ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 241 ความช่วยเหลือของชิงเยวี่ย (1)
ตอนที่241 ความช่วยเหลือของชิงเยวี่ย (1)
ตอนที่241 ความช่วยเหลือของชิงเยวี่ย (1)
“เปล่า อันที่จริงแล้ว…นางเป็นคู่หมั้นของข้า!”
ชิงเยวี่ยนก้าวเข้ามาขวางเบื้องหน้าเซียถง เพื่อยืนบังสายตามุ่งร้ายของหลินเยวี่ยนและหลินเฟยที่จับจ้องเข้าใส่นาง แต่ทันทีที่ประโยคคำพูดนี้หลุดออกไป เขาก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาจากด้านหลังแทน
“เช่นนั้นแล้ว หากนายท่านชิงเยว่ต้องการให้พวกเราปล่อยนางไป ก็วานท่านช่วยหลอมกลั่นโอสถผลึกวารีให้สักเม็ด”
แววตาหลินเฟยทอแสงประกายขึ้นทันใด เอ่ยปากเสนอเงื่อนไขออกมา
ชิงเยวี่ยผู้นี้เป็นถึง ปราชญ์โอสถแห่งเมืองซีเยว่ ดังนั้นสถานะศักดิ์ของเขาจึงค่อนข้างสูงส่งอย่างมาก การจะร้องขอให้อีกฝ่ายหลอมกลั่นโอสถให้นับเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญนัก แต่ในกรณีนี้กลับแตกต่างออกไป หลินเฟยที่ต้องการโอสถผลึกวารีอยู่เป็นทุนเดิม พอได้ยินว่าหญิงสาวนางนี้เป็นคู่หมั้นคนสำคัญของอีกฝ่าย จึงหยิบใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองทันที ทั้งหมดก็เพื่อโอสถผลึกวารที่ตัวเขาปรารถนามาแสนนานแล้ว
โอสถผลึกวารีงั้นรึ?
เซียถงเบิกตาโตสว่างไสวขึ้นทันใด โอสถผลึกวารีมีเพียงนักหลอมโอสถระดับชั้นปราชญ์โอสถขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถหลอมกลั่นมันได้ สรรพคุณใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง แต่จะอย่างไร ด้วยระยะเวลาในการหลอมกลั่นที่นานมาก บวกกับกระบวนการอันซับซ้อนยุ่งยาก ทำให้กว่าจะหลอมกลั่นออกมาได้แต่ละเม็ดต้องใช้เวลานานถึงสามปีเลยทีเดียว! ไม่ต้องกล่าวถึงราคาขายที่สูงเสียดฟ้าเกินจินตนาการ บางตระกูลที่โชคดีได้มันมา ถึงขั้นเก็บรักษาโอสถผลึกวารีเอาไว้เป็นสมบัติประจำตระกูลก็ยังมี!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ชิงเยวี่ยคนนี้จะมีโอสถผลึกวารอยู่ในครอบครอง? หรือเขาเป็นนักหลอมโอสถกัน? แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขามิควรตอบตกลงเด็ดขาดมิว่าประการใด การจะหลอมกลั่นมันสักเม็ดไม่เพียงแต่จะยุ่งยากซับซ้อนเกินพรรณนา แต่ยังถือเป็นการผลาญเวลาชีวิตเล่นก็ไม่ผิด สามปีต่อหนึ่งเม็ด หากไม่มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ ใครกันจะเสียสติไปทำ? ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงชิงเยวี่ยตอบกลับดังลั่นว่า
“ตกลง!”
“ขอบพระคุณนายท่านชิงเยวี่ยเป็นอย่างยิ่ง! เช่นนั้นข้าจะไม่หาเรื่องนางอีก!”
หลินเฟยระบายยิ้มกว้าง สีหน้าแววตาหม่นประกายมืดทมิฬก่อนหน้าพลันหายวับไร้ร่องรอย เพราะสำหรับเรื่องโอสถผลึกวารี เขาเคยไปขอร้องกับชิงเยวี่ยหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ล้วนถูกปฏิเสธกลับมาตลอด แต่ใครจะไปคิดใครฝัน ว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะยอมตกปากรับคำ ทั้งหมดเป็นเพราะหญิงสาวตรงหน้าแท้ๆ!
ชิงเยวี่ยพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า
“เช่นนั้น นายน้อยหลินก็รอรับโอสถผลึกวารีจากข้าได้เลย”
“ท่านพี่! แล้วเรื่องของข้าล่ะ?!”
หลินเยวี่ยนเอ่ยถามสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง
“กลับ!”
หลินเฟยเหลียบสายตาส่งไปให้หลินเยวี่ยน พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงดื้อรั้นไม่ยอม เขาจึงคว้าแขนน้องชายลากกลับไปโดยตรง
หลังจากที่สองคนนั้นจากออกไป ชิงเยวี่ยนก็หันขวับมองหน้าเซียถง ชูมือขึ้นมาเผยให้เห็นเข็มเงินขนาดจิ๋วที่ก่อนหน้าเซียถงลอบยิงใส่หลินเยวี่ยน เขาลอบเก็บกลับมาระหว่างทำการรักษา ยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าคาดไม่ถึงเลยว่า คุณหนูเซียจะเป็นยอดฝีมือด้านการแพทย์! คนที่สร้างอะไรแบบนี้ขึ้นได้จะต้องมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง!”
เข็มเงินขนาดจิ๋วฉาบพิษเหล่านี้ล้วนแต่เป็นฝีมืองานประดิษฐ์ของเซียถงเองทั้งสิ้น ได้ยินชิงเยวี่ยชื่อตัวเองดังนั้น นางก็แสร้งปั้นสีหน้าสับสนงุนงง
“คุณหนูเซีย? นั่นใครกัน? เกรงว่าท่านจะจำผิดคนแล้ว แล้วเข็มเงินเล่มนี้ก็มิใช่ของข้า”
“งั้นรึ?”
ชิงเยวี่ยเลิกคิ้วมองเล็กน้อย ก่อนจะโยนเข็มเงินเล่มในมือทิ้งไป ยิ้มถามขึ้นอีกครั้งว่า
“เมื่อครู่ข้าพเจ้าช่วยเหลือคุณหนูไปครั้งหนึ่ง เช่นนั้นแล้วช่วยบอกชื่อจริงของเจ้าได้หรือไม่?”
“หาใช่ว่าเมื่อครู่ท่านฉวยโอกาสไปจากข้าหรอกรึ? เกรงว่าจะมีอะไรเข้าใจผิดแล้ว”
เซียถงยังรู้สึกเคืองไม่หายที่ชิงเยวี่ยบอกว่า นางเป็นคู่หมั้นของเขา ประโยคคำกล่าวนี้นางยังจำได้แม่น
ชิงเยวี่ยชะงักค้างไปสักครู่ จากนั้นค่อยนึกถึงประโยคคำกล่าวของตนเองก่อนหน้าได้ อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กล่าวกับเซียถงมิได้ว่า
“ข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจฉวยโอกาสของคุณหนู แต่หลินเฟยคนนี้ทั้งโหดเหี้ยมและทรงอิทธิพลอย่างมากในเมืองซีเยว่แห่งนี้ หากเมื่อครู่ข้าพเจ้าไม่กล่าวเช่นนั้นออกไป เกรงว่าอีกฝ่ายเองคงไม่ปล่อยคุณหนูไปโดยง่ายเช่นกัน”
“ข้าไม่ได้ขอให้ช่วย กลับเป็นเจ้าเองที่เข้ามายุ่งเอง ดังนั้นก็อย่าคิดว่า ตัวข้าจะจดจำความดีความชอบเหล่านี้เสีย”
กล่าวน้ำเสียงเย็นชาเป็นคำตอบ เสมือนทั่วร่างของนางในขณะนี้ฉาบเคลือบชั้นน้ำแข็งอยู่ก็มิปาน
น้ำเสียงก็ใช่ นิสัยก็เหมือน แถมยังให้ความสำคัญกับเรื่องหนี้บุญคุณกว่าสิ่งใด แววตาของชิงเยวี่ยที่จับจ้องเซียถงยิ่งเผยแสดงประกายความอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่า นางนี่แหละคือหญิงงามถล่มเมืองอย่างแท้จริง แต่เพราะเหตุใดกัน…เหล่าคนที่ร่วมเดินทางมากับนางด้วยถึงบอกว่า นางคือหญิงอัปลักษณ์ที่สุดแห่งจักรวรรดิตงหลี่กัน? และที่สำคัญไปกว่านั้น ไฉนนางถึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตน?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็กลอกตาฉายแววขี้เล่นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า
“ที่คุณหนูกล่าวก็มีเหตุผล กลับเป็นข้าที่ใจร้อนไปเสียเอง”
ทุกประโยคคำกล่าวของเขามักจะมาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนละมุนอบอุ่นอยู่เสมอ
เจือชิงเยวี่ยยอมรับผิดโดยง่ายเช่นนี้ เซียถงกลับรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ทุกครั้งที่นางคุยกับชายคนนี้และถึงตอนที่เริ่มเถียง อีกฝ่ายก็ไม่เคยแม้แต่จะตอบโต้เลยสักครั้ง แถมยังเอาแต่ยิ้มเช่นนี้อยู่ตลอด ท้ายที่สุดนี้นางก็ทำได้แต่มองค้อนย้อนใส่เขาอย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับทันที
กว่าที่ชิงเยวี่ยจะรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าเด็กหนุ่มผมยาวสีเงินที่ตามติดเซียถงมาตลอดได้หายตัวไปแล้ว เหม่อมองแผ่นหลังของหญิงสาวผู้แสนเย็นชาเดินจากออกไปไกลห่าง ร่องรอยความอยากรู้อยากเห็นที่ฉายสะท้อนบนดวงตาของเขายามนี้เริ่มเข้มข้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นางเป็นหญิงสาวนี่น่าสนใจจริงๆ
เลี้ยวซ้ายทีขาวทีผ่านช่วงถนนหลายหลากสาย เซียถงดึงผ้าคลุมใบหน้าปิดลงมา และเข้าไปแทรกรวมกับธารฝูงชนที่พลุกพล่าน กว่าจะกลับมาถึงโรงเตี้ยมที่พักอาศัยก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน
เดินตรงเข้ามายังร้านอาหารชั้นที่หนึ่งของโรงเตี้ยม บรรยากาศในเวลานี้อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างคึกคัก
บางคนกำลังยืนกระซิบกระซาบกันอยู่ที่มุมเงียบๆ ไม่เด่นนัก และทันทีที่เซียถงเดินเข้ามา กลิ่นอายเย็นยะเยือกของนางที่ชักนำผ่านสายลมเข้ามาด้วย ก็ได้ดึงดูดทุกความสนใจของบรรดาผู้คนที่อยู่ภายในนี้ทันที
ทุกสายตาจับจ้องไปทางเซียถง ในเวลาเดียวกัน บังเกิดประกายแสงสายตายิงสะท้อนสาดออกมาเป็นระยะ หญิงสาวในชุดแพรพรรณขาวย่างสามขุมตรงผ่านพวกเขาอย่างไม่แยแสสนใจ ปราศจากท่าทีประหม่าหรือหวั่นเกรงแม้สักนิด ยิ่งมีผ้าคลุมใบหน้าคอยปกปิดเพิ่มความลึกลับ ยิ่งทำให้นางดูน่าค้นหาเข้าไปใหญ่
“นางคนนี้เองก็เข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิตั้งแต่อายุยังน้อยเชียว เกรงว่าเป็นพวกอัจฉริยะซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์!”
มีบางคนเอ่ยปากชมเชยขึ้นมา
“ถูกต้องแล้ว! ถูกต้อง! หรือเป็นเพราะท่าทีอันเย็ชาของนางด้วยรึเปล่า? ข้าถึงรู้สึกว่า หญิงสาวนางนี้ไม่ธรรมดา!”
สุ้มเสียงจากใครบางคนเอ่ยดังกังวาน
“โฉมหน้าที่เก็บซ่อนภายใต้ผ้าคลุมจักต้องเป็นความงามถล่มเมืองไม่ผิดแน่!”
อีกคนกล่าวเสริม
ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้าจะมีความงดงามปานใดรออยู่กัน? หลายต่อหลายคนต่างจับจ้องไปทางเซียถง พลางคาดเดาภายในกันอย่างลับๆ ทว่าเซียถงกลับเพิกเฉยต่อวาจาคำกล่าวเหล่านี้โดยสิ้นเชิง เดินผ่านเข้าไป ยกเท้าขึ้นบันไดขึ้นชั้นบนโดยตรง
“เซียถง เมื่อคืนเจ้าไปไหนมา?”
ฉิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างบันไดเอ่ยถามเซียถงขึ้นประโยคหนึ่ง
เซียถงเหลือบหางตาชำเลืองมองอีกฝ่ายเล็กน้อย สิ่งที่เห็นมีแต่รอยยิ้มเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วทั้งใบหน้าของฉิงหยุน แต่พอเห็นเช่นนั้น นางกลับรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างการเดินทาง ฉิงหยุนคนนี้เกลียดชังนางยิ่งกว่าอะไร แล้วไฉนตอนนี้กลับยิ้มให้นางล่ะ?
ดึงสติหันกลับมา เซียถงเดินขึ้นบันไดต่อไปโดยไม่ปริปากกล่าวอะไรสักคำ
“น่าเกลียดจะตายชัก อยากจะอ้วก”
หลีเหว่ยที่นั่งอยู่ข้างฉิงหยุน ถอนหายใจพลางสบถออกมาคำหนึ่ง
แม้ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจลดระดับเสียงลงแล้วก็ตาม แต่คำพูดเหล่านี้ก็ยังดังเล็ดลอดผ่านหูของเซียถง แต่นางหาได้สนใจอะไรไม่เลย ก้าวเท้าขึ้นบันไดเพื่อกลับห้องพักต่อไป