ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 262 ความขายหน้า
ตอนที่ 262 ความขายหน้า
ตอนที่ 262 ความขายหน้า
“จักรวรรดิซีฉินของข้าไม่เพียงร่ำรวยมั่งคั่งเท่านั้น แต่ยังได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหลางแห่งนี้ด้วย แต่จะว่าไปแล้ว…มิทราบว่าตอนนี้สถานการณ์ในตงหลี่เป็นเยี่ยงไรบ้าง? จักรพรรดิแห่งตงหลี่ ปีนี้มิใช่ว่าจะคว้าอันดับสุดท้ายกลับอีกแล้วกระมัง?”
เหลือบสายตามององค์จักรพรรดิเพียงคนเดียวที่นั่งเงียบอยู่กับมุมส่วนตัวของตนเอง องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินหันไปกล่าวกับองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่
ส่วนองค์จักรพรรดิอีกสองจักรวรรดิเองต่างชำเลืองสายตามองไปทางองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ สีหน้าแววตาเปี่ยมแววยิ้มเยาะดูแคลน
“ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วมิใช่รึที่จักรวรรดิตงหลี่อยู่ท้ายตาราง? ในคราวนี้เองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน”
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นหัวเราะเยาะกล่าวขึ้นคำหนึ่ง
“หากปีนี้ไม่ได้ครองอันดับสุดท้าย เกรงว่าจักรพรรดิแห่งตงหลี่พระองค์นี้คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ อันดับโหล่เป็นของคู่กับจักรวรรดิตงหลี่ตั้งแต่ไหนแต่ไร”
องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟยระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจเช่นกัน
“จักรพรรดิหน่านเฟิง ครั้งที่แล้วท่านเองก็อยู่อันดับรองโหล่มิใช่รึ? ไยมีสิ่งใดน่าภูมิใจนัก? ปีนี้ก็คงไม่ต่าง คว้าอันดับรองโหล่ไปกินอยู่ดี”
สีหน้าขององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่มืดทมิฬลงทันใด หากเป็นจักรพรรดิแห่งซีฉินหัวเราะเยาะเขายังพอทำเนา แต่องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟยมันมีสิทธิ์อะไร? หาใช่ว่างานประลองครั้งก่อนหน้า จักรวรรดิหน่านเฟิงได้อันดับรองโหล่ไปกินหรอกรึ? แล้วยังมีหน้ามาพูดจาดูถูกคนอื่น?
“รองโหล่ก็ยังดีกว่าที่โหล่แบบท่าน”
องค์จักรพรรดิหน่านเฟิงระเบิดหัวเราะเยาะไม่มีหยุดโดยง่าย
“แต่ปีนี้กลับไม่แน่ใจว่า ใครกันที่คว้าอันดับหนึ่ง”
องค์จักรพรรดิตงหลี่แสยะยิ้มเล็กน้อย ชำเลืองสายตาจับจ้องไปทางเซียถงที่อยู่ด้านล่าง ตัวเขามิได้ปรารถนาเป็นที่หนึ่ง ขอเพียงหาใช่ที่โหล่อีกเป็นพอ
“หึ พวกที่คว้าที่โหล่ทุกครั้งอย่างท่านไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอันดับหนึ่งให้เปลืองสมอง”
องค์จักรพรรดิหน่านเฟิงสบถวาจาคำเย็นชืด
“นี่เป็นงานประลองระหว่างจักรพรรดิทั้งสี่หรืออย่างไร? ตอนนี้พวกเรามาร่วมชมการต่อสู้กันดีกว่า”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินกล่าวขัดจังหวะทั้งสองคน พลางทอดสายตามองสนามประลองเบื้องหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
กรรมการที่ยืนอยู่บนสนามประลอง ป่าวประกาศการต่อสู้นัดแรกทันที จักรวรรดิเป่ยฮั่น ปะทะ จักรวรรดิตงหลี่
ทันทีที่สิ้นเสียงกรรมการขับขาน ชายร่างสูงผอมแห้งผู้นี้ก็กระโจนข้ามหลังองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่น ลงสู่สนามประลองเบื้องล่างโดยตรง คนๆ นั้นก็คือหลีโม่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยฮั่น บริเวณใบหน้าของเขามีรอยบากขนาดใหญ่เป็นทางยาว พร้อมกับรอยเย็บมากมายจนดูเหมือนกับตีบตะคาบเกาะอยู่ เหล่าผู้ชมโดยรอบอัฒจันทร์ที่ได้เห็น ต่างรู้สึกผวาหวาดกลัวกันเป็นอย่างยิ่ง
คล้อยหลังที่หลีโม่ปรากฏกายบนสนามประลอง ฉิงหยุนก็ไม่รอช้าก้าวย่างออกมายืนอยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ และกระโจนลงไปยังสนามประลองเบื้องล่างตามลำดับ แต่ไหนแต่ไร ฉิงหยุนผู้นี้เป็นบุรุษชายหล่อเหลา และยิ่งได้ยืนอยู่ต่อหน้าหลีโม่ผู้มีใบหน้าน่าเกลียด ก็บังเกิดการเปรียบเทียบขึ้นทันที ส่งผลให้ฉิงหยุนดูทรงสง่าราศีขึ้นไปใหญ่ ในขณะที่หลีโม่กลับยิ่งดูอัปลักษณ์เข้าไปอีก
“พวกจักรวรรดิเป่ยฮั่นมันหาคนหน้าตาดีกว่านี้ไม่ได้แล้วรึ? ส่งชายใบหน้าอัปลักษณ์ปานนี้ขึ้นสนาม นี่ทำทรมานสายตากันชัดๆ!”
ทันทีที่เห็นว่ารูปลักษณ์ของหลีโม่น่ารังเกียจเพียงใด องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ก็สบถด่าออกมาทันควัน สีหน้าแววตาบิดเบี้ยวดูน่าขยะแขยงอย่างมาก
“แค่หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อันใด? หากไม่มีพละกำลังแม้แต่จะยืนหยัด สุดท้ายก็กลายเป็นศพเน่าเปลือยน่ารังเกียจอยู่ดี แจกันน่ะ ถึงจะดูงดงามน่าดึงดูดสายตาเพียงใด แต่เมื่อตกแตกท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรน่ามอง”
องค์จักรพรรดิเป่ยฮั่นผู้สุขุม สูดหายใจเย็นก่นเสียงออกมาวาจาหนึ่งอย่างสงบนิ่ง
“หึ! ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะทำเป็นพูดจาอวดเก่ง! เช่นนั้นรอดูหลังจากนี้เถอะ!”
องค์จักรพรรดิตงหลี่กัดฟันกรอด สบถคำโตด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
“น้องชาย เช่นนั้นมาเริ่มกันเลยเถอะ”
ฉิงหยุนตระหนักดีว่า ตนเองดูดีกว่าหลีโม่คนนี้เยอะ ดังนั้นจึงตั้งตนเรียกตัวเองเป็นพี่ใหญ่ ประสานกำปั้นส่งให้เคียงรอยยิ้มแย้ม เพื่อแสดงความสง่าผ่าเผยของตนออกมา ทั้งยังจงใจทำเป็นสะบัดปอยผมบนหน้าผาก เผยเสน่ห์ความหล่อเหล่าน่าหลงใหล
หลีโม่เหลือบหางตาปรายมองฉิงหยุนอย่างไม่แยแสนัก ทั้งยังมิได้ปริปากกล่าวอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เพียงชักดาบเล่มหนึ่งออกมาจากฝักข้างเอว และเปิดฉากเข้าโจมตีฉิงหยุนทันที
ฉิงหยุนคิดไม่ถึงเลยว่า หลีโม่จะเริ่มเปิดฉากโหมโรงโดยไม่พูดไม่จากันเลยเช่นนี้ เขาเองก็รีบชักกกระบี่ขึ้นโบกสะบัดทักทายปะทะเจือสีหน้าสับสนเล็กน้อย
หนึ่งดาบหนึ่งกระบี่ประสานงาท้าชน ชายเสื้อคลุมยาวของทั้งสองโหมกระพือโบกสะบัด คลื่นกระแทกอัดอากาศกวาดล้างไปทั่วทั้งสนาม ผู้ชมทั้งหลายต่างตื่นตระหนกตกใจยิ่งยวด
องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่เหล่มองนักสู้ทั้งสองบนสนามประลอง สีหน้าการแสดงออกดูเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าฉิงหยุนกับหลีโมจะดูสัประยุทธ์กันอย่างสูสี ทว่าใครที่มีสายตาเฉียบคมมากพอ จะทราบทันทีว่า ฉิงหยุนในเวลานี้ตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบไปโดยปริยาย เผลอเปิดช่องโหว่ ปราการป้องกันลดต่ำลงอย่างมาก และมีโอกาสถูกเผด็จศึกได้ทุกเมื่อ
ส่วนเหตุผลที่หลีโม่ยังคงออมแรง เลี้ยงฉิงหยุนเอาไว้ ทั้งหมดคือการดูถูกคู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัดเจน
“หลีโม่ ไม่ต้องเล่นแล้ว จัดการมันทิ้งซะ!”
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นเปล่งเสียงตะโกนดังลั่น
หลีโม่ซึ่งอยู่ตรงนั้นพยักหน้าตอบโดยไว และทันใดนั้น เขาด็บิดข้อมือเบี่ยงวิถีคมดาบออกไปเพียงเล็กน้อย ก็ทำเอาฉิงหยุนที่กำลังโถมแรงปะทะเสียการทรงตัวฉับพลัน และเซล้มหัวคะมำลงกับพื้นโดยตรง แถมยังมีหยอกล้อ ยกดาบขึ้นตีก้นอีกฝ่ายไปอีกหนึ่งที
จากการกระทำดังกล่าว ส่งผลผู้ชนโดยรอบอัฒจันทร์พากันหัวเราะกันคิกคัก กระทั่งองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงเองก็ยังอดกุมท้องขำขันมิได้
“ฉิงหยุน! เลิกเล่นได้แล้ว! รีบกำจัดเจ้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์นั้นลงโดยเร็ว!”
องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ทนมองต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นจากที่นั่งพรวดตะโกนเสียงดังสนั่นด้วยความโกรธจัด หากพ่ายแพ้แบบปกติทั่วไป เขายังพอทนไหว แต่ต้องไม่ใช่ทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้!
ฉิงหยุนลุกขึ้นจากพื้นและกระหน่ำเพลงกระบี่เข้าฟาดฟันใส่หลีโม่ไม่ยั้งมือ ทว่าทุกกระบวนที่ร่ายรำเคลื่อนไหว หลีโม่ล้วนสามารถเลี่ยงหลบได้ด้วยท่วงท่าแสนชำนาญการ ภาพฉากในปัจจุบันราวกับว่าหลีโม่กำลังเล่นกับลิงน้อยอยู่ก็มิปาน เป็นเช่นนี้นานเข้า สีหน้าขององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ก็ยิ่งหมองหม่นจนดำคล่ำ
“อนิจจา พวกคนจากจักรวรรดิตงหลี่คงมีดีแค่เรื่องหน้าตา ทว่ากลับอ่อนแอไม่ได้เรื่อง! น่าเสียดายนัก! น่าเสียดายนัก! สงสัยปีนี้ได้ที่โหล่อีกตามเคยจริงๆ!”
ขณะนั้นเอง องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงก็กล่าวล้อเล่น ระบายยิ้มชื่นอย่างมีความสุข
“เช่นนั้นข้าจะคอยดูตอนที่พวกจักรวรรดิหน่านเฟิงลงสนาม! ขอดูเสียหน่อยว่า พวกนั้นจะมีดีอย่างที่ท่านปากเก่งนักหนาหรือไม่!”
องค์จักรพรรดิตงหลี่สบถตอบน้ำเสียงเย็นชาไปคำหนึ่ง สีหน้าในเวลานี้มืดหม่นราวกับก้นหม้อไหม้เกรียม
ขณะที่กำลังเอ่ยกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า ท่าร่างเคลื่อนไหวของหลีโม่เริ่มแปรเปลี่ยนไป คมดาบในมือเริ่มพัลวันร่ายรำเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนก่อเกิดเป็นเงาคมดาบนับหลายสิบสาย ทั้งยังชักนำกระแสลมแรงโหมกระหน่ำไร้สิ้นสุดตีล้อมกรอบฉิงหยุน ทางด้านฉิงหยุนเองที่ถูกเงาดาบคลั่งเข้าปิดล้อม พลันรู้สึกระสับระส่ายตื่นตูมสุดขีด รีบเร่งโบกสะบัดคมกระบี่เข้าปะทะ หวังจะสะบั้นเงาดาบเหล่านั้นให้แตกสลายสิ้นสูญ
แต่ทันใดนั้นเอง เงาดาบหลายสิบสายก็อันตรธายหายวับไป กระแสลมแรงอ่อนกำลังลงตามลำดับ จะเหลือก็เพียงใบดาบสีเย็นยะเยือกที่ลุจ่ออยู่ที่คอหอยของฉิงหยุน เขาที่เพิ่งรู้สึกฟื้นตัวถึงกับตื่นใจอย่างยิ่ง เหงื่อเย็นเอ่อชุ่มทั่วหน้าผาก ชำเลืองสายตามองไปทางหลีโม่ ใบหน้าซีดเผือดถึงขีดสุด และสิ่งเดียวที่มองเห็นจากอีกฝ่ายก็คือ แววตาที่ไร้อารมณ์ปราศจากความรู้สึกใดๆ
ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะเยาะลั่นสั่นดังมาจากบนอัฒจันทร์ผู้ชมโดยรอบ ทุกเสียงหัวเราะขำขันดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง ฉิงหยุนรู้สึกงุนงงอย่างยิ่งว่าเกิดอะไรขึ้น? ผู้ชมพวกนี้มันหัวเราะอะไรกัน? และในขณะเดียวกัน เขาก็ค่อยๆ กดสายตาจับจ้องไปที่หลีโม่อย่างว่างเปล่า