ดังนั้นแล้ว ชิงเยวี่ยผู้นี้คืออัจฉริยะคนหนึ่ง!
หลังจากไล่ชำระพิษตามเส้นลมปราณของหลินเยวี่ยนจนเสร็จ ชิงเยวี่ยก็ยกมือขึ้นเปลี่ยนตำแหน่งไปทาบบริเวณหน้าท้อง กระแสลมปราณเสมือนน้ำอุ่นไหลบ่าเข้าบรรเทาความเจ็บปวด ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ ใช้มือเปิดปากของอีกฝ่ายบังคับให้อ้า จากนั้นก็หยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและป้อนเข้าปากไป สิ้นกระบวนการรักษาจึงค่อยหันมากล่าวกับหลินเฟยว่า
“หลิวเยวี่ยน่าจะป่วยเป็นโรคกะทันหัน อาการนี้ไม่ได้เกิดจากพิษ แค่ได้โอสถของข้าก็ดีขึ้นแล้ว”
หลังจากที่หลินเยวี่ยนกลืนโอสถเข้าท้องไปสักครู่ เขาก็สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกครั้ง และรีบชี้นิ้วไปทางเซียถง แหกปากคำรามลั่นโดยไม่มีรีรอว่า
“ท่านพี่! นางนี่แหละเป็นคนวางยาพิษใส่ข้า! ท่านห้ามปล่อยนางไปเป็นอันขาด!”
“นายท่านชิงเยวี่ย หญิงสาวนางนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านจริงๆ งั้นรึ?”
หลินเฟนเอ่ยถามเรื่องเซียถงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตัวเขาแทบไม่อยากจะเชื่อคำพูดของชิงเยวี่ยเลย สิ้นเสียงคำถาม ก็มุ่งสายตาหม่นประกายทมิฬมืดเข้าจับจ้องเซียถงเขม็ง เบื้องลึกในแววตาอัดแน่นไปด้วยพลังงานสีดำน่ากลัว หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าชิงเยวี่ย ปานนี้เขาคงจัดการหญิงสาวนางนี้ทิ้งไปแล้ว!