ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 26 เซี่ยหลู่เฟิงสาหัส
ตอนที่26 เซี่ยหลู่เฟิงสาหัส
เงาร่างของยอดฝีมือผู้คุมสนามไสววูบ กระโจนขึ้นมาพยายามหยุดยั้งคมมีดสั้นในมือของเซียถงชั่วเสี้ยวพริบตา ทว่าน่าเสียดายนัก ทุกอย่างกลับสายเกินไป จางเสวี่ยถูกคมมีดกรีดแทง ลากยาวเป็นแผลฉกรรจ์อีกสายหนึ่งบนแก้มของนาง
ซึ่งคราวเซียถงมิได้ปราณีดั่งคราก่อนหน้า ออกแรงกรีดลึกจนเห็นกระดูกโหนกแก้มขาวปรากฎ จางเสวี่ยหรงที่เห็นเลือดสดพวยพุ่งออกจากใบหน้าทะลักไหล ถึงกับกรีดร้องลั่นเสียสติ รีบวิ่งหนีลงสนามไปยิ่งกว่าเป็นบ้า
รอยแผลที่เกิดจากคมมีดถึงสองจุด มันทำให้ใบหน้าของนางพังโดยสิ้นเชิง
เซียถงเหลือบสายตามองยอดฝีมือผู้คุมสนามคนนั้น ก่อนจะก้าวแช่มเดินลงสนามลง ประดับพร้อมท่าทางอันเย็นยะเยือกไม่เสื่อมคลาย
ร่างหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเฝ้ามองภาพฉากเหตุการณ์ ไป๋หลี่เย่หรี่ตามองแผ่นหลังของเซียถงที่กำลังเดินทิ้งห่างจากออกไปไกล มิสามารถจินตนาการคาดเดาออกเลยสักนิด ความแข็งแกร่งของนางอยู่ในระดับชั้นใดกันแน่? ไฉนถึงสามารถดับสังหารอสูรหมาป่าสวรรค์ได้ภายในหนึ่งกระบวนท่า!?
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออก ปรากฏชายชุดดำสวมหน้ากาก กำลังเฝ้ามองร่างของเซียถงที่ลาจากทิ้งทวนฝูงชนออกไปท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน พลางเล่นกับจอกสุราภายในมือ หันไปเอ่ยถามผู้ใต้บัญชาของตนที่นั่งถัดไปว่า
“ถึงกับสังหารอสูรหมาป่าสวรรค์ได้ไม่ยากเย็น โม่ซวน เจ้าบอกได้หรือไม่ว่า ขุมพลังที่แท้จริงของนางแข็งแกร่งปานใด?”
“ข้าน้อยกลับมิทราบ ขุมพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนาง กลับไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลย”
โม่ซวนขมวดคิ้วย่นเล็กน้อย ขานตอบด้วยความเคารพ
“ไม่สามารถหยั่งรู้ได้งั้นรึ?”
ไป๋หลี่หานเอ่ยทวนคำพูดประโยคนี้ของโม่ซวนซ้ำไปเวียนมาสักพักหนึ่ง รอยยิ้มแฝงนัยปราดปรากฏภายใต้หน้ากาก
“ข้าไม่รู้เลยว่า นางจะสร้างเรื่องประหลาดใจอันใดให้อีก?”
เซียถงเดินออกไปจากสนาม และเป็นอิ๋งเอ๋อร์ที่รีบวิ่งมากอดนางโดยไว
“คุณหนู! คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? ข้ากลัวแทบตาย!”
ภาพฉากดั่งโศกนาฏกรรมโชกชโลมเลือดยังคงตราตรึงอยู่ในใจนางไม่หาย แวบแรกอิ๋งเอ๋อร์หลงคิดไปเสียด้วยซ้ำว่า คุณหนูจะโดนอสูรหมาป่าตนนั้นขย่ำตายแล้ว
สังเหตเห็นสีหน้าอิ๋งเอ๋อร์ดูซีดเซียวปานนั้น แถมใบหน้ายังเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา เซียถงก็ตระหนักได้ทันทีว่า อีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวอยู่จริงๆ จึงยิ้มบางยิงคำถามสวนกลับไปว่า
“เห็นคุณหนูของเจ้าอ่อนปวกเปียกขนาดนั้นเชียว?”
“ไม่เจ้าค่ะ! ไม่เลยเจ้าค่ะ! คุณหนูของข้าแข็งแกร่งปานใด ผู้คนทั่วสนามแห่งนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์!”
อิ๋งเอ๋อร์ส่ายศีรษะสั่นระรัว รีบคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นทำความสะอาดใบหน้าที่เปื้อนชโลมเลือดชุ่มของเซียถง กวาดสายตาขึ้นลงอยู่สองสามคราและเอ่ยขึ้นเจือแววกังวลว่า
“คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสปานใดกัน? เลือกออกเยอะมากเลยเจ้าค่ะ!”
“หื้ม? นี่มันเลือดของอสูรหมาป่าทั้งนั้น หาใช่เลือดของข้าไม่”
เซียถงส่ายหน้า พลางจับจ้องไปที่รอยเลือดบนร่างกายที่เริ่มแห้งกรากแข็ง หากจะกล่าวถึงที่มาที่ไปว่าเลือดทั่วร่างของนางมาจากไหน คงต้องเล่าย้อนไปถึงตอนที่ยกคมมีดสั่นปักขากรรไกรของอสูรหมาป่า ยังไม่รวมช่วงที่กระหน่ำแทงปากมันไม่หยุด ตอนนั้นกระมังที่เลือดสาดกระเซ็นทะลักล้นอาบร่างของนาง
“คุณหนู…ท่านไม่ใช่มนุษย์แล้วกระมัง? ทรงพลังมากเลยเจ้าค่ะ!”
อิ๋งเอ๋อร์จับจ้องคุณหนูตรงหน้า ประกายตาที่เปล่งปลั่งเต็มไปด้วยความชื่นชม
ได้ยินแบบนั้น มุมปากเซียถงกระตุกยิ้มเชิดขึ้นเล็กน้อย ขณะที่จะกำลังชักชวนพาอิ๋งเอ๋อร์กลับบ้าน ทันใดนั้นพลันได้ยินสุ้มเสียงของบรรดาฝูงชนโหมดังกระหึ่มขึ้น ณ ทิศทางหนึ่ง ตะโกนพร้อมกันว่า
“หลัวซี! หลัวซี!”
ถัดจากสนามหมายเลขสามคือ สนามหมายเลขสี่ ซึ่งเซียถงเองก็จำได้ด้วยว่า วันนี้เซียหลู่เฟิงมีนัดประลองในสนามดังกล่าว ความสนอกสนใจพลันบังเกิด เดินตรงเข้าไปดูสถานการณ์ในสนามดังกล่าวทันที
หลัวซีสะบัดรอยเลือดในมือทิ้งไป กำลังยืนโค้งศีรษะให้แก่ฝูงชนโดยรอบบนใจกลางสนามประลอง บนใบหน้ายังคงประดับประดาไปด้วยรอยยิ้ม แต่งตัวในชุดผ้าไหมสีขาว ทุกอากัปกิริยายังเป็นสง่าดังเดิมไม่เปลี่ยน
ถัดจากเขามา ปรากฏเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ได้รับบาดเจ็บสภาพสาหัส
เพียงปราดสายตาวูบหนึ่ง เซียถงพึงทราบทันที ชายผู้นั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเซียหลู่เฟิง ที่นอนแผ่ร่างอยู่บนพื้น เห็นเป็นเช่นนั้น นางรีบกระโดดขึ้นสนามออกจากฝูงชน วิ่งเข้าไปประคองศีรษะของอีกฝ่ายขึ้นมาดูอาการ
“พี่ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง?”
พอพินิจสายตามองลงบนร่างของเซี่ยหลู่เฟิง ก็พบดอกกุหลาบสีแดงปักอยู่ฝั่งซ้ายหน้าอก เฉียดตำแหน่งหัวใจไปนิดเดียวเท่านั้น สีหน้าซีดเซียว ดูเวทนาไม่น้อยเลยจริงๆ
“ข้าไม่เป็นอะไร”
เซี่ยหลู่เฟิงฝืนยิ้มส่งมอบแก่นาง พยายามลุกขึ้นด้วยตัวเองและประสานมือต่อหน้าหลัวซี กล่าวว่า
“หลัวซี เจ้าฝีมือแกร่งกล้ายิ่งแล้ว ขอบพระคุณที่ปราณี ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี”
หากมิใช่เพราะหลัวซีเมตตา ปานนี้กุหลาบสีแดงดอกนั้นคงปักทะลุขั้วหัวใจเขาไปนานแล้ว
ชั่วจังหวะที่เซี่ยหลู่เฟิงเปิดช่องโหว่จนนำมาสู่ความพ่ายแพ้นั้น ดอกกุหลาบในมือของหลัวซีที่พุ่งเข้าใส่ หักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน จากที่มีเป้าหมายเป็นหัวใจ กลับเบี่ยงไปยังจุดที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแทน
“ต่อให้เจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าเองก็ไม่คิดทำร้ายเจ้าต่อเช่นกัน”
หลัวซีส่งยิ้มออกไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า เขาเองก็ค่อนข้างเคารพคู่แข่งอย่างเซี่ยหลู่เฟิงเช่นกัน เพราะถึงแม้ก่อนหน้านี้ เซี่ยหลู่เฟิงจะถูกต้อนจนบาดเจ็บสาหัสเพียงใด แต่ชายคนนี้ก็ยังไม่คิดจะยอมแพ้เลยสักเสี้ยวอึดใจเดียว คนที่จิตใจหาญกล้า ยอมตายแต่ไม่ยอมแพ้อย่างไร้ศักดิ์ศรี ฝืนตัวเองจนถึงที่สุดเช่นนี้ หลิวซีรู้สึกชื่นชมจากใจจริง
สายตาคู่นั้นของเขาเคลื่อนหยุดไปที่เซียถง พอเห็นเนื้อตัวของหญิงสาวนางนี้เต็มไปด้วยเลือด หลัวซีก็ขมวดคิ้วย่นขึ้นเล็กน้อย ประกายดวงตาทอแววเศร้าสร้อยอยู่หนึ่งส่วน
“หลัวซี ในภายภาคหน้า ข้าจะตั้งใจบำเพ็ญตบะให้จงดี และพัฒนาความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไป จนถึงวันนี้ ข้าจะมาขอท้าประลองกับเจ้าอีกสักครา”
เซี่ยหลู่เฟิงประสานมือกล่าวกับอีกฝ่าย
“ยินดีต้อนรับเสมอ”
หลัวซียิ้มตอบเพียบพร้อมมารยาท ทว่าสายตาของเขายังคงหยุดอยู่บนร่างของเซียถงไม่คลายอ่อน
หญิงสาวนางนี้ รูปร่างโฉมสะครวญสง่างามสมบูรณ์แบบยิ่ง นิสัยอารมณ์สุขุมเยือกเย็นไม่เหมือนใครคนอื่น แต่น่าเสียดายนักที่ใบหน้าของนาง…
เซียถงเหลือบมองอีกฝ่ายวูบหนึ่ง พอจะคาดเดาได้ว่า อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายนี้ไม่ปริปากพูดจาใดๆ และประลองร่างเซี่ยหลู่เฟิงเดินลงจากสนามไป
“เดี๋ยวก่อน”
หลัวซีตะโกนไล่หลังเรียกให้เซียถงหยุด พอนางหันหลังย้อนกลับหา ก็มีขวดโอสถสีขาวลอยล่องโยนมาหา นางยกมือคว้าออกไปดังหมับ เข้ามืออย่างแม่นยำ
“นี่เป็นโอสถวิเศษสำหรับรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ ทาให้พี่ชายของเจ้าวันละครั้ง ต่อเนื่องตลอดสามวัน แล้วบาดแผลเหล่านั้นจะหายเอง”
หลัวซีส่งยิ้มให้นาง
“ขอบพระคุณ”
เซียถงพยักหน้าให้เบาๆ แม้ชายผู้นี้จะดูหลงตัวเองชนิดกู่ไม่กลับ แต่อย่างน้อย ก็ไม่ได้น่าปวดหัวอย่างที่เคยคิดไว้
เดินทางกลับเข้าจวนเสนาบดี เซียถงหยิบขวดโอสถวิเศษออกมาให้บ่าวรับใช้ เพื่อนำไปทาให้เซี่ยหลู่เฟิง บาดแผลจะได้ฟื้นตัวได้เร็วๆ จากนั้นค่อยย้อนเข้าเรือนพักขอตนเอง พอมาถึงนางก็พบเซี่ยอี้เฉินที่กำลังยืนรออยู่ในลานหน้าบ้าน
“ถงเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่า ในศึกประลองวันนี้ เจ้าไปให้ทำใบหน้าของบุตรสาวแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วต้องเสียโฉมงั้นรึ?”
เซียอี้เฉินเดินตรงปรี่เข้าหานาง เอ่ยถามด้วยสีหน้าตึงเครียด
“หากใช่แล้วอย่างไร?”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จ้องมองอีกฝ่ายราวกับมีปัญหา