ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 257 ไยเจ้าถึงดีกับข้า (1)
ตอนที่257 ไยเจ้าถึงดีกับข้า? (1)
ตอนที่257 ไยเจ้าถึงดีกับข้า? (1)
“เซียถง ปกติเจ้าค้างแรมอยู่ในป่าบ่อยหรือไม่?”
ไป๋หลี่หานเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง ขณะที่กำลังนอนแผ่อยู่บนกิ่งไม้ หลังจากเฝ้าสังเกตนางมาสักพัก เขากลับรู้สึกแปลกใจมิใช่น้อยเลย ในฐานะที่เป็นถึงบุตรสาวคนโตแห่งจวนเสนาบดีตระกูลเซี่ย ก็ควรกินอยู่อาศัยในแบบคุณหนูทั่วไป มีอะไรสาวรับใช้ก็คอยจัดการดูแลให้หมด แต่เซียถงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นางกลับมีทักษะการเอาชีวิตรอดในป่าที่สูงมาก สูงจนขนาดที่ว่า ไป๋หลี่หานยังรู้สึกสนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที
“ไม่บ่อยนัก แค่พอมีทักษะติดตัวอยู่บ้าง ในชีวิตข้า แค่มีอาหาร เสื้อผ้า กับที่ซุกหัวนอน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
เซียถงกล่าวตอบไปคำหนึ่ง พร้อมพลิกเนื้อกระต่ายย่างเสียบไม้ในมือ
ไป๋หลี่หานอมยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงของนางท่อนประโยคสุดท้ายคล้ายว่าแอบแซะถึงเขา จวบจนไปยังบรรดาขุนนางราชวงศ์ชั้นสูงทั้งหลาย ทว่าเขากลับไม่รู้สึกโกรธเคืองใดๆ ในทางตรงข้าม ยิ่งเห็นทีท่าของเซียถงเป็นเช่นนี้ เขายิ่งรู้สึกสนใจในตัวนางมากขึ้นไปอีก
ณ เวลานี้ จันทร์เจ้าเริ่มโผล่ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าแช่มช้า แสงจันทร์ประดุจธารวารีพิสุทธิ์ใส ส่องไสวทะลุกิ่งก้านใบพฤกษาในป่าแห่งนี้ บรรดาสมุนไพรนานาพันธุ์ทั้งหลายในหุบเขาซีเยว่ ตอบรับแสงจันทร์ที่สาดฉาย เปล่งประกายสว่างระยิบระยับตลอดทั่วบริเวณ ช่างเป็นฉากทิวทัศน์ที่งดงามเกินพรรณนา
เนื้อกระต่ายป่าย่างเกรียมบนกองไฟสีน้ำตาลติดไหม้เล็กน้อยส่งกลิ่นหอมฉุย มันเนื้อที่สอดแทรกถูกความร้อนหล่อหลอมจนมันวาวหยดติ๋ง เซียถงพลิกกลับไปกลับมาอีกสักครู่ แลเห็นว่าเนื้อกระต่ายป่าสุกกำลังพอดีแล้ว ก็ค่อยนำออกมาและปล่อยให้เย็นตัวลงก่อนสักนิด
ไป๋หลี่หานกดสายตาจับจ้องกระต่ายป่าย่างเสียบไม้ในมือของเซียถง ทั้งรูปร่างหน้าตาและกลิ่นหอมยั่วยวนเหล่านี้ ทำเอาเขากดกลืนน้ำลายเสียงดังเฮือกมิได้ พลางคิดกับตัวเองในใจว่า ไฉนกระต่ายย่างฝีมือของเซียถงถึงมีกลิ่นหอมหวนเสียยิ่งกว่าที่ขายกันตามร้านข้างนอก?
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากพุ่งไม้กิ่งก้านเหนือศีรษะ เซียถงก็ฉีกขากระต่ายน่องหนึ่งโยนขึ้นไปทางด้านบน
ไป๋หลี่หานเหยียดมือคว้ารับได้อย่างแม่นยำ กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ด้านบน ยิ้มกล่าวกับนางว่า
“ข้ามิได้กินของเจ้าไปเปล่าๆ แน่นอน รับไป นี่ของเจ้า”
กล่าวจบ เขาก็โยนบางสิ่งในมือส่งให้ไปทางเซียถง แวบแรกที่นางเห็น ปรากฏมันคือ มีดสั้นเล่มหนึ่งที่ดูแหลมคมอย่างมาก ชนิดที่ว่าเพียงปราดมองก็แทบบาดสายตา ตัวเล่มมีรัศมีสังหารเย็นเยียบฉาบคลุมเปี่ยมล้น สัมผัสแรกที่จับจ้อง นางถึงกับเสียวสันหลังเย็นวาบ มีดสั้นเล่มนี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ามีดสั้นที่พกใต้แขนเสื้อของนางไม่รู้กี่เท่าทวี!
พินิจจากใบมีดที่ได้รับการเจียระไนขึ้นอย่างประณีต ก็สามารถรับรู้ได้ถึงคุณภาพของมีดสั้นเล่มนี้ได้ทันที แต่ติดปัญหาอยู่แค่ว่า ไป๋หลี่หานถึงขนาดยอมแลกเปลี่ยนเจ้าสิ่งนี้กับแค่ขากระต่ายป่าย่างเพียงน่องเดียว? เจ้าหมอนี่ไม่รู้สึกเสียดายเลยหรอกรึ? เหลือบสายตาชำเลืองมองอีกฝ่ายเล็กน้อย เซียถงโยนมีดสั้นเล่มนั้นส่งกลับคืนไปให้ทันที และกล่าวว่า
“ขอกระต่ายป่าเพียงหนึ่งน่อง มิคู่ควรนำมาแลกกับมีดสั้นชั้นเยี่ยมนี่ได้”
หากตัวเซียถงในเวลานี้ปราศจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในครอบครอง นางคงรับมันไว้โดยไม่มีเกรงใจเช่นกัน แต่เวลานี้กลับมิได้ขาดคลานเรื่องอาวุธ ดังนั้นนางจึงไม่ขอรับไว้ เพราะมิอยากจะต้องรู้สึกว่า ตนกำลังเอาเปรียบไป๋หลี่หานอยู่
“แต่ข้าคิดว่ามันคู่ควรแล้ว”
ไป๋หลี่หานบิดข้อมือไปมาเล็กน้อย เชยชมลายคลื่นที่เรียงตัวสวยงามบนคมมีด ก่อนจะขว้างกลับไปทางเซียถงอีกครั้งหนึ่ง
เซียถงเหยียดมือขึ้นรับไว้ ในเมื่อไป๋หลี่หานยังคงยืนกรานเช่นนั้น นางเองก็ย่อมยินดีรับไว้ จากนั้นก็ก้มไปหยิบกระต่ายย่างเสียบไม้ส่วนที่เหลือ และยื่นให้ต่อหน้าอีกฝ่าย กล่าวว่า
“เช่นนั้นเอากระต่ายย่างไปทั้งตัวเลยแล้วกัน”
“ไม่เป็นไร ข้าต้องการแค่ขากระต่ายน่องนี้”
ไป๋หลี่หานมิได้รับกระต่างป่าย่างเสียบไม้ในส่วนที่เหลือใดๆ และเดินไปหาที่นั่งข้างกองไฟ พร้อมเริ่มกัดน่องขากระต่ายป่าย่างในมืออย่างเอร็ดอร่อย
ถึงจะกินอยู่อาศัยกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ ทว่ามารยาทในการรับประทานของไป๋หลี่หานยังคงรักษาความสง่างดงาม ถึงจะใช้ปากกัดแทะน่องกระต่ายป่าย่าง ทว่าบริเวณลริมฝีปากของเขากลับปราศจากคราบมันเลอะเทอะเลยสักนิด แถมตอนที่เขาใช้ปากกำลังกัดแทะเนื้อกระต่าย กลับดูน่ายั่วยวนอย่างบอกไม่ถูกอีกต่างหาก
เซียถงลงไปนั่งข้างๆ ฉีกขากระต่ายอีกข้างและเริ่มกัดแทะโดยตรง หันไปมองอีกทีก็เห็นว่าไป๋หลี่หานรับประทานจนหมดแล้ว เช่นนั้น นางก็เลยยื่นผลไม้ป่าจำนวนหนึ่งส่งไปให้ และกล่าวขึ้นว่า
“ยังมีผลไม้ป่าที่ข้าเก็บมาด้วย กินสิ”
“ใจกว้างปานนั้นเชียว?”
ไป๋หลี่หานเอื้อมมือไปหยิบผลไม้มาอย่างไม่เกรงใจใดๆ แต่ทันใดนั้น เซียถงกลับชักมือกลับมา และยัดเนื้อกระต่ายย่างที่เหลือครึ่งตัวลงบนมือของเขาโดยตรง นางกล่าวอีกว่า
“ต้องกินกระต่ายป่าย่างครึ่งตัวนี้ไปก่อน หากไม่ยอมกินก็อดผลไม้เช่นกัน”
เพราะเซียถงมั่นใจว่า ไป๋หลี่หานที่กินไปแค่ขากระต่ายย่างน่องเดียว มันไม่น่าจะอยู่ท้องได้เลย เช่นนั้นจึงต้องแกมบังคับกันหน่อย
ไป๋หลี่หานชำเลืองมองเซียถงอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับกระต่ายป่าย่างครึ่งตัวที่เหลือไปทานต่อ
ที่ผ่านมา ถึงแม้ไป๋หลี่หานจะช่วยเหลือเซียถงมาก็มาก แต่ก็เขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นนางในด้านนี้มาก่อนเลย เพราะโดยปกตินั้น หญิงสาวนางนี้มักจะปฏิบัติต่อคนอื่นราวกับอยู่ห่างเกินกันคนละพิภพ มีเพียงความเย็นชาเท่านั้นที่สัมผัสได้จากตัวนาง ทว่ายามนี้ นัยน์ตาเย็นเยียบคู่นี้คล้ายจะแฝงเร้นแววความอบอุ่นมาให้หนึ่งส่วน กระทั่งพื้นผิวหน้ากากสีดำเยือกแข็งที่เขาสวมใส่ยังอุ่นขึ้นเล็กน้อย ทั้งหมดหาใช่เพราะกองไฟที่ลุกโชกช่วงตรงหน้า แต่เป็นความอบอุ่นที่สื่อกันจากใจสู่ใจ
เซียถงมองดูอีกฝ่ายกำลังรับประทานเนื้อกระต่ายป่าย่างไปพลาง ใจหนึ่งอดฉงนใจมิได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน แต่กลับรู้สึกว่า นางกับไป๋หลี่หานมีหลายสิ่งอย่างคล้ายคลึงกันอย่างมาก โดยผิวเผินแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างดูเย็นชาและจองหอง ทว่าเฉพาะกับคนใกล้ตัวที่เชื่อใจ กระทั่งยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตราย ทั้งเขาและนางก็หาได้เคยลังเลไม่
แต่การที่นางกลายมาเป็นคนเย็นชาไร้ใจเช่นนี้ย่อมมีความเป็นมา เพราะชีวิตก่อนหน้านางเคยโดนทรยศหักหลังมาก่อน แล้วไป๋หลี่หานล่ะ? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ที่นิสัยภายนอกของเขาดูเย็นชาหยิ่งผยองปานนี้ อาจเป็นเพราะเคยถูกทรยศมาก่อนเช่นกัน?
ไป๋หลี่หานสังเกตเห็นว่า เซียถงกำลังจับจ้องมาทางนี้พร้อมคู่สายตาฉงนงุนงง ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง ทั้งสองก็ต่างสบสายตากันและกัน
หนึ่งจังหวะหัวใจสั่นระรัวผิดแปลก ไป๋หลี่หานตกสู่ภวังค์สายตาคู่งามของเซียถงไปโดยมิทันรู้ตัว พลันเลื่อนมือข้างขวาทาบวางลงบนตักของนาง
เสี้ยวอึดใจขณะ เซียถงสะดุ้งเฮือกหนึ่ง ฟื้นสติกลับมารู้ตัวฉับพลัน ด้วยความตกใจชั่วขณะ จึงสะบัดคมมีดเล่มใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจากไป๋หลี่หานฟันใส่มือเจ้าตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยเป็นระยะเผาขนชิดใกล้ ทำให้ไป๋หลี่หานไม่สามารถเลี่ยงหลบได้ทันท่วงที หลังมือข้างขวาของเขาถูกคมมีดปาดฟัน ธารเลือดสดรินไหลเป็นทางยาว
เมื่อเห็นบาดแผลบนหลังไป๋หลี่หาน เซียถงขมวดคิ้วขึ้นแน่น กวาดสายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย ร้องอุทานถามขึ้นว่า
“คิดจะทำอะไร?!”
“เซียถง ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้า”
ไป๋หลี่หานมิได้สนใจอาการเจ็บปวดบนแผลหลังมือใดๆ ประกายตาภายใต้หน้ากาสีดำขลับเปล่งแสงสว่างไสว จับจ้องมาที่นางดูผิดแปลกไปจากเดิม
“เอ่อ…ลองถามมาก่อนเถอะ”
เซียถงเฝ้ามองอีกฝ่าย มีท่าทีระมัดระวังตัวขึ้นหลายส่วน เห็นอีกฝ่ายมาแปลกประหลาดกว่าทุกครั้ง นางจึงอยากจะรู้ว่า เขาต้องการจะถามอะไร?
ท่าทางการแสดงออกของไป๋หลี่หานดูตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย ประกายตาสว่างสดใสก่อนหน้าหรี่แคบลงทันที ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เพ่งสายตามาทางนี้เจือผสมร่องรอยความสับสนอยู่หนึ่งส่วน
ทั้งสองสบสายตากันอยู่สักพัก แววตาคู่นี้ของไป๋หลี่หานไม่ว่าจะตอนไหน เซียถงก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนนี้ ดูเหมือนว่า ภายในใจของเขามีความกังวลมากมายนับไม่ถ้วนอัดแน่นอยู่ ถึงอยากจะพูดออกมาแค่ไหน แต่กลับไม่สามารถทำได้เลย
“เปล่า… ไม่มีอะไร ข้าไม่มีอะไรจะกล่าวหรอก”
คล้อยหลังผ่านไปเสียเนิ่นนาน ไป๋หลี่หานก็ถอดถอนสายตาออกไป หันไปเหม่อมองเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนกองไฟตรงหน้าอย่างว่างเปล่า
ยิ่งเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เซียถงก็ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ ได้แต่เฝ้ามองอยู่แบบนั้นอย่างเงียบๆ กดสายตามองกระต่ายป่าย่างในมือและเริ่มกินต่อไป นางวางแผนเอาไว้ว่า หลังจากที่กินกระต่ายป่าไม้นี้เสร็จ น่าจะออกเดินทางตามหาสมุนไพรต่อทันที
“เซียถง ความฝันอันสูงสุดในชีวิตของเจ้าคืออะไรงั้นรึ?”
เงียบไปได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ไป๋หลี่หานก็หันมามองหน้านางและเอ่ยถามขึ้น