ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 245 คำเชิญของไป๋หลี่หาน (1)
ตอนที่245 คำเชิญของไป๋หลี่หาน (1)
ตอนที่245 คำเชิญของไป๋หลี่หาน (1)
กลุ่มคนทั้งสองยืนเผชิญหน้าระยะแทบเผาขน ฝั่งซ้ายคือพวกเซียถง ส่วนฝั่งขวาคือพวกเป่ยฮั่น รัศมีแรงกดดันอันแกร่งกร้าวหลายหลากระลอกเข้าปกคลุมบรรดาผู้รับชมรอบบริเวณในทันที คลื่นแสงลมปราณดั่งคลื่นยักษ์จากสองฝากฝังเข้าถาโถมปะทะชนกัน แต่ก่อนทีทุกอย่างจะแย่ลงไปมากกว่านี้ ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งทะยานเข้าขวางระหว่างทั้งสองฝ่าย
ชิงเยวี่ยยืนตระหง่านเข้าหยุด เปล่งเสียงดังกล่าวขึ้นว่า
“หากทุกท่านต้องการสู้นัก เช่นนั้นโปรดอดใจรอจนกว่าจะถึงศึกประลองสี่จักรวรรดิ ทว่ายามนี้ผู้ใดกล้าลงมือลงไม้ ณ สถานที่แห่งนี้ จะถือเป็นการไม่ให้เกียรติจักรวรรดิซีฉินของข้าพเจ้า และยังเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีพวกเราชาวซีฉินขั้นร้ายแรง!”
แม้ว่าระดับเสียงของเขาจะไม่ดังเท่าไหร่นัก ทว่าเนื้อในกลับเผยแสดงถึงความหนักแน่นเด็ดเดี่ยวยิ่งแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มคนจากจักรวรรดิเป่ยฮั่นและจักรวรรดิตงหลี่ต่างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขจัดคลื่นแรงกดดันทั้งหมดบนร่างกายเก็บกลับไป พักอาศัยอยู่ที่นี่หลายวัน พวกเขาเริ่มรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของชิงเยวี่ยแล้วว่าเป็นใคร บุคคลที่มีสถานะสูงส่งปานนี้ของซีฉินออกโรงเข้าห้ามศึกเอง แล้วมีใครบ้างจะไม่กล้าเกรงใจ
ในไม่ช้า ทั้งสองกลุ่มต่างก็ถอดถอนกำลังออกไป เหลือแค่เพียงเซียถงกับซื่อหู่ที่ยังยืนจ้องหน้าไม่เสื่อมคลาย
“นายท่านชิง นังอัปลักษณ์บัดซบนี่ทำให้น้องชายข้าต้องเสียโฉม ในส่วนนี้จะรับผิดชอบอย่างไร?”
ชิงเยวี่ยเหลือบสายตามองซื่อเฉาที่ซื่อหู่ผู้พี่กำลังประคองร่างอยู่ ใบหน้าของชายคนนี้เสียโฉมหนัก ยับเยินมากจริงๆ เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าช่วยรักษาบาดแผลบนใบหน้าน้องชายท่านได้ ส่วนเรื่องที่คุณหนูเซียเคลื่อนไหวโจมตีเมื่อครู่ ทั้งหมดกลับเป็นเพราะคำพูดหยาบคายของพวกท่านกันทั้งนั้น ในส่วนนี้จะโทษใครก็ไม่ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น สองพี่น้องก็เถียงไม่ออกจริงๆ แต่ยังดีที่ชิงเยวี่ยนรับปากว่าจะรักษาใบหน้าของซื่อเฉาให้ ดังนั้นซื่อหู่จึงเก็บกระบี่เข้าฝัก เหลือบหางตาจับจ้องเซียถงอยู่สักครู่ และจากออกไปพร้อมกับน้องชายของตน
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในเวลานี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว ผู้คนอื่นๆ ในร้านอาหารก็หาได้สนใจอะไรอีกไม่ และหันหน้าเข้าสุมหัวพูดกันได้อย่างสนุกสนานดังเดิม
เซียถงเหลือบสายตามองไปทางหลีเหว่ย สายตาของนางในเวลานี้เปรียบเสมือนคมดาบที่ต้องการจะฉีกสะบั้นร่างของอีกฝ่ายเป็นสองซีก หลีเหว่ยเองก็ถึงกับใจหายวาบเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมา มันรีบยกเท้าวิ่งหลบอยู่หลังฉิงหยุน ชั่วขณะอึดใจเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงคิดจะวิ่งหนีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ในท้ายที่สุดนี้ ผ้าคลุมหน้าของเซียถงถูกเปิดออก จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ทุกคนต่างหัวเราะเยาะเย้ยนาง ถึงแม้หลีเหว่ยจะบรรลุแผนการตามใจหวัง ทว่าความโหดเหี้ยมของหญิงสาวนางนี้ที่กระทำต่อซื่อเฉาเมื่อครู่ มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก รัศมีแรงกดดันอันเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของนางในเวลานี้ ได้ทำให้เขาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เฉพาะเวลานี้ หลีเหว่ยพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุไฉนนางถึงคว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมลมปราณในตงหลี่ครานั้นได้
ความคิดชั่วอึดใจเคลื่อนขยับ หลีเหว่ยรีบยกเท้าวิ่งหนีไปยังประตูโรงเตี้ยมสุดชีวิต ทว่านั่นกลับสายเกินไปอยู่ดี เมื่อได้สติฟื้นตัวอีกครา ก็มีคมกระบี่ฉาบเย็นเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอหอยของเขาเสียแล้ว เห็นเซียถงยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เสมือนว่าได้เห็นยมทูตแห่งความตายที่กำลังจะรับชีวิตของเขาไป
“ซะ-เซีย…เซียถง…เรา…พวกเรามาจากตงหลี่เหมือนกันนะ”
หลีเหว่ยพยายามข่มสติมิให้ขวัญกระเจิง ยิ้มกล่าวตะกุกตะกัก วาจาติดอ่างแทบไม่เป็นภาษา กระทั่งตอนที่เผชิญหน้ากับซื่อหู่และซื่อเฉา เซียถงยังสามารถเอาชนะได้โดยง่าย แล้วตัวเขาจะไปเหลืออะไร?
อย่างน้อยเซียถงอาจยังมีเมตตา เห็นแก่ที่พวกเขาเป็นคนบ้านเดียวกัน…
ริมฝีปากของเขาถอดสีซีดขาว สั่นพับมิอาจควบคุม สิ่งเดียวที่หลีเหว่ยเห็นตรงหน้าคือ รอยยิ้มเลือดเย็นแสยะกว้างบนมุมปากของเซียถง หนึ่งคมกระบี่ตวัดฟันอย่างไร้ปรานี น้ำพุเลือดสายหนึ่งพุ่งกระฉูดออกจากคอหอยของหลีเหว่ย
“ขะ-ขะ-ขอร้อง… อย่าฆ่า…อย่าฆ่ากันเลย…”
หลีเหว่ยรีบยกมือปิดบริเวณบาดแผลบนคอหอยเพื่อมห้ามเลือดมิให้ไหลทะลักออกมา กล่าวขอร้องอ้อนวอนนางทั้งน้ำตา ส่วนคนอื่นๆ ที่เห็นดังนั้นก็รีบชักอาวุธเข้าปราบปรามโดยไว พุ่งเข้าโจมตีใส่เซียถงด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า
คมกกระบี่ยาวเล่มหนึ่งพุ่งทะลวงเข้าใส่ ทว่าเพียงชั่วขณะอึดใจ พลันต้องแข็งค้างเติ่งกลางอากาศ เพราะร่างของเซียถงหายวับไปจากตำแหน่งเดิมที่ยืนอยู่แล้ว อีกฝ่ายถูกนางดักทางอ้อมหลัง ทั้งยังหักแขนข้างที่ถือกระบี่อีกฝ่ายติดแนบแปะแผ่นหลัง เสียงร้องครวญตะโกนลั่นว่า
“คุณหนูเซีย โปรดเมตตา!”
เซียถงยกดท้าถีบร่างอีกฝ่ายส่งกระเด็นล้มกองกับพื้น ย่างสามขุมตรงเข้ามาหาหลีเหว่ยที่กำลังคลานเข่าหนีอย่างลำบากลำบน วาดรัศมีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าง้างขึ้นเหนือหัว เล็งไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายที่อยู่เบื้องล่าง และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาคำหนึ่งว่า
“จงตายอย่างทรมานเสีย!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ เซียถงลงดาบฟันกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือผ่าเข้ากลางหลังของหลีเหว่ยโดยตรง
“คุณหนูเซีย อย่า!!”
แต่ก่อนที่จะลุถึง คมกระบี่กลับหยุดชะงักห่างเพียงครึ่งนิ้ว เหลือบสายตามองไปก็พบว่าเป็นชายคนก่อนหน้าที่เข้ามาโจมตีใส่ นั่นคือหนึ่งในองครักษ์ที่ติดตามมาจากจักรวรรดิตงหลี่มา
“คุณหนูเซีย โปรดพินิจไตร่ตรอง หากท่านสังหารเขาแล้ว เกรงว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้อาจกระทบไปถึงโอกาสแพ้ชนะในศึกงานประลองสี่จักรวรรดิได้ ลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านี้นับว่าเพียงพอแล้ว!”
องครักษ์คนนั้นรีบเอ่ยปากกล่าวโน้มน้าวเซียถงมิให้ลงมือต่อโดยไว เพราะสำหรับภูมิหลังของหลีเหว่ยคนนี้คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอันใดให้มากความ สามารถซื้อสิทธิ์เข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิได้ถึงสองครั้งซ้อน คิดว่าครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มคนนี้จะต้องมีอำนาจอิทธิพลปานใด?
“มีข้าแค่คนเดียวในงานประลองก็เกินพอแล้ว!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ นางก็วาดคมกระบี่ฟันฟาดเข้าใส่กลางหลังหลีเหว่ยทันที!
หญิงสาวนางนี้มักกระทำการโหดเหี้ยมเลือดเย็นกับทุกคนที่ยุ่มย่ามก่อปัญหาแก่ตน ก่อนหน้าก็ซื่อเฉา ตอนนี้ก็หลีเหว่ย ภาพฉากอันสยดสยองไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ทำเอาสีหน้าการแสดงออกของคนรอบข้างเปลี่ยนไปมากอย่างมาก ทุกสายตาที่จับจ้องมาทางเซียถงในเวลานี้เต็มไปด้วยความกลัวเกรงทั้งสิ้น
เมื่อเห็นว่ากระบี่ทัณฑ์ฟ้ากำลังเข้าฟันกลางแผ่นหลังของหลีเหว่ย ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งทะยานพุ่งเข้ามาจากประตู คมกระบี่สีเงินประกายแวววับเข้าสกัดกระบี่ทัณฑ์ฟ้าได้ทันท่วงที
“เซียถง นี่เจ้ากำลังทำบ้าอันใด?”
ภายใต้หน้ากากสีดำขลับ นัยน์ตาของไป๋หลี่หานสั่นไสวเล็กน้อย เผยร่องรอยความโกรธปรากฏออกมา
ผู้เข้าร่วมงานประลองจากจักรวรรดิตงหลี่กำลังเข่นฆ่ากันเองหวังเอากันให้ตายเช่นนี้ ใครได้ยินไม่ต่างต้องหัวเราะท้องแข็งกันเลยหรอกรึ? โดยเฉพาะกับพวกคู่แข่งจากจักรวรรดิอื่นๆ? แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเซียถงที่ไร้ซึ่งการปกปิดใดๆ ไป๋หลี่หานเองก็ถึงกับตะลึง แล้วผ้าคลุมหน้าของนางหายไปไหน?
เซียถงชำเลืองมองไป๋หลี่หานอยู่ทีหนึ่ง สูดหายใจเย็นชืดเฮือกใหญ่ ถอดถอนกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือกลับขึ้นมา กล่าวว่า
“แค่สั่งสอนสุนัขจร”
จากนั้นก็เคลื่อนสายตามองไปทางหลีเหว่ยที่ตัวสั่นกลัวอยู่บนพื้น กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบขึ้นว่า
“คราวหน้าที่เจอกัน ก็อย่าได้เงยหน้าสุนัขของเจ้ามองข้า”
กล่าวจบเซียถงก็เก็บกระบี่ยาวในมือลง เดินตรงขึ้นชั้นบนกลับห้องพักโดยทันทีท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน
ไป๋หลี่หานชำเลืองมองแผ่นหลังของนาง ทอดสายตามองอยู่ชั่วครู่ มุมปากพลันกระตุกยิ้มบางขึ้นเล็กน้อย ดูท่าแล้ว สาวน้อยนางนี้นับว่าจะยิ่งใจคอเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“องค์ชายไป๋หลี่ คุณหนูเซียมิได้เป็นอย่างที่ท่านเห็นซะทีเดียว ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเจตนาร้าย ประโคมข่าวเท็จว่า หากผู้ใดสามารถถอดผ้าคลุมหน้าของนางได้ ชายคนนั้นจะได้แต่งงานกับนาง และนี่คือชนวนเหตุของเรื่องทั้งหมด”
ชิงเยวี่ยยืนคำนับให้ไป๋หลี่หานทีหนึ่ง และเล่ากล่าวความจริงทั้งหมดให้แก่อีกฝ่ายได้รับรู้
เว้นช่องไฟหยุดไปครู่หนึ่ง เขากล่าวขึ้นอีกครั้งว่า
“องค์ชายไป๋หลี่คงไม่ชอบกินร้องเต้นรำในวังหลวงเพิ่มเติมแล้วกระมัง? เดินทางกลับมาที่นี่ก่อนกำหนดคงมีเหตุผลสำคัญบางอย่าง?”
ทว่าไป๋หลี่หานกลับไม่ได้สนใจเขาเลย ยามนี้เหลียวหลังกลับไปมองหลีเหว่ยที่กำลังได้รับการปฐมพยาบาลจากบรรดาองครักษ์ ดวงตาสีดำขลับยิ่งหม่นประกายมืดทมิฬลงทันควัน กลับเป็นเจ้าหนุ่มคนนี้นี่เอง ที่ปล่อยข่าวลือไร้สาระเช่นนี้ออกมา และหากเขาตรงเข้ามาห้ามปรามไม่ทัน เกรงว่า เจ้าหนุ่มนี่คงกลายเป็นผีภายใต้คมกระบี่ของเซียถงไปแล้ว และเหตุการณ์ต่อจากนี้จะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่
คล้อยหลังไม่นาน ไป๋หลี่หานก็เร่งระงับความโกรธภายในใจลง เดินเข้ามากล่าวกับองครักษ์คนนั้นที่ช่วยปฐมพยาบาลหลีเหว่ยอยู่ว่า
“พาเขาขึ้นไปก่อน อย่าปล่อยให้เป็นเป้าสายตาด้านล่างนี่ แค่นี้ยังน่าอับอายไม่พอกระมัง”
น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบเด็ดขาดนัก เสมือนผืนพิภพแห่งนี้ถูกแช่งแข็งในเสี้ยวพริบตา หลีเหว่ยที่เห็นไป๋หลี่หานมองมาทางตนแบบนี้ ก็หวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง ถูกองครักษ์คนนั้นอุ้มขึ้นชั้นบนไปพร้อมใบหน้าซีดเซียว