ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 269 ทะลวงชั้นลมปราณ (1)
ตอนที่269 ทะลวงชั้นลมปราณ (1)
ตอนที่269 ทะลวงชั้นลมปราณ (1)
แลเห็นพลังฝ่ามือลมปราณสามสายซัดกระแทกอัดใส่ จู่ๆ เจ้าจี๋จี๋ที่เกาะอยู่บนหัวไหลของเซียถงก็กรีดร้องเสียงดังลั่น คลื่นเสียงกังวานแผ่ขยายไร้ขอบเขต เข้าปะทะชนกับพลังลมปราณทั้งสามสายกลางเวหาอย่างแรง เพียงแรกสัมผัสเดียว พลังฝ่ามือลมปราณสุดบ้าคลั่งเหล่านั้นพลันอันตรธานดับสูญในชั่วพริบตา จี๋จี๋อ่อนเพลียสุดขีดจนมิอาจยึดเกาะบนไหล่นางได้อีกต่อไป ร่างน้อยๆ ของมันดิ่งพสุธาร่วงกลางอากาศลงมา และกระแทกกับพื้นดินเสียงดัง นอนแผ่กายราบอยู่แบบนั้น กางมือกางขาอ้าซ่า โดยมิอาจทราบได้เลยว่ามันยังอยู่เหรือตายไปแล้ว
คลื่นพลังฝ่ามือลมปราณอันทรงพลานุภาพทำลายล้างทั้งสามสาย ทั้งหมดล้วนถูกสลายไปโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น ชายทั้งสามถึงกับตะลึงงันไปชั่วขระที่ได้เห็นภาพฉากอันน่าเชื่อนี้ ในเวลาเดียวกัน คมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเซียถงทะลวงเวหาฉีกอากาศ พุ่งเข้าแทงใส่หนึ่งในชายที่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วเต็มพิกัด หนึ่งคมเจาะทะลวงพลาดเป้า ทว่านี่เพิ่งโหมโรงเปิดฉากเท่านั้น พอเซียถงร่อนถึงภาคพื้นก็ร่ายกระหน่ำคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าพัลวันใส่ไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ชายคนนั้นจะสามารถเลี่ยงหลบได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท้ายที่สุดก็พลาดท่า ถูกคลื่นพลังจันทร์เสี้ยวกระบี่ของเซียถงฟันเข้าบริเวณท่อนแขนจนเกิดบาดแผล
“ช่างเป็นคมกระบี่ที่เยี่ยมยอดนัก”
ชายคนนั้นอุทานขึ้นหนึ่งคำ พลางชำเลืองมองกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเซียถง
“เซียถง เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?!”
ไป๋หลี่หานทะยานข้ามหัวทั้งสามฝ่าวงล้อมออกมา ร่อนยืนอยู่เคียงข้างเซียถง เมื่อสายตาคู่สวยของหญิงสาวเข้าปะทะสบกัน คลื่นลูกใหญ่หลากระลอกที่พัดผ่านในดวงตาคู่ล้ำลึกของเขาก็คล้ายจะเริ่มสงบลง จากสายตาที่ดูน่ากลัวกลายเป็นประกายเปล่งแสงระยิบระยับอย่างมีความสุข
ระหว่างที่รอนัดพบเซียถงอยู่ที่ริมฝั่งทะเลสาบซีเยว่ ตัวเขาก็ถูกกลุ่มชายนิรนามทั้งสามเปิดฉากโจมตี และไป๋หลี่หานกลัวว่า ตนจะเผลอลากเซียถงเข้าพัวพันกับเรื่องอันตรายเฉกเช่นนี้ ก็เลยล่อทั้งสามลากออกมาให้ห่างไกลจากจุดนัดพบกับนางที่สุด ทว่าใครจะไปคาดคิดกัน นางก็ยังอุตส่าห์มาเจอเขาถึงที่นี่อีก!
ถึงแม้ว่าเขาไม่ต้องการลากตัวนางมาเสี่ยงเพียงใด แต่เพราะอะไรไม่ทราบ ยามได้เห็นนางในเวลานี้กลับทำให้หัวใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอันไม่รู้จบ
ห่างออกไปเพียงหนึ่งถึงสองช่วงตัว เซียถงมองเห็นสายตาที่จับจ้องเข้ามาของไป๋หลี่หานที่เปี่ยมล้นประกายความสุขอย่างชัดเจน จะอย่างไรก็ดี แววตาอันสดใสวิบวับปานนี้ก็ทำเอานางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แอบก้าวถอยหลังออกห่างอย่างอดมิได้ ก่อนจะหันไปมองเจ้าจี๋จี๋ที่นอนหมดสภาพแผ่ร่างน้อยๆ อยู่บนพื้น
ทว่ายังไม่ทันได้ยื่นเหยียดมือไปรับ นางกลับโดนคลื่นลมปราณอันแกร่งกล้าสามสายเข้าขัดขวางไว้เสียก่อน และกลายเป็นชายสามคนนั้นแทนที่เอื้อมมือไปคว้าจับเจ้าจี๋จี๋อุ้มขึ้นมาจากพื้น หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ที่เซียถงจะสามารถฝ่าคลื่นลมปราณอันแกร่งกล้าพิสดารของสามคนนี้ได้
ชายคนหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งสาม คว้าร่างน้อยของเจ้าจี๋จี๋ขึ้นมาไว้ในมือต่อหน้า ยกขึ้นพินิจมองใกล้ชิดอย่างละเอียด เห็นว่าจี๋จี๋มีลักษณ์หน้าตาคล้ายกับสุนัจจิ้งจอก ทว่าขนาดตัวของมันกลับเล็กกว่าสุนัขจิ้งจอกทั่วไปหลายเท่า ทำเอาตัวเขาอดสงสัยมิได้เลยว่า สรุปแล้วเจ้าก้อนขนตัวนี้มันคืออะไรกัน? เขาไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
ทันใดนั้นเอง เจ้าจี๋จี๋ก็ลืมตาตื่นขึ้นฉับพลัน อ้าปากฉีกจนสุดและจมเขี้ยวน้อยๆ ฝังเข้าใส่เรียวนิ้วของชายคนนั้นสุดแรงเกิด ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตระหนกตกใจหนือเจ็บปวดก็ดี ส่งผลให้เขาเผลอคลายมือเปิดออกกะทันหัน สบโอกาสให้ร่างเล็กจิ๋วของจี๋จี๋กระโดดหนีออกมาได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่นั้น ก่อนลาจาก มันยังกางกรงเล็บแหลมที่ซุกซ่อนอยู่ในอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันขึ้นขวนใบหน้าของเขาหลายแผลจนเลือดไหลซิบออกมา จากนั้นค่อยกระโจนขึ้นเกาะไหล่ของเซียถงดังเดิม แถมยังส่งเสียงร้องเรียกราวกับว่ากำลังขอคำชมจากนาง
ภาพฉากเมื่อครู่มันเกิดขึ้นเร็วมากและเร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำ ทุกกระบวนเคลื่อนไหวของจี๋จี๋ มันเกิดขึ้นภายในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น กล่าวว่า เซียถงแค่กะพริบตาหนึ่งทีมันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนไหล่ของนางเสียแล้ว
ความเร็วระดับเทพพระเจ้านี่มันบ้าอะไรกัน? เร็วจนมองไม่ทัน!
“จี๋จี๋ ทำได้ดีมาก!”
เซียถงอดใจเอ่ยปากชมมันมิได้จริงๆ ส่วนเจ้าจี๋จี๋ที่ได้ยินแบบนั้นก็กระโดดโหยงเหยงไปมาบนไหล่ของนาง สีหน้าดูมีความสุข
“เหอะ เหอะ กับแค่สาวน้อยนางหนึ่งที่อยู่เพียงขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลาง ไป๋หลี่หาน นางไม่มีทางช่วยเจ้ารอดพ้นคืนนี้ได้แน่!”
ชายผู้นำกลุ่มกล่าวขึ้นคำหนึ่งและหันคมกระบี่ชี้ไปที่ไป๋หลี่หาน ขณะเอ่ยปากข่มขู่อยู่นั้น เจ้าตัวก็เหลือบสายตาไปเห็นคมเข็มเงินเล่มจิ๋วปักอยู่ที่บริเวณสีข้างบนร่าง เขาถึงกับย่นคิ้วขมวดขึ้นแน่นหนา หันไปทางเซียถงพร้อมสบถขึ้นว่า
“นังนี่! เจ้ากล้าดีเยี่ยงไรมาใช้เข็มเงินอาบพิษใส่ข้า!?”
“หึ! ก็รู้ทั้งรู้ว่าสักวันต้องสู้กับคนระดับพวกเจ้า ก็จำเป็นตระเตรียมเข็มพิษเพื่อการนี้แหละ!”
เซียถงยักไหล่ตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้นัก ถึงจะเอ่ยกล่าวออกไปแบบนั้น แต่นางเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักว่า เข็มเงินอาบพิษเหล่านี้จะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน ที่แน่นอนก็คือมันไม่ถึงตาย แต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะทำให้การเคลื่อนไหวของพวกนั้นช้าลงบ้าง
“เจ้าเย่หลีเทียน คงลงทุนลงแรงไม่น้อยถึงสามารถเชิญเชื้อพวกเจ้าให้ลงมือได้กระมัง?”
ไป๋หลี่หานกวาดสายตาชำเลืองมองทั้งสาม ทำราวกับว่า ทั้งสามคนนี้มิได้คณามือตนจนเกินไปนัก
“เหอะ! เจ้าเด็กนั่นมีหรือจะออกคำสั่งกับพวกเราได้? หากมิใช่เพราะพวกเราเห็นแก่หน้าปู่ของมัน มีหรือจะต้องออกแรงกันในวันนี้? เอาล่ะ รีบฆ่าเจ้าทิ้งไปซะ พวกเราสามจะได้ชดใช้หนี้บุญคุณของเจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่านั้นเสียที!”
หนึ่งในนั้นโบกสะบัดคมกระบี่สาดประกายแสงเย็นเสียดลูกตา ก่นคำรามด้วยความหงุดหงิดใจ
“คนทางด้านซ้ายอ่อนแอที่สุดในบรรดาทั้งสามแล้ว เช่นนั้นฝากเจ้าด้วย ส่วนอีกสองคนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า!”
ไป๋หลี่หานเอนศีรษะขยับเข้าชิดใกล้ข้างหูเซียถงและเอ่ยกระซิบเสียงแผ่วบางขึ้นวาจาหนึ่ง
เซียถงถึงกับเหลือบมองอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง พลางคิดกับตัวเองในใจว่า ข้าไปขอร่วมวงช่วยเจ้าสู้ตอนไหน?
ลอบโจมตีล้มเหลว เช่นนั้นข้าเผ่นก่อนดีกว่า!
“เจ้าไม่อยากพัฒนาความแข็งแกร่งของตนหรอกรึ? เคยได้ยินหรือไหม การยกระดับพลังลมปราณที่ดีที่สุดคือประการณ์สัประยุทธ์เฉียดเป็นเฉียดตาย เมื่อใดที่ตัวเจ้าอยู่ในสถานการณ์คับขัน เมื่อนั้นคือเวลาที่เจ้าจะสามารถดึงศักยภาพสูงสุดที่มีออกมาได้!”
เสมือนกับว่าอ่านความคิดกันออก ไป๋หลี่หานกล่าวดักทางนางในทันใด
“ก็ได้!”
เซียถงมองค้อนใส่อีกฝ่ายแวบหนึ่ง เพราะแท้ที่จริงแล้ว หากระดับลมปราณของนางยังไม่มีพัฒนาการอันใดอีกสักพัก นางก็ตั้งใจที่จะเข้าป่าไปเก็บประสบการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายตามลำพังแล้วเช่นกัน
คมกระบี่สีเงินในมือไป๋หลี่หานส่องสะท้อนคลื่นลายเย็นยะเยือกงดงามเป็นประกาย ยิ่งเขาเร่งเร้าพลังลมปราณในกายาให้พลุกพล่านมากขึ้นเท่าใด แสงกระบี่สีเงินก็ยิ่งเจิดจรัสพุ่งทะลักล้นออกมามากขึ้นเท่านั้น คู่เท้ากระตุกวูบพุ่งทะยานสู่เวหานภาสูงเสียด เข้าจู่โจมใส่ชายทั้งสองที่อยู่ตำแหน่งกลางและขวาในทันใด
เซียถงร่ายกระบวนโบกสะบัดคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือ โถมกายาวิ่งเข้าปะทะขนกับชายอีกคนที่อยู่ด้านซ้ายอย่างไม่มีกลัวเกรง
หนึ่งเสี้ยวพริบตา สะเก็ดไฟสีเย็นเสียดปะทะสาดวูบวาบ รัศมีแสงสีม่วงอมเงินระเบิดคลั่งพรั่งพรูคลุมครอบกายาของพวกเขาทั้งหลาย ทางฝั่งเซียถง แม้ว่าชายที่รับมือด้วยจะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลาง แต่เนื่องจากโดนเข็มเงินฉาบพิษเข้าไป ส่งผลให้การเคลื่อนไหวรวมไปถึงปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงมา ถึงเซียถงจะเสียเปรียบ ก็ยังพอต้านรับขับสู้ได้ไหว
ในทางตรงข้าม ศึกสัประยุทธ์หนึ่งรุมสอง ไป๋หลี่หานสามารถรับมือกับสองยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้นได้อย่างไม่ตึงมือนัก
ในป่าหินผาแห่งนี้ เศษทรายเศษฝุ่นฟุ้งกระจายโบยบิน สายลมกระโชกดุเดือดรุนแรง สี่ร่างไสววูบวาบเป็นเงาหลากสายสีสัน ตั้งแต่สีครามเข้มจัดจ้าน สีม่วงบริสุทธิ์ใส ประกายม่วงอมเงินระยิบระยับ ผสมปนกันช่างดูน่าพิสดาร ชายที่อ่อนแอที่สุดคนนั้นพัลวันสัประยุทธ์อยู่นาน ทว่ากลับไม่เห็นเซียถงล้มลงเสียที ยามนี้เริ่มรู้สึกวิตกกังวลใจ จึงรีบเร่งเร้ากระแสลมปราณขุมใหญ่ หมุนติ้วโคจรทั่วกายาเพื่อเข้าปราบปรามพิษ กระบี่เล่มยาวในมือควงร่ายเพิ่มความเร็วฟันฟาดเป็นเท่าทวี กลายเป็นเงาปราณกระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนฟ้า โหมกระหน่ำทิ่มแทงเข้าใส่เซียถงประดุจห่าพิรุณ ฉีกกระชากเสื้อผ้าแพรพรรณบนเรือนร่างของนางจนขาดรุ่ย
“สาวน้อย จงดูท่าไม้ตายกระบวนสุดท้ายของข้าผู้นี้เสีย หากเจ้ายังสามารถเลี่ยงหลบไปได้ เช่นนั้นขอยกชื่อสกุลแก่เจ้าแล้ว!”
ชายผู้นั้นเปล่งเสียงคำรามลั่นเดือดดุ กระบี่ยาวในมือของเขาจำแลงกลายเป็นเงากระบี่ฉาบกระแสลมปราณเกรี้ยวกราดจำนวนพันหมื่นเล่มรอบตัว ปลายกระบี่คมแหลมเหล่านั้นชี้จ่อไปยังตำแหน่งหัวใจของเซียถงโดยพร้อมเพรียง
เซียถงกระโดดร่นถอยหลังก้าวแล้วก้าวเล่า แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด กลับไม่สามารถหลบเงากระบี่ฉาบลมปราณสุดเกรี้ยวกราดได้พ้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังเคลื่อนเข้าใกล้ตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ กระแสลมปราณอันคมกริบสีม่วงบริสุทธิ์ยิ่งเปล่งแสงสว่างต่อเนื่อง สีหน้าการแสดงออกของนางพลันหม่นทมิฬลงทันใด