ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 267 ล้อมกรอบ (1)
ตอนที่267 ล้อมกรอบ (1)
ตอนที่267 ล้อมกรอบ (1)
“จี๋จี๋ เจ้าอยากไปกับข้าไหม?”
เซียถงเอ่ยถามน้ำเสียงบีบเล็ก ลูบไล้อุ้งเท้าปุกปุยของจี๋จี๋
จี๋จี๋พยักหน้างึกงักโดยไว โบกหางนุ่มนิ่มสะบัดไปมา กระโดดขึ้นเกาะบนหัวไหลและแลบลิ้นสีอมชมพูขึ้นเลียแก้มของนางไม่หยุด ส่งเสียงก่นร้องออดอ้อน
เซียถงหัวเราะคิกคักสนุกสนาน คว้าร่างน้อยๆ ของจี๋จี๋ขึ้นประคองบนฝ่ามือ จ้องมองตาบ้องแบ๊วของมันและกล่าวขึ้นว่า
“จี๋จี๋ หากเจ้าอยากจะติดตามข้าต่อไปในอนาคต ห้ามเลียหน้าข้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าใจหรือไม่?”
จี๋จี๋ตัวน้อยดูท่าจะดื้อมิใช่ย่อย
จี๋จี๋พยักหน้าตอบอีกครา จากนั้นก็เก็บอุ้งเท้าสี่ข้างกลิ้งไปมาบนฝ่ามือของนางราวกับก้อนขนปุยนุ่นอย่างสนุกสนาน เซียถงหันมากล่าวกับหลัวซีสีหน้ายิ้มแย้มว่า
“ขอบคุณเจ้ามาก เช่นนั้นขอรับจี๋จี๋ไปดูแลต่อ”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณกันเลย จี๋จี๋เต็มใจติดตามเจ้าไปเองต่างหาก และข้าเองก็ไม่ค่อยเหมาะกับการเลี้ยงสัตว์เท่าไหร่อยู่แล้ว ยิ่งเป็นเจ้าจี๋จี๋ที่เป็นสัตว์อสูรที่ค่อนข้างพิเศษ ตัวข้ามิสามารถควบคุมมันได้เช่นกัน”
หลัวซีลุกขึ้นยืดเหยียดแผ่นหลัง บิดขี้เกียจเสียงกระดูกเสียดลั่นดังกร๊อบแกร๊บ หันมากล่าวกับเซียถงประโยคหนึ่ง
ดวงตะวันจวนลับเส้นขอบฟ้าเต็มทน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้เวลานั่งเล่นอยู่ในมหาสมุทรบุปผานานเกินไปแล้ว
ท่ามกลางสายลมยามเย็น เซียถงทอดสายตามองเจ้าม้าอาชาสีขาวที่กำลังริมแทะหญ้าอยู่เคียงข้าง นางกล่าวว่า
“หลัวซี ข้าต้องกลับแล้ว พุ่งนี้ข้ามีนัดต่อสู้ เช่นนั้นจำต้องกลับไปเตรียมตัวให้จงดี”
“ไม่ต้องกังวล เจ้าทำให้เต็มที่ก็พอ ส่วนเรื่องหลินเฟย ข้าจะหยุดมันเอง!”
หลัวซียกมือเท้าสะเอวมองเจ้าจี๋จี๋ที่กลายเป็นก้อนขนปุกปุยเกลือกกลิ้งอยู่บนฝ่ามือของเซียถง สายตาที่มองยังเจือผสมแววอาลัยอาวรณ์
ขณะเซียถงกำลังจะปริปากกล่าวถึงเรื่องนี้ ทว่านางกลับถูกหลัวซียกมือหยุดเอาไว้เสียก่อน เห็นดังนั้นนางก็เข้าใจว่า ถึงจะเต็มใจยกให้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอาลัยคิดถึง คงต้องใช้เวลาปรับกันสักหน่อย นางส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้ากล่าวกับอีกฝ่ายว่า
“เช่นนั้นระวังตัวด้วย อย่าฝืนจนถึงขั้นชีวิต”
“เจ้าควบม้ากลับไปได้เลย ข้ายังมีธุระที่ต้องทำแถวนี้อีกสักหน่อย คงกลับเข้าเมืองพร้อมเจ้าตอนนี้มิได้”
กล่าวจบ หลัวซีก็ถอดสายตามองไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรบุปผา หากสังเกตให้ดีจะมีเงาร่างสีแดงจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ ณ จุดนั้น
เซียถงพยักหน้าตอบเชิงว่าเข้าใจแล้ว แต่พอเหลือบสายตามองเจ้าจี๋จี๋บนฝ่ามือ นางก็อดถามเจ้าตัวน้อยมิได้ว่า
“จี๋จี๋ คิดจะตามข้ากลับไปจริงๆ งั้นรึ?”
เจ้าจี๋จี๋เงยหน้าชูขึ้นและผงกศีรษะอย่างแรง
เซียถงนำร่างปุกปุยของจี๋จี๋มาสวมกอดไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็กระโดดควบม้าอาชาขาวตนหนึ่งและทะยานออกไปทันที แลสายตามองย้อนกลับไป ก็เห็นหลัวซีที่กำลังยืนส่งนางภายใต้แสงตะวันยามอัสดง สายลมโชยอ่อนยามเย็นโบกสะบัดพัดผ่าน ปอยผมสีดำขลับอ่อนนุ่มปลิดปลิว คู่คิ้วและแววตาดูยิ้มแย้มทรงสง่าราศี พินิจมองดูแล้ว ราวกับเป็นภาพฉากน้ำหมึกจีนโบราณที่งดงามชิ้นหนึ่ง
หลัวซียังคงยืนส่งนางอยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มหวานทั้งยังโบกมือให้กันเบาๆ แต่ทันใดนั้นเอง เซียถงก็พลันได้ยินเสียงร้องจิ๊ดจิ๊ดดังขึ้นในอ้อมกอด อุ้งเท้าส่วนหน้าข้างขวาของเจ้าจี๋จี๋คล้ายว่ากำลังยกขึ้นโบกร่ำลา ส่วนอุ้งเท้าส่วนหน้าข้างซ้ายยกขึ้นขยี้บริเวณหางตาเป็นครั้งคราว
“จี๋จี๋ หากเจ้าไม่อยากไปกับข้า ก็กลับไปหาหลัวซีก็ได้”
แลเห็นดังนั้น เซียถงก็เอ่ยปากกล่าวกับจี๋จี๋
เจ้าจี๋จี๋ยังคงหมกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเซียถง ส่งเสียงร้องแหลมพลางยกอุ้มเท้าขึ้นเกาแขนเสื้อไปมา เงยหน้าส่งสายตาบ้องแบ๊วเงยมองนาง คล้ายกับว่ากำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ประมาณว่าถึงจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากกลับไป
เซียถงระบายยิ้มตอบบางๆ ให้ จากนั้นก็สะบัดแส้ควบม้ามุ่งหน้ากลับสู่เมืองซีเยว่
เมื่อกลับเข้ามาในร้านอาหารของโรงเตี้ยม ก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว สืบเท้าก้าวเข้ามาได้สักพักกำลังจะเดินขึ้นบันไดกลับห้อง ก็เป็นชิงเยวี่ยที่เดินมาหาและเอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณหนูเซียไปไหนมารึ? ท่านราชาหมาป่าสวรรค์เพิ่งตามหาตัวท่านก่อนหน้านี้ไม่นาน”
ไป๋หลี่หานกำลังตามหานาง?
เซียถงมองไปทางชิงเยวี่ยขณะกำลังจะเอ่ยปากตอบ ก็สังเกตเห็นว่า ชิงเยวี่ยกำลังชะโงกศีรษะกวาดมองรอบข้างตัวนางอยู่ เห็นดังนั้นจึงเข้าใจได้ทันที ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังมองหาหลัวซีอยู่ ดังนั้นนางจึงกล่าวตอบอย่างรู้ทันว่า
“หลัวซีไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วราชาหมาป่าสวรรค์ตามหาข้าเพราะเหตุอันใด?”
“โอ้ อีกฝ่ายแจ้งเพียงว่า รอคุณหนูเซียอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำซีเยว่ในเวลายามหนึ่ง มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับตัวท่าน”
ชิงเยวี่ยเพ่งสายตามองสีหน้าอันไม่แยแสของเซียถง เจาะลึกลงไปในแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ดูท่าแล้วชิงเยวี่ยคนนี้คงสงสัยมิใช่น้อยว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไป๋หลี่หานถึงเรียกเซียถงไปนัดเจอกันที่ริมฝั่งแม่น้ำซีเยว่ในยามวิกาลเช่นนี้?
“ขอบคุณที่แจ้งนายท่านชิงเยวี่ย ข้าเข้าใจแล้ว”
เซียถงพยักหน้าให้อีกฝ่ายไป พลางคิดกับตัวเองไปว่า ไป๋หลี่หานเรียกนางไปพบเพราะมีเหตุอันใดกัน?
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้นเอง นางก็ตรงออกไปเตรียมขี้นบันไดไปชั้นบน แต่พอเดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง นางกลับรู้สึกว่า สายตาของชิงเยวี่ยยังคงจับจ้องมาทางนางไม่คลายอ่อนลงเลย เช่นนั้นจึงหันไปเอ่ยกับอีกฝ่ายขึ้นว่า
“มีอะไรรึเปล่าท่าน?”
ชิงเยวี่ยเพียงส่ายหัวตอบเล็กน้อย ยิ้มกล่าวแค่ว่า
“ไม่มีอะไรคุณหนูเซีย เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวลา”
กล่าวจบ เขาก็ละสายตาหมุนตัวกลับออกไป
เซียถงเหลียวหลังกลับมา และตรงเข้าห้องพักของนางไป สักครู่หนึ่งไม่นานนักอวี๋เอ๋อร์ก็เคาะประตูเรียกมาส่งอาหารมื้อค่ำให้และขอตัว เจ้าจี๋จี๋กระโดดจากอ้อมแขนเซียถงออกมา ปีนป่ายขึ้นโต๊ะอาหาร กลิ้งเกลือกไปมาอยู่บนขามข้าวใบหนึ่ง ส่วนศีรษะฝังอยู่ในข้าว เผยให้เห็นก้นน้อยๆ ของมันที่ชูชันขึ้นสูง พร้อมกับหางสีแดงอันปุกปุยของมันที่แกว่งไปมา
“จี๋จี๋ เจ้าจะกินข้าวด้วยหรือไม่?”
เซียถงยกมือขึ้นป้องหางสีแดงปุกปุยของมันมิให้แกว่งไปโดนชามผักและเนื้อที่ตั้งอยู่เคียงข้าง
จี๋จี๋เงยหน้าโผล่ศีรษะขึ้นมาจากชามข้าวพูนขาว ผงกหัวที่มีเม็ดข้าวติดอยู่ทั่วงึกงักเป็นคำตอบ คล้อยหลังจากนั้นก็ค่อยมุดศีรษะเข้าไปในชามข้าวดังเดิม บั้นท้ายน้อยๆ ของมันสะบัดไปมา กินข้าวในชามอย่างหิวกระหาย สักพักต่อมาข้าวภายในนั้นก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือ
ยกอุ้งเท้าน้อยๆ ขึ้นปาดเช็ดเม็ดข้าวที่เปรอะเปื้อนบนหน้าขนปุกปุยของมัน จากนั้นจี๋จ็ก็ลากเจ้าท้องกลมป๋องของมัน คลานเข้าไปยังชามผักและเนื้ออื่นๆ ต่อไป แลบลิ้มสีอมชมพูดขึ้นกวาดล้างกำจัดอาหารบนชามเหล่านั้นจนไม่เหลือ ม้วนตวัดใบผักและชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างชำนาญ ความเร็วในการเขมือบกินราวกับพายุท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วงก็มิเกินจริงเลย
ผ่านไปอีกสักพัก ทั้งชามผักและชามเนื้อที่เหลือก็หมดเกลี้ยงว่างเปล่า จี๋จี๋ยกอุ้งเท้าขึ้นเช็ดปากอีกครา ตบหน้าท้องอันอ้วนกลมเบาๆ นอนหงายอยู่บนโต๊ะอย่างสบายใจ
“อิ่มแล้วกระมัง? หากทานมากกว่านี้ เกรงว่าได้ท้องแตกตายเป็นแน่”
เซียถงคว้าหางของมันจับยกขึ้นมา ได้ยินส่งเสียงร้องจิ๊ดจิ๊ดก็วางมันลงบนเตียงและกล่าวว่า
“ไปนอนซะ”
ร่างอันอ้วนพลี่ของมันกลิ้งหันไปทางโต๊ะอาหารดูท่าอยากจะกินเพิ่มอีกสักหน่อย แต่พอได้ยินเซียถงออกคำสั่งเช่นนี้ มันก็ปั้นหน้ามุ่ย และแลบลิ้นใส่นางอีกทีอย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะพลิกร่างกลับขดตัวเข้านอนไป