ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 261 สนามประลองทองคำ
ตอนที่261 สนามประลองทองคำ
ตอนที่261 สนามประลองทองคำ
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องชนะ”
ไป๋หลี่หานหันกลับมามองนางพร้อมประกายตาสีสดใส นัยน์ตาที่ลึกลงไปเปี่ยมล้นความแน่วแน่มั่นคง ราวกับเขามั่นใจยิ่งยวดว่า นางจะต้องชนะ ยิ่งไปกว่านั้น ยังดูมีความมั่นใจเสียยิ่งกว่าตัวเซียถงเองซะอีก
ได้เช่นนั้น เซียถงก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก หลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่ายที่จับจ้องมา และกล่าวว่า
“หากเช่นนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะอย่างไร หลินเฟยคนดังกล่าวแข็งแกร่งกว่าข้าจริงๆ”
ถ้าระดับพลังลมปราณของเซียถงยังไม่พัฒนาขึ้น นางจะไม่เหลือโอกาสชนะหลินเฟยคนนั้นแล้ว
“หลินเฟยมีเป้าหมายเป็นตัวเจ้า ไม่ว่าอย่างไร เจ้าจะต้องชนะให้จงได้”
ทันใดนั้นไป๋หลี่หานก็เอ่ยกล่าวประโยคนี้ขึ้นมา
“เป้าหมายเป็นข้า?”
เซียถงเบิกตากว้าง อุทานวาจาหนึ่งเจือทีท่าประหลาดใจไม่น้อย
“มีคนต้องการจะใช้งานประลองสี่จักรวรรดิบังหน้าเพื่อกำจัดเจ้าทิ้ง”
ประกายสายตาของไป๋หลี่หานที่ส่องสะท้อนออกดูเฉียบคมขึ้นทันควัน ฉาบเคลือบแววน่าสะพรึงอยู่หลายส่วน
“หรือจะเป็นเย่หลีเทียน?”
เซียถงคาดเดาออกไปคำหนึ่ง กัดฟันกรอดขบแน่นหนา หากกล่าวถึงใครสักคนที่ต้องการจะกำจัดนางให้สิ้นซาก ชื่อแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวคงหนีไม่พ้นใครอื่นอีกแล้ว
“ไม่ใช่ คนๆ นั้นคือฝ่าบาทแห่งจักรวรรดิซีฉินแห่งนี้”
ไป๋หลี่หานส่ายหัว และกล่าวอธิบายต่อพร้อมสีหน้าน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“เจ้าทราบหรือไม่ว่า เหตุใดฝ่าบาทแห่งจักรวรรดิซีฉินถึงต้องการจัดงานประลองสี่จักรวรรดิขึ้นในทุกๆ สี่ปี? เขาต้องการหยิบยกงานประลองเป็นข้ออ้าง เพื่อสกัดดาวรุ่งที่อาจเป็นภัยอันตรายได้ในอนาคตของสามจักรวรรดิที่เหลือ”
เซียถงครุ่นพินิจกับตัวเองอยู่สักครู่ ไม่นานนัก นางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า เหตุใดจักรวรรดิซีฉินแห่งนี้ถึงยังครองบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปเทียนหลางได้จวบจนทุกวันนี้ อาศัยงานประลองสี่จักรวรรดิที่จัดขึ้นในทุกสี่ปีเป็นข้ออ้าง องค์ฝ่ายบาทแห่งจักรวรรดิซีฉินจะมีโอกาสสามารถกำจัดต้นกล้าที่มีแววขึ้นเป็นยอดฝีมือได้ในอนาคตของอีกสามจักรวรรดิที่เหลือ และเมื่ออีกสามจักรวรรดิไร้ซึ่งผู้แกร่งกล้าในวันนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่สิบร้อยปี พวกเขาก็จะไม่มีวันแซงหน้าเหนือไปกว่าจักรวรรดิซีฉินอีกเลย ด้วยกลวิธีนี้ จักรวรรดิซีฉินจะสามารถรักษาสถานะความยิ่งใหญ่ของตนได้ตลอดกาล
จิตใจสกปรกสิ้นดี!
“ชื่อเสียงของหลินเฟยค่อนข้างโด่งดัง หลายวันมานี้ โม่ซวนพยายามเสาะหาข้อมูลตรวจสอบอีกฝ่ายอยู่อย่างลับๆ คาดการณ์ได้ว่า ระดับพลังลมปราณของเขาน่าจะอยู่ที่ขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นต้น หากเจ้าสามารถทะลวงขึ้นเป็นขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้ อาศัยทักษะความสามารถในการต่อสู้ของเจ้า การจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ก็หาใช่ปัญหาใหญ่อันใดนัก”
ไป๋หลี่หานกล่าว
“แต่มะรืนงานประลองสี่จักรวรรดิก็จะเปิดฉากเริ่มต้นแล้ว ทว่าระดับพลังลมปราณของข้ายังไม่มีพัฒนาการใดๆ เลย”
เซียถงในเวลานี้รู้สึกปวดเศียรขึ้นมาฉับพลัน เนื่องจากความแข็งแกร่งของนางยังหยุดอยู่กับขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลาง โอกาสเอาชนะหลินเฟยในงานประลองได้เกรงว่าค่อนข้างริบหรี่นัก เส้นลมปราณและเส้นเอ็นส่วนสุดท้ายยังอุดตันอยู่ หากไม่สามารถเบิกออกได้ ก็ไม่มีทางเลื่อนระดับชั้นแน่นอน
ไป๋หลี่หานพยักหน้าตอบแต่มิได้กล่าวอันใดอีก เขาเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจ ยิ่งระดับพลังลมปราณสูงขึ้น ก็ยิ่งยากที่จะพัฒนาต่อไป บางคนอาจหยุดนิ่งตลอดไป ส่วนบางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อยกระดับพัฒนาขึ้นแค่ก้าวเดียว
เขาเดินมาส่งเซียถงถึงหน้าโรงเตี้ยม และเมื่อไป๋หลี่หานกำลังจะเดินทางจากออกไป จู่ๆ เซียถงก็กระตุกแขนเสื้อหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็โน้มตัวกระซิบข้างหูเบาๆ ว่า
“ระหว่างฝ่าบาทแห่งตงหลี่กับเย่หลีเทียนให้ดี พวกมันจะเชื้อเชิญยอดฝีมือระดับปรมาจารย์มาลอบสังหารท่าน”
นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก และเซียถงไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมกับเรื่องราวที่อันตรายปานนี้เช่นกัน แต่เป็นเพราะที่ผ่านมา ไป๋หลี่หานทำดีกับนางมาโดยตลอด ดังนั้นแล้ว จะให้นางไม่บอกเรื่องราวที่แอบได้ยืนในคืนนั้นกับไป๋หลี่หาน คงใจร้ายไส้ระกำเกินไปหน่อย
ไป๋หลี่หานมิได้แสดงทีท่าประหลาดใจใดๆ ออกมาเลยสักนิด เพียงสบสายตาจ้องมองเซียถงอยู่เป็นเวลานาน จนท้ายที่สุดเขาก็ระบายยิ้มกว้างอย่างมีความสุขมอบให้แก่นาง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
คนอย่างไป๋หลี่หาน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่า ฝ่าบาทแห่งตงหลี่กำลังคิดร้ายกำจัดเขาทิ้ง? เพราะว่าตัวเขาเตรียมการทุกอย่างมาไว้เรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้น เขาจะกล้าเดินทางไกลมาที่จักรวรรดิซีฉินพร้อมกับอีกฝ่ายได้อย่างไร?
เซียถงส่ายหัวไปมาเล็กน้อย และเดินกลับเข้าไปในโรงเตี้ยม ผ่านร้านอาหารชั้นหนึ่งขึ้นไปยังห้องพักโดยปราศจากผู้ใดตอแยอีกเลย เพราะหลังจากที่ฉิงหยุนกับหลีเหว่ย เห็นว่า ไป๋หลี่หานทำดีกับนาง พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่กล้ายั่วยุนางสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเลย ส่วนผู้เข้าร่วมงานประลองจากจักรวรรดิอื่นๆ ต่างได้เห็นภาพฉากการลงมืออันโหดเหี้ยมเลือดเย็นของเซียถงกันถ้วนหน้าแล้ว คงไม่มีใครโง่ไปก่อปัญหาให้นางฆ่าทิ้งแน่นอน จะมีก็เพียง ซื่อหู่กับซื่อเฉาที่เผยแสดงสีหน้ามืดทมิฬลงฉับพลันเมื่อได้เห็นนาง
งานประลองสี่จักรวรรดิกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งสนามต่อสู้ถูกจัดขึ้น ณ ใจกลางจัตุรัสซีเยว่ ตัวสนามทำขึ้นจากหินอ่อนคุณภาพสูง มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสมส่วน โดยมีอัฒจันทร์ที่นั่งล้อมรอบขนาบสี่ด้านขนาดกว้างใหญ่ เพราะนอกจากผู้คนจากสี่จักรวรรดิแล้ว ทางเมืองซีเยว่ก็ยังเปิดให้ผู้คนจากดินแดนเพื่อนบ้านน้อยใหญ่แห่กันเข้ามารับชมได้ตามอิสระ
ในส่วนของอัฒจันทร์ที่นั่งของผู้ชมเป็นแท่นสูงสีทองคำ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ล้วน และหากสังเกตบนสนามประลองให้ดี ตัวพื้นสนามมันถูกปูด้วยทองคำขาวมูลค่ามหาศาลตลอดความกว้างกว่าหลายร้อยจั้ง [1] ผู้ชมทุกคนทั่วทั้งสนามต่างอดตะลึงมิได้ พวกจักรวรรดิซีฉินหาใช่คนรวยธรรมดาทั่วไปเลยจริงๆ
เนื่องจากเป็นงานประลองสี่จักรวรรดิ ดังนั้นแต่ละจักรวรรดิจึงสามารถส่งผู้เข้าร่วมแข่งขันได้เพียงสามคน จะเท่ากับว่า มีสิบสองคนด้วยกัน สนามประลองมีเพียงแห่งเดียว และประลองสองนัดต่อหนึ่งวันเท่านั้น
องค์จักรพรรดิทั้งสี่จักรวรรดิต่างนั่งบนแท่นสูงอันทรงเกียรติ เพื่อรับชมงานประลองที่กำลังจะมาถึง เบื้องล่างของแต่ละคนจะเป็นผู้เข้าร่วมทั้งสามที่มาจากจักรวรรดิของตนนั่งอยู่ ส่วน ไป๋หลี่หาน เย่หลีเทียนและบรรดาขุนนางคนอื่นๆ ล้วนนั่งรับชมอยู่ข้างขอบสนามประลอง
กรรมการบนสนามประลอง เป็นชายอุปลักษณ์นิสัยเย็นชา มั่นคง ทุกฝีเท้าที่ย่างเหยียบขึ้นบนสนามช่างมั่นคงแกร่งกล้า ประกายตาเฉียบคมน่าเกรงขาม เพียงรัศมีแรงกดดันชั้นเบาบางที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างก็ทำเอาผู้ชมรอบสนามต่างตื่นตระหนกอยู่ในใจลึกๆ กล่าวได้ว่า จักรพรรดิแห่งซีฉินนี่ช่างหน้าใหญ่ใจกว้างเสียเหลือเกิน ไม่เพียงแค่ใช้ทองคำบริสุทธิ์และทองคำขาวปริมาณมหาศาลมารังสรรค์ก่อสร้างสนามประลองขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังลงทุนเชื้อเชิญยอดฝีมือระดับชั้นปรมาจารย์มาเป็นกรรมการอีกด้วย
และด้านข้างสนามประลองทั้งสี่ทิศ ยังมียอดฝีมือขอบเขตเสาหลักราชันย์ม่วงอีกหลายคนที่มีหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ เพื่อป้องกันมิให้คนนอกจากฝั่งผู้ชมหลุดเข้ามาสร้างปัญหาบนสนามประลองระหว่างแข่งขันได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นคนของจักรวรรดิซีฉิน
“จักรวรรดิซีฉินนี่ช่างทรงอำนาจอิทธิพลและมั่งคั่งเสียจริงๆ แค่สนามประลองยังถูกสร้างด้วยหินอ่อนคุณภาพเยี่ยม พร้อมกับทองคำขาวที่ปูทับเป็นพื้นให้เหยียบเล่น ศึกในปีนี้ลงทุนมิใช่น้อยเลย!”
คนที่กล่าวขึ้นก็คือ องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่น ถึงแม้อาการจะมิได้เย็นนัก แต่เขาก็ยังสวมเสื้อคลุมไหมทองสั่งตัดพิเศษจากอาณาจักรเป่ยฮั่นของตน มีผ้าคลุมหนังสัตว์อสูรบุด้วยเส้นขนนุ่ม ดวงตาเหลียวแหลมดูชั่วร้าย ลักษณ์ใบหน้าเป็นทรงสามเหลี่ยม เพียงมอบปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกฉลาดแกมโกง
“ฮ่าฮ่า จุดแข็งที่สุดของจักรวรรดิของข้าคือทองคำ กล่าวคือมีมากมายจนล้นมือ จึงไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี ดังนั้นจึงนำมาสร้างอัฒจันทร์กับสนามประลองเล่น”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินระเบิดหัวเราะ ตั้งแต่ที่เขาขึ้นสู่อำนาจ เขาก็เฝ้ารอคอยวันที่พวกองค์จักรพรรดิของสามจักรวรรดิที่เหลือสรรเสริญเลียแข้งขาอยู่นานแล้ว เขาสร้างสนามประลองทองคำล้วนแห่งนี้ก็เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ!
และพอได้ยินจักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นกล่าวออกมาเช่นนี้ เขาก็หัวเราะขึ้นทันทีอย่างมีความสุข ทุกถ้อยคำวาจาล้วนอัดแน่นไปด้วยความหยิ่งผยอง
ทันทีที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้ สีหน้าการแสดงออกขององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่กับองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เผยแสดงร่องรอยความรังเกียจส่องสะท้อนอยู่ในแววตาพวกเขาทั้งคู่
“นับวันจักรวรรดิซีฉินก็มีแต่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปกครองของท่าน ทั้งยังดูเรืองอำนาจกว่าเมื่อสี่ปีก่อนนัก”
องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงยิ้มตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
[1] 1จั้งเท่ากับ3.33เมตร