ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 259 เดิมพันครั้งหนัก (1)
ตอนที่259 เดิมพันครั้งหนัก (1)
ตอนที่259 เดิมพันครั้งหนัก (1)
“ท่านไม่คิดจะบอกเหตุผลจริงรึ? ไฉนถึงทำดีกับข้า?”
เซียถงยังคงเอ่ยถามต่อ มือข้างหนึ่งกำเสื้อคลุมที่ห่มร่างไว้แน่น
“เหตุผลงั้นรึ… บางทีในสักวันข้าจะบอกเจ้าเอง จะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าคนนี้”
ไป๋หลี่หานกล่าวตอบส่งๆ หวังให้จบกันไป เพราะอันที่จริงแล้ว เหตุผลที่ทำไมเขาถึงดีกับเซียถงนัก กระทั่งตัวเองก็ยังไม่ทราบ การกระทำเหล่านั้นทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณตนเองโดยธรรมชาติ ก็มีหลายครั้งที่เขากำลังคิดหาเหตุผลเข้ารองรับ ทว่าสุดท้ายก็ว่างเปล่า
เสียงที่เปล่งวาจาเพิ่งลดลง เซียถงคว้าเสื้อคลุมสีม่วงที่เคยห่มโยนคืนมาให้เขาในทันใด
“ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับข้าให้เหนื่อยเปล่า”
กล่าวจบ เซียถงก็ลุกขึ้นยืนและหันหลังให้อย่างไม่แยแสใดๆ อีก นางกระโจนขึ้นไปบนกิ่งไม้ต้นหนึ่งและเอนกายนอนพักผ่อน
ถึงแม้กองไฟเบื้องล่างจะอบอุ่นกว่า แต่หากต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่นางไม่ทราบจุดประสงค์ ก็ขอนอนอยู่บนกิ่งไม้เย็นๆ เช่นนี้เสียดีกว่า เห็นสายตาของอีกฝ่ายที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักและหวังดี สำหรับเรื่องเช่นนี้ นางไม่อยากจะเชื่อใจใครอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น ยิ่งตีตัวออกหากจากอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีต่อตัวนางมากขึ้นเท่านั้น
ไป๋หลี่หานเงยหน้ามองร่างอรชรของหญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ใบไม้เขียวชอุ่ม ทำได้เพียงถอดถอนหายใจอย่างเงียบงันตามลำพัง ไฉนนางถึงต้องระวังตัวถึงปานนี้? มันไม่มากเกินไปหน่อยรึ?
“ท่านนอนหลับพักผ่อนตามสบายเถอะ ถึงข้าจะไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของท่าน แต่ก็หาใช่ว่ามองท่านเป็นศัตรูไม่ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ ฝันดี”
สุ้มเสียงเย็นชืดเปล่งดังออกมาจากพุ่มใบไม้สีเขียวชอุ่ม ราวกับพยายามจะสื่อว่า ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก หากมัวแต่มานั่งกังวล เกรงว่าจะหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไป๋หลี่หานรวนหัวเราะเบาๆ ไปทีหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ปิดปากเงียบไม่พูดอันใดอีก เพียงสะบัดเสื้อคลุมสีม่วงที่เซียถงโยนมาให้ก่อนหน้าขึ้นห่ม เอนศีรษะพักพิงแผ่นหลังลงบนต้นไม้ด้านหลัง พลางเหม่อมองกองไฟสีแสดที่ลุกโชติช่วง
เซียถงเอนแผ่นหลังทิ้งน้ำหนักนอนแนบอยู่บนกิ่งไม้ แหงนหน้าขึ้นฟ้าไกลสุดสายตา พินิจถึงอนาคตที่ใกล้เข้ามา รำลึกถึงอนาคตวันวานที่เคยผ่านไป และไม่นอนดวงตาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ปิดลงจนหลับในที่สุด
วันรุ่งขึ้น หลังจากเก็บผลไม้ป่ารับประทานเอาแรง ทั้งสองก็เดินทางขึ้นไปบนยอดเขาซีเยว่ พยายามพินิจตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด และตัดสินใจเลือกสมุนไพรอีกสองชนิดที่เหลือเก็บกลับมา ซึ่งสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว ล้วนเป็นวัตถุหลักสำคัญยิ่งสำหรับการหลอมกลั่นโอสถยกระดับพลังลมปราณ
ในส่วนของไป๋หลี่หานเองก็เลือกสมุนไพรได้ครบสามชนิดที่ต้องการแล้วเช่นกัน เซียถงแอบชำเลืองมองสังเกตสมุนไพรเหล่านั้นในมือของอีกฝ่ายก็ค้นพบว่า สมุนไพรทั้งสามชนิดที่เขาตัดสินใจเลือกมา ล้วนแต่มีสรรพคุณด้านการรักษาสุขภาพร่างกายทั้งสิ้น พอจะเดาได้ทันที ทั้งหมดก็เพื่อบำรุงร่างกายให้แก่ท่านแม่ของเขาที่กำลังป่วยหนัก
เดินทางลงจากหุบเขาซีเยว่มา ทั้งสองก็กลับเข้าเมืองซีเยว่โดยตรงพร้อมกับสมุนไพรที่พกมาในมือ
เมื่อมาถึงเมืองซีเยว่ เซียถงต้องการจะเดินทางกลับโรงเตี้ยมที่นางพักอยู่ทันที แต่ไป๋หลี่หานกลับพานางไปยังบ่อนประจำเมือง และทันทีที่เข้ามา หากว่าบรรยากาศภายในเมืองว่าคึกคักแล้ว พอมาด้านในบ่อนแห่งนี้ บรรยากาศกลับยิ่งคึกคักดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่า ไป๋หลี่หานหันมากล่าวกับเซียถงว่า
“ตามข้ามา ไปโต๊ะที่สองตรงนั้น”
เซียถงที่เห็นภาพฉากบรรยายกาศภายในบ่อน นางก็รู้สึกไม่อยากเสียเวลากับที่แห่งนี้อีก จึงมิได้สนใจฟังคำกล่าวของอีกฝ่ายเลยสักนิด ขณะที่กำลังจะหันหลังจากไป จู่ๆ ไป๋หลี่หานก็กล่าวหยุดนางขึ้นว่า
“บ่อนในตอนนี้กำลังเปิดโต๊ะเดิมพันอยู่ว่า ใครกันที่จะเป็นผู้ชนะในศึกงานประลองสี่จักรวรรดิ เจ้าควรเข้ามาศึกษาข้อมูลของคู่แข่งแต่ละคนที่ต้องพบเจอ ไม่มีข้อมูลจากแหล่งไหนดีไปกว่าบนโต๊ะของพวกผีพนันอีกแล้ว ลองฟังดูไม่เสียหาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อยาวเล็กน้อยและเดินหน้าตรงเข้าไปต่อทันที เซียถงชำเลืองแผ่นหลังอีกฝ่ายอยู่สักครู่ ก่อนจะรีบเดินตามกันเข้าไป
ภายในบ่อนแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยบรรดาผู้คนมากมายจากทั้งสี่จักรวรรดิพร้อมหน้า โต๊ะซ้ายเล่นกำถั่ว โต๊ะขวาเล่นไพ่นกกระจอก และรอบข้างอีกมากมาย กล่าวได้ว่ามีการพนันทุกชนิดอัดแน่นอยู่ภายในนี้ แต่โต๊ะที่ดูจะมีชีวิตชีวาที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้น โต๊ะรับแทงเดิมพันผู้ชนะในงานประลองสี่จักรวรรดิที่กำลังจะมาถึง
มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บนแท่นสูงอยู่หน้าโต๊ะฝ่ายเจ้ามือ และบนโต๊ะเบื้องหน้ามีป้ายไม้สี่แผ่นที่เขียนชื่อจักรวรรดิทั้งสี่อยู่ ได้แก่ จักรวรรดิซีฉิน จักรวรรดิหน่านเฟิง จักรวรรดิเป่ยฮั่น และจักรวรรดิตงหลี่ เรียงกันตามลำดับ เขาผายมือกวาดไปทางป้ายไม้ทั้งสี่แผ่นและเปล่งเสียงดังฟังชัดตะโกนขึ้นว่า
“เร่เข้ามา! เร่เข้ามา! โต๊ะแทงผู้ชนะในงานประลองสี่จักรวรรดิในครั้งนี้ได้เปิดทำการแล้ว จากที่เราได้เสาะหาข้อมูลมาอย่างละเอียด ผู้เข้าร่วมประลองที่มีฝีมือแกร่งกล้าที่สุดสี่คนจากสี่จักรวรรดิมีดังนี้ หลินเฟยจากจักรวรรดิซีฉิน หลัวซีจากจักรวรรดิหน่านเฟิง หลีโม่จากจักรวรรดิเป่ยฮั่น และเซียถงจากจักรวรรดิตงหลี่ วางเงินเดิมพันต่อท้ายป้ายชื่อได้เลย!”
ทันทีที่พูดจบ ก็มีใครบางคนที่อาศัยอยู่ในเมืองซีเยว่ตะโกนขึ้นลั่นว่า
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลินเฟยชนะแน่นอน! เพราะเขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเส้นทางการบำเพ็ญตบะในทวีปเทียนหลางของเรา!”
“ไร้สาระ! หลัวซีต่างหากคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งการบำเพ็ญตบะในทวีปเทียนหลาง!”
จากนั้นก็มีใครบางคนที่มาจากจักรวรรดิหน่านเฟิงคำรามสวนตอบออกไปทันที
“หลีโม่ต่างหากที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ส่วนเจ้าหลัวซีที่ว่านั่น ได้ข่าวว่าเพิ่งพ่ายให้แก่เซียถงแห่งจักรวรรดิตงหลี่ไปในงานชุมนุมลมปราณของตงหลี่ครั้งล่าสุด!”
ทันใดนั้นก็มีคนจากจักรวรรดิเป่ยฮั่นคำรามแทรกขัดขึ้นมา
ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงดังขึ้น ก็มีบรรดาหญิงสาวนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างเคียง จ้องสายตาเขม็งมาใส่ชายคนที่ว่าราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย พวกนางคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า
“ใครบอกว่าท่านหลัวซีพ่าย! เซียถงคนนั้นมันใช้เล่ห์เหลี่ยมเล่นโกงต่างหาก! ทุกคนต่างทราบดีว่า นางมีระดับลมปราณอยู่แค่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลาง ในขณะที่ท่านหลัวซีมีพลังอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูง! ดังนั้นแล้ว นางหรือจะมีปัญญาเอาชนะท่านหลัวซีได้อย่างไร? นางเล่นสกปรกต่างหาก!”
ฝ่ายผู้คนจากสามจักรวรรดิที่เหลือต่างหัวเราะเยาะกันเสียงดังสนั่น เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่จักรวรรดิตงหลี่ได้อันดับโหล่สุดติดต่อกัน ดังนั้น มันไม่น่าอายเกินไปหน่อยรึที่จะว่า ผู้เข้าร่วมจากตงหลี่ในปีนี้สามารถเอาชนะหลัวซีผู้ที่เป็นถึงอัจฉริยะแห่งทวีปเทียนหลางได้? บางทีนี้อาจจะเป็นเรื่องโกหกเสียด้วยซ้ำ!
ชายผู้นั้นยักไหล่ตอบทันทีโดยมิได้แยแสสายตาของบรรดาหญิงสาวที่จับจ้องตาเขม็ง ก่นน้ำเสียงเย็นชาออกไปทีหนึ่งและมิได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป จะอย่างไร จักรวรรดิตงหลี่ก็อยู่ท้ายตารางล่างสุดในบรรดาสี่จักรวรรดิอยู่แล้ว สงสัยเรื่องที่เขาเคยได้ยินจะเป็นเรื่องโกหกที่คนกุขึ้นมาจริงๆ
“เซียถง? หากใช่หญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งตงหลี่หรอกรึ? อย่างนางจะไปเอาชนะหลัวซีได้อย่างไรกัน? และที่สำคัญที่สุดเลย หลิวซีเป็นคนจากจักรวรรดิหน่านเฟิง แล้วเขาจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมลมปราณที่จัดขึ้นในจักรวรรดิตงหลี่ได้อย่างไร? ข่าวมั่วแล้วกระมัง?”
ได้ยินจวบจนบัดนี้ ไม่ว่ากลุ่มคนที่มาจากจักรวรรดิตงหลี่ต้องการจะโต้เถียงกลับไปอย่างไร ทว่าแต่ละคนกลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดออกมา เมื่อเห็นสายตาเยาะเย้ยดูถูกจากคนอื่นๆ โดยรอบ พวกเขาทำได้แต่ก้มหน้าก้มตามองลงพื้นเท่านั้น
“หลินเฟยชนะแน่นอน พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่า เมื่อสี่ปีที่แล้ว ขนาดนายท่านหลินเฟยอายุเพียงสิบสี่ปี เขาก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้! และเป็นที่แน่นอนอย่างยิ่งว่า ตัวเขาในปัจจุบันย่อมกล้าแกร่งกว่าเมื่อสี่ปีก่อนอยู่แล้ว ส่วนคนที่ชื่อหลิวซีอะไรนั่น ข้าไม่เห็นเคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อนเลย”
ท่ามกลางฝูงชนก็มีใครคนหนึ่งกล่าววิเคราะห์ขึ้นให้ทุกคนได้ฟัง
“เร็วเข้า! รีบเลือกข้างเดิมพัน! คิดว่าใครชนะก็วางเงินเดิมพันต่อท้ายป้ายชื่อบนโต๊ะได้เลย มัวแต่เถียงกันเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อันใด?”
ชายร่างสูงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าฝูงชนโบกมือปัด ตะโกนดังลั่นคล้ายว่าใกล้จะหมดความอดทนเต็มแก่
บรรดาผู้คนทั้งหลายต่างพร้อมใจกันเทเหรียญทองในมือไปที่ป้ายของหลินเฟยโดยไม่มีลังเล นอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งที่วัดใจโยนเหรียญทองไปทางป้ายของหลัวซีแต่ค่อนข้างน้อยมาก ส่วนป้ายชื่อของอีกสองคนอย่าง เซียถง กับ คนที่ชื่อหลีโม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าขาวสะอาดก็มิปาน
ถึงแม้บรรดาหญิงสาวทั้งหลายจะคลั่งไคล้ในความหล่อเหลาของหลัวซีเพียงใด แต่เงินกลับมีความสำคัญต่อชีวิตของพวกนางมากกว่าอยู่ดี ดังนั้นแล้ว พวกนางโดยส่วนใหญ่จึงเทเหรียญทองไปทางป้ายของหลินเฟย ที่เหลืออีกไม่กี่คนที่มีเงินเยอะหน่อย ค่อยเผื่อไปทางป้ายของหลัวซีบ้าง