ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 251 เต่าน้อยบนแขน (1)
ตอนที่251 เต่าน้อยบนแขน (1)
ตอนที่251 เต่าน้อยบนแขน (1)
ไป๋หลี่หานทอดสายตามองทะเลสาบเบื้องล่าง ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนโหวกเหวก ก็อดระบายยิ้มอ่อนมิได้ นับเป็นโอกาสยากนักที่จะได้เห็นเวลาที่นางสูญเสียความเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ไป แถมยังดูติดกังวลเล็กน้อยอีก เช่นนั้น เขาจึงเปลี่ยนท่าทางเป็นกอดอก เอนหลังพักพิงราวบันไดของตัวเรือ ทำตัวเก๊กหล่อเล็กน้อย และกล่าวขึ้นอย่างสบายๆ ขึ้นว่า
“ไม่คิดจะขึ้นมาจูบกันต่อแล้วรึ? ข้ากำลังเครื่องติดแล้วเชียว”
ทันทีที่สิ้นเสียงเอ่ยกล่าว พลันปรากฏคลื่นกระแทกสีครามฟ้าซัดเข้าใส่จากทางทะเลสาบ เงาร่างของไป๋หลี่หานแปรสภาพเป็นประกายสายหนึ่งเพื่อเบี่ยงหลบ ปล่อยให้คลื่นกระแทกสีครามฟ้าระเบิดเรือเสี้ยวหนึ่งเป็นรูโบ๋ กดสายตามองร่างของหญิงสาวที่ลอยคออยู่เบื้องล่างทะเลสาบ ยิ้มกล่าวไปว่า
“รุนแรงเสียเหลือเกินนะเจ้า แต่ยังไม่เท่าที่เจ้ารุกเข้าจูบข้าเมื่อครู่”
ได้ยินดังนั้น ภาพฉากเมื่อครู่ที่นางรุกเข้าจูบไป๋หลี่หานอย่างดูดดื่มพลันปรากฏขึ้นในหัวทันที เรือนร่างร้อนระอุใกล้มอดยามแช่น้ำเย็นเริ่มเห่อร้อนขึ้นอีกครั้ง จู่ๆ นางก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาโดยมิอาจควบคุม เซียถงเร่งยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอยู่หลายที หวังจะอาศัยความเจ็บปวดเข้าถ่วงดุล จากนั้นก็รีบดำน้ำลงไปใต้ก้นบึ้งทะเลสาบทันทีอย่างเงียบงัน
สายน้ำเย็นยะเยือกไหลทะลักเข้ามาปาก เรือนร่างที่ร้อนรุ่มเริ่มเย็นลง เลือดที่ไหลเวียนทั่วร่างมิได้สูบฉีดอย่างบ้าคลั่งเสมือนก่อนหน้าอีกต่อไป เซียถงทำสมาธิอยู่ใต้น้ำ จิตใจในเวลานี้ค่อนข้างสงบนิ่งลงมาก ถึงแบบนั้นก็ยังไม่กล้าลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ เนื่องจากกลัวว่า อาการร้อนรุ่มจะหวนกลับมาอีกครา
เมื่อนึกถึงกลิ่นหอมหวานของสุราอำพันทิพย์ เซียถงก็ทำได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้น ต้องโทษตัวนางเองที่ประมาทเกินไป คิดเพียงว่า ต้นเหตุที่สุราอำพันทิพย์มีรสชาติหวานหอม เพราะการบ่มมาเป็นเวลานานเท่านั้น คาดไม่ถึงโดยแท้…ว่ามันจะมียาปลุกอารมณ์ผสมอยู่ และที่สำคัญนางก็กระดกไปตั้งหลายจอก! บัดซบ!
จะอย่างไรก็ดี น้อยคนนักที่จะรู้ว่ากลิ่นของสุราอำพันทิพย์กับกลิ่นของยาปลุกอารมณ์นั่นใกล้เคียงกันมาก และเพื่อลบความแตกต่างของกลิ่นเพียงเล็กน้อยนี้ องค์หญิงจึงนำเครื่องหอมมาตั้งไว้ทั่วทั้งห้องโดยสารภายใน หวังกลบกลิ่นเหล่านี้ทิ้งไปเสีย ประการแรกเลย เซียถงนึกไม่ถึงจริงๆ ว่า องค์หญิงแห่งซีฉินจะรู้เรื่องนี้ และประการที่สอง นางคาดไม่ถึงเลยว่า องค์หญิงแห่งซีฉินจะเตรียมการทุกอย่างได้ละเอียดปานนี้ แต่…อีกฝ่ายเองก็ดื่มยาพิษที่เซียถงลอบวางไปเช่นกัน และอีกฝ่ายจะสูญเสียสติสัมปชัญญะทางด้านการยับยั้งชั่งใจเป็นเวลาสามวันเต็ม นี่ถือเป็นการแก้แค้นคืนไปในตัวเสียแล้วกัน
ไป๋หลี่หานตื่นตระหนักเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ ก็เห็นเซียถงจมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวขึ้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว ยิ่งผ่านไปนานเข้า ตัวเขาก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นทุกที จนท้ายที่สุด ก็อดยืนดูอยู่เฉยๆ มิได้จึงกระโดดลงสู่ทะเลสาบเบื้องล่างทันที พยายามดำดิ่งว่ายไปยังทิศทางที่เซียถงหายตัวไป
คล้อยหลังดำไปได้สักระยะ เขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด เมื่อเห็นร่างของเซียถงจมน้ำ ลอยเคว้งไร้ทิศทางอยู่ใต้ทะเลสาบโดยที่เจ้าตัวปราศจากปฏิกิริยาใดๆ จึงรีบตีเท้าเร่งว่ายไปหานางอย่างรวดเร็ว
สัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำผันผวน เซียถงหรี่ตาขึ้นเล็กน้อยมองเล็กน้อย ก็พบเข้ากับไป๋หลี่หานที่กำลังว่ายมาทางนี้ ชั่วแวบแรก ภาพฉากขณะที่จูบกันพลันโฉบแล่นขึ้นมาในหัว ใจดวงนี้ของนางพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันใด แต่แล้วอีกหนึ่งข้อสงสัยก็ปรากฏขึ้นให้ชวนคิด ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า นางโดนยาปลุกอารมณ์เล่นงาน แล้วการที่อีกฝ่ายยังจะโดดน้ำตามลงมาแบบนี้ หรือเป็นไปได้ไหมว่า…หมอนั่นคิดจะฉวยโอกาสทำมิดีมิร้ายกับนาง?
ถึงไป๋หลี่หานจะปฏิบัติตัวกับองค์หญิงแห่งซีฉินดังสุภาพบุรุษ ไม่คิดฉกฉวยโอกาส แต่หากหมอนั่นกล้าที่จะเรื่องต่ำทรามเช่นนี้กับนางในตอนนี้ ก็เตรียมตัวเจอดีได้เลย! ไม่นานเกินรอ ไป๋หลี่หานก็ว่ายมาอยู่ข้างกายนางแล้ว เซียถงจึงแสร้งทำเป็นหลับตาสลบหมดสติอยู่ในน้ำ
พอไป๋หลี่หานว่ายมาถึงตัวเซียถง แลเห็นว่าเปลือกตาทั้งสองข้างของนางปิดสนิท ไม่มีปฏิริยาโต้ตอบใดๆ จึงยิ่งฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ว่า นางอาจขาดอากาศหายใจนานเกินไปจนหมดสติ ชั่วความคิดแรก เขารีบดึงแขนอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ พยายามตะเกียกตะกายเข้าฝั่งโดยเร็วที่สุด
ระหว่างตะเกียกตะกายขึ้นบนอยู่นั้นเอง เข็มเงินขนาดเล็กจิ๋วสั้นก็ค่อยๆ เลื่อนออกมาจากใต้แขนเสื้อที่เร้นซ่อนของเซียถง ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพาขึ้นเหนือน้ำ นางก็ยังแสร้งทำเปนสลบต่อไป
ในที่สุดไป๋หลี่หานก็พาเซียถงขึ้นจากน้ำได้โดยสวัสดิภาพ ขณะกำลังจะเดินขึ้นฝั่งพ้นทะเลสาบ เซียถงก็ลืมตาตื่นขึ้นอย่างเงียบงัน และใช้เข็มเงินเล่มจิ๋วเสียบเข้าบริเวณเอวของไป๋หลี่หานทันที
“เจ้า…”
ไป๋หลี่หานยังไม่ทันได้กล่าวจบ พลันบังเกิดอาการวินเวียนศีรษะขนานหนัก ก่อนที่สุดท้ายจะสลบหมอดซบศีรษะอยู่บนไหล่ของเซียถงไป ร่างกายสูงใหญ่ของเขากลายเป็นหนักอึ้งในพริบตา เซียถงรีบคว้าร่างของอีกฝ่ายลากขึ้นฝั่งไปโดยไว
เมื่อมาถึงบนฝั่งก็ปล่อยร่างของไป๋หลี่หานที่นอนไร้สติอยู่แบบนั้น พลางระดมความคิดกับตัวเองว่า จะหาทางแก้แค้นเจ้าหมอนี่อย่างไรดี? ทว่าทันใดนั้น เซียถงก็จับสังเกตเห็นว่าพุ่มหญ้าโดยรอบสั่นไสว คล้ายว่ากำลังมีใครเดินเข้ามาใกล้ เช่นนั้นจึงหันศีรษะขวับ ตะโกนลั่นว่า
“ใคร! ออกมา!”
เงาร่างของโม่ซวนค่อยๆ ปรากฏขึ้นชัดเจนประจักษ์ต่อสายตาจากป่าเคียงข้าง โค้งคำนับให้เซียถงไปทีหนึ่งและกล่าวว่า
“ขอบพระคุณคุณหนูเซีย ที่ช่วยชีวิตนายท่านของเรา!”
โม่ซวนเฝ้าจับตาดูไป๋หลี่หานตั้งแต่อยู่บนเรือนอย่างลับๆ สักครู่ใหญ่แล้ว ส่วนภาพฉากเมื่อครู่ที่เซียถงเอาเข็มเงินมาปักใส่เอวนายท่านของเขาก็เห็นชัดเจนทุกท่วงท่าเช่นกัน ถึงไม่รู้ว่า เซียถงจะทำเช่นนั้นไปทำไม แต่ก็พอคาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างที่แล้วมา หลังจากโค้งคำนับให้เสร็จ โม่ซวนก็ย่างเท้าตรงเข้ามาหาอย่างแช่มช้า
เซียถงเร่งถอยหลังออกไป พร้อมลากร่างของไป๋หลี่หานถอยมาด้วยเช่นกัน นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“หยุด! หากต้องการช่วยชีวิตนายท่านของเจ้า เช่นนั้นก็จงนำแท่นหมึกกับพู่กันมา”
“คุณหนูเซียจะเอาพู่กันกับแท่นหมึกไปทำอะไรงั้นรึ?”
โม่ซวนเอ่ยถาม ปั้นสีหน้าฉงนสงสัย
เซียถงชี้ไปที่ร่างของไป๋หลี่หานที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น และเปล่งน้ำเสียงเย็นชาข่มขู่ไปว่า
“หากข้าไม่ได้แท่นหมึกกับพู่กันมาภายในเวลาครึ่งชั่วยาม ข้าจะเตะก้นเจ้ากับนายท่านของเจ้าลงทะเลสาบไปซะ!”
โม่ซวนปั้นหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชำเลืองสายตาลอบสังเกตเห็นว่า ไป๋หลี่หานแค่หมดสติไปเฉยๆ เท่านั้น แถมจังหวะของลมหายใจยังคงเสถียรเป็นปกติดี จึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหลายส่วน เขาพยักหน้าให้เซียถงทีหนึ่งและหันหลังเดินจากออกไป
เซียถงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าไป๋หลี่หานที่กำลังนอนหมดสติ จับจ้องไปยังหน้ากากสีดำขลับที่ปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเอาไว้ ทันใดนั้นพลันบังเกิดความสงสัยขึ้นอย่างอดมิได้ ภายใต้หน้ากากอันนี้…เขาจะมีใบหน้าเป็นอย่างไร? จะอัปลักษณ์น่าเกลียดอย่างที่คนอื่นเขาลื่อกันจริงๆ งั้นรึ?
นางค่อยๆ เอื้อมมือไปทางหน้ากาก ขณะที่กำลังจะถอดมันออกมา ก็พลันหยุดชะงักไปซะดื้อๆ จะอย่างไร ชายคนนี้ก็ช่วยเหลือชีวิตนางมาแล้วก็หลายครั้ง จะแอบถอดหน้ากากอีกฝ่ายออกมาโดยพลการย่อมมิใช่เรื่องดีแน่นอน การที่อีกฝ่ายต้องสวมหน้ากากเอาไว้แทบตลอดเวลา แสดงว่าต้องมีเหตุจำเป็นที่ต้องปกปิด? นางมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า ไม่ชอบคนอื่นล้ำเส้นส่วนตัวของตนเอง และการจะแอบถอดหน้ากากอีกฝ่ายออกมาดู ก็หาใช่ว่าเป็นการล้ำเส้นคนอื่นเช่นกันหรอกรึ?
พินิจไตร่ตรองดูแล้ว นางจึงถอยกลับออกมา ไม่ว่าไป๋หลี่หานคนนี้จะมีโฉมหน้าเป็นอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว ดังนั้นยังมีเหตุจำเป็นอันใดที่นางต้องทำเช่นนี้? หากภายใต้หน้ากากนี้มันเต็มไปด้วยความลับที่อีกฝ่ายต้องการจะเก็บซ่อนไปชั่วชีวิต ดีไม่ดีตัวนางอาจจะถูกอีกฝ่ายตามล่าก็เป็นไปได้ เช่นนั้นแล้ว อย่าเที่ยวหาปัญหาใส่ตัวเองเป็นการดีที่สุด
เซียถงนั่งพักผ่อนอยู่ข้างไป๋หลี่หาน พลางทอดสายตาเชยชมทิวทัศน์ทะเลสาบสีใสสะอาด และมิทันทราบว่า ตั้งแต่เมื่อใด ที่น่านฟ้าสูงแปรเปลี่ยนเป็นพลบค่ำ บรรยากาศยามดึกช่างเงียบสงบและงดงามยิ่งแล้ว สุดเส้นสายตาจากระยะไกล จะสังเกตเห็นได้ว่า เรือลำหรูขององค์หญิงแห่งซีฉินยังคงสว่างไสว
เมื่อนึกถึงองค์หญิงผู้ศรัทธาในความรักนางนี้ เซียถงก็อดถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความกังวลมิได้ บางทีความรักที่มากเกินไปกลับเป็นสิ่งที่ดูงี่เง่าและน่ารำคาญไปโดยปริยาย จะว่าไปแล้วก็รู้สึกเห็นใจไป๋หลี่หานไม่น้อยเลยเช่นกัน ที่ชีวิตต้องพัวพันอยู่กับองค์หญิงผู้คลั่งรักนางนี้
หลังจากนั้นไม่นานนัก โม่ซวนก็เดินทางกลับเข้ามา พร้อมกับพู่กันและแท่นหมึกในมือส่งให้แก่เซียถง
โดยไม่รีรอใดๆ เซียถงนำพู่กันจุ่มแท่นหมึกบางๆ พลางถกแขนเสื้อของไป๋หลี่หานขึ้นและเริ่มบรรจงวาดอะไรบางอย่างลงบนนั้นทันที