ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 258 ไยเจ้าถึงดีกับข้า (2)
ตอนที่258 ไยเจ้าถึงดีกับข้า? (2)
ตอนที่258 ไยเจ้าถึงดีกับข้า? (2)
“ความฝันอันสูงสุดของข้า?”
เซียถงทวนคำตอบมิได้ตอบ
ไป๋หลี่หานพยักศีรษะเล็กน้อย ก็ตามคำถามที่เขาว่ามาเลยหาได้เร้นแฝงนัยใดๆ เซียถงมุ่นคิ้วครุ่นพินิจกับตนเองอยู่สักครู่ ริมฝีปากเคลื่อนขยับเล็กน้อย นางกล่าวว่า
“กลายขึ้นเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน จากนั้นคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับท่านแม่”
เซียถงหันมาเอ่ยถามไป๋หลี่หานต่อทันทีว่า
“แล้วความฝันอันสูงสุดของท่านล่ะ?”
“ฝันอันสูงสุดของข้าคือการรักษาอาการป่วยของท่านแม่”
ไป๋หลี่หานเอ่ยตอบ
“ท่านแม่ของท่านป่วยเป็นโรคอันใด?”
เซียถงยิงคำถามมต่อเนื่อง
“ไข้หานเจิ้ง ธาตุในกายท่านไร้ซึ่งสมดุล สภาวะหยางพร่องอินแกร่ง ท่านแม่ของข้าจะมีอาการหนาวสั่นอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้งที่ไข้หานเจิ้งกำเริบ มันจะสร้างความทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย ยิ่งเป็นเมืองเป่ยอี้ที่ได้ชื่อว่า ดินแดนน้ำแข็งด้วยแล้ว นับวันสมรรถภาพร่างกายของท่านแม่ก็ยิ่งถดถอยลง คงมีเวลาอีกไม่มากแล้ว…”
ไป๋หลี่หานเอ่ยตอบ ความเศร้าโศกสุดคนานับฉายแววขึ้นในดวงตาของเขาชัดแจ้ง เมื่อใดก็ตามที่นึกถึงภาพฉากที่ท่านแม่ของเขาอาการกำเริบ เขาแทบอยากจะลืมสิ่งเหล่านั้นออกไปจากหัวให้หมดสิ้น มันทรมานเกินกว่าจะทนนึกถึงได้
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไข้หานเจิ้ง อาการเบื้องต้นจะไม่ค่อยแตกต่างไปจากไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่ทุกครั้งที่มีฝนหรือหิมะตก หรือปัจจัยใดๆก็ตามที่ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลง โรคไข้หานเจิ้งจะเกิดอาการกำเริบขึ้นทันที และก่อร่างสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสจากภายในให้แก่คนป่วย อย่างเช่น รู้สึกหนาวชาทั้งร่างกาย เจ็บปวดเสมือนกับว่าอวัยวะภายในร่างกายถูกน้ำแข็งกัด เป็นต้น ในปัจจุบัน โรคดังกล่าวยังไม่มีโอสถชนิดใดที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงบรรเทาอาการเจ็บปวดเป็นระยะ
ปรากฏว่าท่านแม่ของไป๋หลี่หานป่วยเป็นโรคนี้นี่เอง ร่องรอยความเห็นอกเห็นใจฉายผ่านดวงตาคู่สวยของเซียถงทันที นางกล่าวขึ้นว่า
“โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็จริง แต่ก็สามารถควบคุมมิให้กำเริบได้ เช่นนั้นท่านก็เชิญนัดหลอมโอสถสักคน คอยรักษาดูแลท่านแม่อย่างใกล้ชิดจะดีกว่า”
“อากาศที่เมืองเป่ยอี้หนาวเย็นตลอดทั้งปี ไม่มีนักหลอมโอสถคนใดอยากไปที่นั่นเลย ไม่มี…”
ไป๋หลี่หานส่ายหัวเบาๆ
และนั่นเป็นเหตุผลที่ เหตุใช้เขาถึงใจดีกับไป๋หลี่อวี๋อิงนัก ทั้งหมดก็เพื่อพึ่งพาอาศัยความสามารถในการหลอมกลั่นโอสถของนาง เซียถงสามารถคาดเดาในจุดนี้ได้ทันที แต่ก็หาได้ปริปากกล่าวอันใด เรื่องแบบนี้ตัวนางไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย ดังนั้นต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
ทั้งสองคนตกสู่บรรยายกาศเงียบสงัดอีกครั้ง แต่ละคนต่างตั้งหน้าตั้งตาแทะเนื้อกระต่ายป่าย่างในมือ คล้อยหลังรับประทานเสร็จสรรพ เซียถงก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจสักเล็กน้อย วางแผนตั้งมั่นที่จะออกเดินทางเสาะหาสมุนไพรต่อ ทว่าไป๋หลี่หานกลับแหงนหน้ามองฟ้ายามรัตติกาลมืดมิด และหันมากล่าวกับนางขึ้นว่า
“อันที่จริงแล้ว พวกเราค่อยเดินทางในวันพรุ่งนี้ก็ยังมิสาย เดินสำรวจในเวลาดึกดื่นปานนี้ เกรงว่าอาจพลาดสมุนไพรดีๆหลุดลอยสายตาไป”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยชักสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะจากลาทั้งแบบนี้ แต่พอครุ่นพินิจดูให้จงดี สิ่งที่เขากล่าวมานั้นล้วนสมเหตุสมผลทั้งสิ้น ถึงค่อยๆย่อตัวกลับไปนั่งลงอีกครั้ง ทอดสายตาเหม่อมองกองไฟสีแสดที่ลุกโชนตรงหน้า พลางนึกถึงงานประลองสี่จักรวรรดิที่กำลังจะเริ่มต้นในวันมะรืน
เปลวไฟเบื้องหน้าช่างอดอุ่นเสียเหลือเกิน ทำให้ร่างกายของเซียถงเบาหวิวสัมผัสถึงความสบายตัว เมื่อคืนก่อนหน้านางไม่ได้นอน ในยามนี้จึงเริ่มถูกความอ่อนล้าเข้าโจมตี เปลือกตาปิดลงไปกว่าครึ่ง สภาพท่าทางงัวเงีย แต่จะอย่างไร นางก็ไม่กล้านอนทั้งเช่นนี้ จึงอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
ทันใดนั้นเอง นางพลันสัมผัสได้ถึง เสียงลมหายใจที่เคลื่อนขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างในทันใด เลื่อนมีดสั้นเล่มใหม่จากในแขนเสื้อเข้ากระชับจับแน่น และฟันเข้าฟัดฟาดวาดออกไปเป็นวงพิฆาต ทว่าคมมีดลายคลื่นสีเย็นเยียบกลับถูกเรียวนิ้วยาวคีบหนีบเอาไว้ได้ทัน พอเซียถงหันศีรษาสบมองก็ปะทะเข้ากับสายตาคู่เฉียวคมปนอ่อนโยน
นางถึงกับกระพริบตาปริบ สีหน้าการแสดงออกดูงุนงงอยู่หลายส่วน แลมองไป๋หลี่หานที่อยู่ตรงหน้า โดยที่มือซ้ายของเขาถือเสื้อคลุมชั้นนอกสีม่วงเอาไว้ ส่วนมือขวากำลังชูสองนิ้วคีบหนีบคมมีดสั้นในมือเซียถงเอาไว้
“ข้าก็คิดว่า มีศัตรูลอบโจมตี”
เซียถงเหลือบมองเสื้อคลุมสีม่วงบนมือซ้ายที่อีกฝ่ายถืออยู่ พลางกล่าวอธิบายออกไป
“นี่เจ้าตื่นตัวตลอดเวลาเลยงั้นรึ?”
นัยน์ตาลึกล้ำของไป๋หลี่หานเป็นประกายลอดผ่านหน้ากากสีดำขลับ ร่องรอยความอ่อนโยนโดยปกติที่ผสมเจือปนในแววตาได้หายไป กลายมาเป็นดวงตามืดทมิฬคู่หนึ่ง
การที่นางตื่นตัวตลอดเวลาเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่า แทบจะไม่มีวันไหนที่นางได้นอนเต็มอิ่มอย่างจริงจังเลยสักครั้ง แลเห็นร่องรอยความอ่อนล้าบนใบหน้าของเซียถง แววความกังวลก็โฉบแล่นผ่านนัยน์ตาคู่นั้นของไป๋หลี่หานทันที
ทั้งที่เขาระงับกลิ่นอายลมปราณบนกายา และกลั้นหายใจได้แนบเนียนมากแล้ว แต่หญิงสาวนางนี้ก็ยังมีปฎิกิริยาการตอบสนองที่ว่องไวมาก นี่มันเห็นได้ชัดเจนจริงๆว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางต้องลำบากขนาดไหน
เซียถงพยักหน้าและยืนขึ้น เขยือบตัวออกห่างไป๋หลี่หานเพิ่มอีกช่วงตัวหนึ่ง
ไป๋หลี่หานเหม่อมองอีกฝ่ายด้วยสายตาค่อนข้างแปลกใจ นัยน์ตาสั่นไสวระยิบระยับไปมา
เซียถงพยายามข่มตาหลับอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของชายที่อยู่ด้านข้างตลอดเวลา นางจึงหันไปเอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านไม่นอนพักรึ?”
“เจ้านอนพักผ่อนไปเถอะ ข้ายังไม่รู้สึกง่วงเลย แล้วก็…สวมนี่ซะ อากาศตอนกลางคืนในป่ามันค่อนข้างหนาวเย็น ระวังจะไม่สบายเอาได้”
กล่าวจบ ไป๋หลี่หานก็โยนเสื้อคลุมชั้นนอกสีม่วงในมือส่งให้ทางเซียถง และเขยือบตัวเคลื่อนห่างอีกฝ่ายไปนั่งพิงกองไฟอยู่อีกฝั่งหนึ่งแทน
เซียถงแหงนศีรษะมองเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่บินละล่องเข้าหา ชั่วขณะแรกรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังยื่นมือขึ้นรับจับไว้ นางเอ่ยปากถามไป๋หลี่หานขึ้นว่า
“ไฉนเจ้าถึงดีกับข้านัก?”
“ทุกคนล้วนปฏิบัติดีต่อเจ้าทั้งนั้น ไฉนเจ้าถึงถามเช่นนี้ล่ะ?”
ไป๋หลี่หานเอื้อมไปหยิบฟืนแห้งมาจำนวนหนึ่ง และทยอยหย่อนมันลงบนกองไฟตรงหน้า
“เพราะข้าคงรู้สึกสบายใจกว่า หากได้ทราบถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายทำดีด้วย แล้วท่านล่ะ…มีจุดประสงค์อันใดแอบแฝงหรือไม่?”
เซียถงนำเสื้อคลุมสีม่วงของไป๋หลี่หานเข้าห่มร่างกาย กลิ่นหอมจางอ่อนของบุรุษชายกระจายอยู่ตามเนื้อผ้าที่ห่อหุ้มตัวนาง ซึ่งกลิ่นกายของไป๋หลี่หานช่างหอมน่าหลงใหลนัก
“เจ้าคิดว่า ทุกคนที่ปฏิบัติดีต่อเจ้าล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝงทั้งสิ้น?”
กองไฟสีแสดก่อปะทุสุมทรวงขึ้นสูง เผยให้เห็นนัยต์ตาที่สั่นไสวภายใต้หน้ากากของไป๋หลี่หานชัดเจนขึ้น
“บนผืนพิภพแห่งนี้ ไม่มีความเกลียดชังที่ซึ่งไร้เหตุความเป็นมา ในทางตรงกันข้าม ก็ไม่มีความรักที่ไร้ซึ่งเหตุความเป็นมาเช่นกัน การที่ท่านทำดีกับข้า นั่นแสดงวา ท่านย่อมมีเหตุผลบางอย่างอยู่ในใจ เพราะหากไม่มีเหตุผลแล้วไซร้ เกรงว่าท่านคงไม่มาทำดีด้วย”
เซียถงจ้องหน้าอีกฝ่ายตอบกลับไป
“แล้วเจ้าคิดว่า ตัวข้าปฏิบัติดีกับเจ้าแค่ไหนกัน?”
ไป๋หลี่หานเงยหน้าขึ้นสบสายตานาง ยิงคำถามสวนกลับไปคำหนึ่ง ณ จุดนี้ เซียถงสามารถสังเกตเห็นถึงประกายตาที่ส่องสะท้อนออกมาได้ฉับพลัน
“อย่าน้อยก็ไม่ได้แย่อันใด ข้าไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าดีแค่ไหน แต่ก็ดีกว่าหลายๆคนรอบตัวข้า อย่างเช่น เซี่ยอี้เฉิน เซี่ยเสวี่ยเหลี่ยน”
“ฮ่าฮ่า เซียถง ขอเพียงรู้ไว้…ข้าคนนี้ดีต่อเจ้าเสมอ ทราบแค่นี้ก็เป็นพอแล้ว”
จู่ๆไป๋หลี่หานก็รวนหัวเราะออกมา นัยน์ตาที่ดูหม่นหมองก่อนหน้ากลายเป็นสดใสขึ้นทันใด