ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 264 ทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น
ตอนที่ 264 ทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น
ตอนที่ 264 ทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินวางถ้วยน้ำชาในมือลง ระบายยิ้มบางส่งมอบ
“ตระหนักจุดยืนของตัวเองนับเป็นเรื่องดี นัดประลองในวันนี้ได้จบลงแล้ว พรุ่งนี้พวกเราค่อยมารับชมใหม่”
ท้ายที่สุเนี้ เขาก็เดินจากออกไปพร้อมกับบรรดากลุ่มคนที่พวงหลังติดสอย ท่ามกลางสายตาอันเปี่ยมล้นไปด้วยความขุ่นแค้นของสามองค์จักรพรรดิที่เหลือ จากนั้นพวกเขาก็หันมองหน้ากันเล็กน้อย และค่อยลุกแยกย้ายจากไป
“เซียถง ข้ามิได้ต้องการอันดับหนึ่ง ขอเพียงหาใช่ที่โหล่เป็นพอ”
ก่อนจากออกไป องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่หันมากล่าวกับเซียถง
เซียถงพยักหน้าตอบ เพราะนางมั่นใจอย่างมากว่า ตนไม่มีทางเป็นที่โหล่ท้ายตารางแน่นอน เห็นนางดังนั้น องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ก็พยักหน้าตอบด้วยความพึงพอใจ และเดินทางจากออกไปพร้อมกับไป๋หลี่หานและเย่หลีเทียนที่คอยติดตาม ซึ่งก่อนลาจาก ทั้งไป๋หลี่หานและเย่หลีเทียนต่างชำเลืองสายตาเข้าสบปะทะกับเซียถงโดยพร้อมเพรียงเวลาเดียวกัน
เซียถงเดินทางกลับเข้าโรงเตี้ยมไม่มีแวะพักจุดอื่นใด กระโดดขึ้นเตียงเตรียมตัวขัดสมาธิกำลังเริ่มบำเพ็ญตบะ จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดัง เหลือบสายตามองเจือแววหน่ายใจเล็กน้อย และเมื่อเดินออกไปเปิดประตูก็พบกับชายรูปหล่อ ส่งยิ้มหวานแววตาทรงเสน่ห์มอบให้แก่นาง
ทรงจมูกโค้งได้ทรงงาม ริมฝีปากชุ่มฉ่ำดูนุ่มนวล ความหล่อเหลาที่ชายคนนี้ครอบครองล้วนต้องทำให้บุรุษชายทั่วพิภพต้องอิจฉา โดยเฉพาะกับรอยยิ้มอันสง่างามประดุจกุหลาบที่เบ่งบานท่ามกลางสวนสวรรค์ กล่าวได้ว่าทั้งดูงดงามและหล่อเหลาในทุกอิริยาบถ
เซียถงประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะอุทานขึ้นคำหนึ่งว่า
“หลัวซี?”
“มิได้พบกันเสียนาน!”
ทั่วใบหหน้าหลัวซีผู้นี้ประดับประดารอยยิ้มแย้มล้นปรี่ เอนกายพิงพักอยู่ตรงกรอบประตู เสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ที่ห่มเรือนร่างของเขายิ่งเสริมความหล่อเหลาของเขาเป็นเท่าทวี
เซียถงพยักหน้าตอบเล็กน้อย นางมิทราบว่าควรพูดอะไรอยู่ชั่วครู่ กวาดสายตามองหลัวซีพยายามคิดหาบทสนทนาทักทาม แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จักปริปากพูดอะไรออกไปดี
แลเห็นปฏิกิริยาท่าทางที่ดูตกใจของเซียถง จู่ๆ หลัวซีก็เอื้อมมือออกไปจับแขนของนาง และกล่าวขึ้นว่า
“มานี่เร็ว! ข้าอยากพอเจ้าไปที่ที่หนึ่ง!”
ไม่ว่าเซียถงจะตอบตกลงหรือไม่ก็ตาม ทว่าเขากลับดึงแขนฉุดร่างของนางวิ่งตรงไปทางบันไดเสียแล้ว และทันทีที่ถึงตัวบันได ทันใดนั้นก็มีกลีบบุปผาสีชมพูอ่อนโปรยปราย ร่อนเหินกลางอากาศ ก่อนจะร่วงตกบนพื้นอย่างแช่มช้า
บุปผาปริดโปรย สายพิรุณหลากสีสัน ร่างอันงดงามทั้งสองเหาะเหินลงมากลางอากาศภายใต้กลีปบุปผาชมพูเหล่านั้น และนี่กลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคนที่อยู่ในร้านอาหารชั้นหนึ่งทันควัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังหลัวซีที่กำลังยิ้มให้เซียถง และความหล่อเหลาดังกล่าวนี้ ทำเอาบรรดาหญิงสาวทั้งหลายร้องกรีดอย่าบ้าคลั่ง
เซียถงกวาดสายตามองกลีปกุหลาบโปรยปรายรอบกายเคียงคู่รอยยิ้มสวยใสไร้เดียงสา ความคิดก่อนหน้าที่ว่า ต้องการจะปฏิเสธอีกฝ่าย นางถึงกับเมินผ่านไปชั่วขณะ ปล่อยให้หลัวซีพาตัวนางออกไปทั้งแบบนั้น ภายใต้สายตาอันน่าประหลาดใจของทุกคน พวกเขาก็เหาะทะยานออกจากประตูโรงเตี้ยมไป หลัวซีกับเซียถงกระโดดขึ้นหลังม้าสีขาวตันหนึ่ง และควบทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ทักษะในการควบคุมม้าของหลัวซีจะถูกจัดอยู่ในระดับดีมาก แต่ท่ามกลางตัวเมืองที่พลุกพล่านปานนี้ ก็มีบางช่วงที่ม้าขาวต้องชะลอฝีเท้าลงบาง อย่างไรเสีย ตลอดเส้นทางก็เคลื่อนขับผ่านออกไปได้อย่างราบรื่นง่ายดาย ทั้งยังมีกลีปบุปผาโปรยปรายลงมาตั้งแต่ต้นจนจบ
ภาพฉากที่หลัวซีกำลังควบขี่บนหลังม้าอาชาขาว มันได้ดึงดูดความสนใจของบรรดาหญิงสาวนับไม่ถ้วนทั่วเมือง ปล่อยทิ้งให้เซียถงรับกรรม โดนสายตาอันหึงหวงไม่พอใจของพวกนางทั้งหลายจับจ้องไม่คลายอ่อน
“หลัวซี นี่เจ้ากำลังทำให้ข้าเป็นศัตรูของหญิงสาวทุกนางในเมือง!”
เซียถงเหล่สายตามองค้อนใส่หลัวซีอย่างช่วยไม่ได้ สายลมที่ปลิดปลิว พัดเอาปอยผมยาวบนหน้าผากของอีกฝ่ายว่อนไสว
“ข้าเพียงอยากให้พวกนางได้รู้ว่า ถึงแม้เจ้าจะมิได้งดงาม แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่ต่างจากคนอื่น และได้รับความรักจากคนรูปหล่ออย่างข้าเป็นเช่นกัน”
หลัวซีหันมากล่าวกับนางที่นั่งท้าย หลังจากที่เขาได้ข่าวว่า เซียถงถูกคนในเมืองซีเยว่หัวเราะเย้ยเรื่องหน้าตาในโรงเตี้ยมวันนั้น เขาจึงตั้งใจจะพานางออกมาด้วยกันในวันนี้ หวังลบล้างคำสบประมาทที่นางต้องประสบเจอ
ระหว่างบทสนทนานั้นเอง เขาก็ควบม้าออกนอกเมืองซีเยว่ไป เบื้องหน้าปรากฏเป็นที่ราบกว้างต่อหน้าต่อตาเซียถง บนพื้นถูกปูด้วยผืนหญ้าเขียวขจีขนาดใหญ่ และยังมีดอกไม้ป่าหลากสีสันจำนวนเกินคนานับผลิบานอยู่ทั่วไปหมด ทั้งสีแดง เหลือง ขาว กระทั่งม่วงล้วนครบจบ ช่างเป็นภาพฉากที่มีสีสันเหลือเกิน
“นี่แห่งนี้สวยหรือไม่?”
หลัวซีเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง ทอดสายตากว้างไพศาล เชยชมมหาสมุทรบุปผาหลากสีตรงหน้า
เซียถงกวาดสายตามอง เหลือบไปทางฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ยังจับแขนนางไม่ปล่อยจวบจนตอนนี้ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยปากสะกิดอีกฝ่ายขึ้นว่า
“ปล่อยมือได้แล้วกระมัง?”
หลัวซีหันมาชำเลืองมองพร้อมระบายยิ้มหวานให้เล็กน้อย คลายมือของตนออกแล้วกล่าวว่า
“ตอนนี้ข้าอยากพาเจ้าออกมาสูดอากาศข้างนอกสักเล็กน้อย หาได้คิดล่วงละเมิดเกินเลยอื่นใด ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด”
เซียงกระโดดลงจากหลังม้า ก้าวย่างตรงออกไปข้างหน้าเพื่อชื่นชมสุนทรียภาพความงดงามของมหาสมุทรบุปผาเบื้องหน้า ละหันมาจับจ้องบุรุษรูปงามผู้มีรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์บนหลังม้า นางกล่าวขึ้นว่า
“ไม่เลย ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเสียด้วยซ้ำ”
หลัวซีคนนี้แตกต่างจากไป๋หลี่หาน เขาเปรียบเสมือนมณีเพชรเม็ดหนึ่งที่ใส่บริสุทธิ์ ปราศจากเจตนาแฝงอื่นใด จึงส่งผลให้เซียถงคลายกำแพงชั้นหนาที่ป้องกันตนเองจากคนภายนอกลง ถึงไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้? แต่บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเขา ทำให้นางรู้สึกโล่งใจเมื่อได้อยู่ด้วย
“เพราะเห็นว่า เจ้าเองก็ร่วมประลองในงานชุมนุมลมปราณครั้นล่าสุดในตงหลี่ ก็พลันคิดไปเองว่า เจ้าคือคนของตงหลี่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่า อันที่จริงแล้วเจ้าเป็นคนจากหน่านเฟิง”
ถึงเซียถงกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในใจนางกำลังระดมความคิดอย่างหนัก ว่าจะขอยืมเพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่เหลือมาจากหลัวซีได้อย่างไร
“ก็ไม่เชิง ข้ามิได้เกิดและเติบโตที่หน่านเฟิง แต่มีเชื้อพระวงศ์บางคนในจักรวรรดิหน่านเฟิงมีสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับหนึ่งในผู้อาวุโสในตระกูลของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้ในนามของจักรวรรดิหน่านเฟิง”
หลัวซีกล่าวอธิบาย
“โอ้? แต่จะว่าไปแล้ว งานชุมนุมลมปราณในตงหลี่ครั้งนั้น ที่เจ้าเข้าร่วมเพราะต้องการเห็ดหลินจือมรกตกระมัง? จะเอาไปรักษใครงั้นรึ?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง หากอีกฝ่ายมีคนที่ต้องการจะรักษา บางทีนางอาจจะหาทางช่วยเหลือได้
“ข้าเองก็มิทราบ เพราะได้รับคำสั่งผู้อาวุโสในตระกูลให้ต้องนำมันมาก็เท่านั้น เซียถง เจ้าเองก็เป็นทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้นด้วยกระมัง?”
หลัวซียิงคำถามใส่เซียถงต่อทันที
ได้ยินเช่นนั้น เซียถงพลันชะงักลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับไปในที่สุด เพราะในเวลานี้นางไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวตนในฐานะทายาทของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้นอีกต่อไปแล้ว ไม่สิ…นางไม่สามารถซ่อนได้อีกต่อไปแล้วต่างหาก