ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 27 คนใดกระทำ คนนั้นรับผิดชอบ
ตอนที่27 คนใดกระทำ คนนั้นรับผิดชอบ
“โถ่ ถงเอ๋อร์ ไฉนจิตใจของเจ้าถึงได้โหดเหี้ยมนัก? ทั้งที่สามารถเอาชนะนางได้ไม่ยาก แล้วเหตุใดต้องถึงขั้นทำให้นางเสียโฉม? หากแม่ทัพจางเจิ้นกั๋วร้องเรียนโวยวายเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไรล่ะ?”
เซี่ยอี้เฉินตรงเข้ามาโอดร้องโวยวาย สีหน้าร้อนรนใจ
โหดเหี้ยม?
เซี่ยอี้เฉินหรี่ตา จับจ้องเซียถงเขม็งอย่างเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งที่ตามเนื้อตามตัวของบุตรสาวตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเลือดนี่น่ะรึ? เขาไม่แม้แต่จะไยดีเอ่ยถามตัวนางด้วยซ้ำว่า ได้รับเจ็บตรงไหนหรือไม่? เป็นอะไรรึเปล่า? ไม่มีเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่คำเดียวจริงๆ แต่กลับดุด่าว่าร้ายนางอยู่ฝ่ายเดียว?
จางเสวี่ยหรงลงมือถึงขั้นจะเอาชีวิตนางก่อนหน้านี้ ใครบ้างเอ่ยปากเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เซียถง?
เพียงขณะนี้ เซียถงทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเสียโฉม กลับโดนกล่าวโทษหนักหนา ยิ่งกว่าเพิ่งไปฆ่าใครมาเสียอีก
“หากอีกฝ่ายบุกมาเรียกร้อง ก่อปัญหาที่นี่ เจ้าเพียงแค่สั่งให้ใครสักคนมาเรียกข้าเป็นพอ”
เซียถงเมินคำกล่าวอีกฝ่าย ปริปากตอบน้ำเสียงเรียบ สุดแสนจะเย็นชาไร้อารมณ์เช่นกัน
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วมีทหารนับแสนนายอยู่ในอาณัติ แต่ละนายล้วนแต่เป็นยอดฝีมือช่ำชองการศึกสงครามทั้งสิ้น แล้วเจ้าล่ะ? ก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ฆ่าใครยังเป็นเลยกระมัง? หึหึ…”
เซี่ยอี้เฉินจ้องมองใบหน้าของเซียถง พลางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง มือขวายกขึ้นหวดทุบโต๊ะหินอ่อนตรงลานหน้าเรือนจนแตกละเอียดเป็นฝุ่นผงในพริบตา เพื่อเสริมสร้างความจริงจังให้แก่สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน
อิ๋งเอ๋อร์รีบทิ้งคู่เข่าก้มลงกราบกรามโดยไว กล่าวพร้อมสีหน้าวิตกกังวลสุดขีดว่า
“นายท่านโปรดฟังความสองข้าง! กลับเป็นจางเสวี่ยหรงที่คิดจะเจตนาสังหารคุณหนูก่อน! คล้อยหลังพลาดท่าจึงโดนคุณหนูกรีดหน้าให้เสียโฉมเป็นการสั่งสอน…”
“แล้วคุณหนูของเจ้าตายหรือไม่? ก็ไม่! แต่ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏคือ บุตรสาวของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วถูกทำให้เสียโฉม นี่แหละคือทั้งหมด!!”
ยังไม่ทันที่อิ๋งเอ๋อร์จะเอ่ยกล่าวเล่าจบดี เซี่ยอี้เฉินพลันตวาดลั่นน้ำเสียงสั่นเครือ โกรธเกรี้ยวสุดขีด
“เสนาบดีเซี่ย คนใดกระทำ คนนั้นรับผิดชอบ อย่าได้เป็นเดือดเป็นร้อนตัวแทนคนอื่น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ข้ามีปัญญาคลี่คลายได้โดยไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้า และหากแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วออกโรงมาเองจริงๆ ข้าจะออกไปเผชิญหน้าเพียงลำพัง ท่านอย่ามาแส่ก็เป็นพอ”
“เอาล่ะ หมดเรื่องจะพูดแล้วกระมัง? เชิญ!”
เซียถงผายมือเรียนเชิญอีกฝ่ายให้ออกไป สีหน้าการแสดงออกปราศจากแววกลัวเกรงใดๆ เบื้องลึกภายในใจ ไม่ว่าจะเสาะแสวงหาอย่างไร ก็พบแต่ความเย็นชา
ในสายตาของเซี่ยอี้เฉิน ชีวิตของนางคงไม่สำคัญเท่าใบหน้าของคนนอกจริงๆ ช่างน่าขันโดยแท้
ใจหนึ่งเซียถงก็รู้สึกดีใจเช่นกัน ที่เจ้าของร่างคนเก่าได้หมดเวรหมดกรรม ตายจากครอบครัวบัดซบนี้เสียที
ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ? ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการต่อเอง!
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยอี้เฉินแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับดำ สะบัดแขนเสื้อยาวอย่างแรง ยกมือขึ้นขู่จะตบต่อหน้าต่อตาเซียถง สายตาคู่นั้นของนางยังคงเย็นชาดังเดิมไม่แววไสวรวนเร
ทั้งยังโน้มตัวยื่นใบหน้าออกไปยั่ว ราวกับกำลังพูดว่า ‘ตบข้าสิหากเจ้ามีปัญญา!’
เซี่ยอี้เฉินจ้องนางตาเขม็งบึ้งตึง สีหน้ายิ่งทวีความมืดหม่นลงหลายส่วน ก่อนในท้ายที่สุด จะเก็บมือลงไป สลบเสียงหนึ่งดัง ‘หึ’ และหมุนตัวจากออกไปทันที
ชั่วอึดใจออกมา เขารีบหมุนตัวเดินออกไปโดยไว ทิ้งให้อิ๋งเอ๋อร์วิ่งไปหาเซียถงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ในเมื่อข้ากล้าทำลูกสาวของแม่ทัพนั่นเสียโฉม ข้าเองก็กล้าออกไปประจันหน้ากับมันเช่นกัน”
เซียถงกล่าว
อิ๋งเอ๋อร์เป็นกังวลอย่างยิ่งว่า การมาครั้งนี้ของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วจะเพื่อลงโทษสถานหนักกับคุณหนูของนาง แต่…หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่าที่คุณหนูได้ลงมือกระทำลงไป นางก็รู้สึกว่า มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องแหกปากโวยวาย สุดท้ายนี้เพียงเป็นห่วงอยู่ห่างๆ เท่านั้นนับว่าดีที่สุดแล้ว
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น รอบการประลองก็ผ่านไปอีกหลายนัด จนบัดนี้เหลือเพียงสี่คนเท่านั้นที่เข้ารอบ
ถงเซียและหลัวซีเป็นสองในสี่คนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนหนึ่งในสองคนที่เหลือคือ องค์รัชทายาท ไป๋หลี่เย่ และรอบการประลองของทั้งสี่จะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อเฟ้นหาผู้เข้าแข่งขันสองคนสุดท้าย เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
ฉลากที่เหลือมีเพียงตัวเลขหนึ่งถึงสี่เท่านั้นให้จับ หลังจากที่เซียถงหยิบฉลากขึ้นมาก็คลี่ออกมาดู ปรากฏว่าบนแผ่นกระดาษมี หมายเลขสอง เขียนเอาไว้ นั่นหมายความว่า คู่ต่อสู้ในรอบต่อไปของนางคือหมายเลขหนึ่ง ซึ่งก็คือ…องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่
เซียถงจับจ้องหมายเลขบนกระดาษแผ่นนั้น ทันใดนั้นก็แสยะยิ้มฉีกกว้างออกมา ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้จัดการกับไป๋หลี่เย่ สวะชิ้นนี้เสียที สักพักหนึ่งคล้ายว่านางจะสัมผัสได้ว่า กำลังใครบางคนมองอยู่ พอหันมองสวนออกไปก็พบไป๋หลี่เย่ที่กำลังจ้องนางตาเขม็ง สีหน้ามืดทมิฬสุดขีด ไป๋หลี่เย่โยนแผ่นกระดาษในมือทิ้ง และเดินติดตามเข้ามาใกล้นางทันที
ทางดเนเซียถงยักไหล่โดยไม่แยแสอันใด หมุนตัวเตรียมเดินจากออกไป
“เซียถง! ยืนอยู่ตรงนั้นห้ามไปไหน! องค์รัชทยาทผู้นี้มีบางสิ่งต้องการจะกล่าวกับเจ้า!”
ไป๋หลี่เย่ตะโกนไล่หลังใส่
แต่เซียถงแสร้งทำราวกับหูหนวกไม่ได้ยินอะไรไปชั่วขณะ ฝีเท้ายังคงจังหวะชักก้าวต่อเนื่อง เดินออกไปโดยไม่มีท่าทีหยุดชะงักใดๆ นางคร้านใจเกินกว่าจะมาเสียเวลาอันล่ำค่าให้แก่ขยะชิ้นหนึ่งอย่างไป๋หลี่เย่
“เซียถง! เจ้าหูหนวกรึไง!! ข้าผู้นี้สั่งให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นไง!!”
ไป๋หลี่เย่ขบฟันแน่นกัดกรามเสียงดังกรอด นี่เขาถูกเซียถงนังอัปลักษณ์เมินใส่นับห้าครั้งได้แล้วกระมัง! น่าอัปยศสิ้นดี!
“แถวนี้สุนัขจรเยอะโดยแท้ ได้ยินเสียงเห่าหอนอีกแล้ว”
เซียถงเพียงรำพึงคำหนึ่งออกไป เสียงไม่เบาไม่ดังจนเกินไป แต่ก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ไป๋หลี่เย่ได้ยิน
“เจ้า…เจ้าช่างกล้า!! เจ้ากล้าเรียกองค์รัชทายาทผู้นี้เป็นสุนัขจรงั้นรึ?! จงคุกเข่าขอขมาข้าเสียเดี๋ยวนี้!!!”
ทั่วใบหน้าของไป๋หลี่เย่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ลามมาจนถึงใบหู ส่วนบรรดาสาวกคนสนิททั้งหลายที่อยู่ท้ายหลัง ต่างก้มหน้าก้มตาพยายามกั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เพื่อมิให้องค์รัชทยาทของพวกเขาได้ยิน แต่แน่นอนว่า ภายในใจของแต่ละคนต่างตลกท้องแข็งกันโดยสิ้น
“อ้าว? องค์รัชทายาทเองหรอกรึ? ไฉนถึงพูดเช่นนี้ออกมาล่ะ? ข้ายังไม่บอกสักคำเลยว่า ท่านเป็นสุนัขจร? มีแต่ตัวท่านเองที่บอกว่าตัวเองเป็นสุนัข”
เซียถงตีหน้าซื่อใสหันไปเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย กวาดสายตาจากบนจรดลงไปทีหนึ่ง นางยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า
“ไม่เลว ไม่เลว ดูไปท่านก็คล้ายอยู่หลายส่วน”
“พร๊วดดด! ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ!!”
ในเวลานี้ สาวกคนสนิทบางคนไม่สามารถกลั้นขำได้อีกต่อไป ระเบิดเสียงหัวเราะพรวดพราดออกมาลั่นไปทั่วบริเวณ
“ไอ้พวกสามหาว!!”
ไป๋หลี่เย่โกรธจัด หันกลับไปใช้หลังมือตบหน้าพวกมันเรียงคน สีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดสิ้นดี พร้อมทั้งก่นด่าน้ำเสียงเย็นขึ้นว่า
“พวกเจ้าคงเหนื่อยนักกับการมีชีวิต ใครหน้าไหนยังกล้าหัวเราะ มันผู้นั้นตาย!”
คนพวกนั้นหน้าเสียรีบคุกเข่า ก้มศีรษะจรดแทบพื้นขอความเมตตากันในทันที
เซียถงเหลือบหางตามองคนพวกนั้น ไม่ต่างจากกำลังดูสุนัขขอข้าวขอน้ำ เจือสีหน้าเวทนารังเกียจ ก่อนจะหันหลังกลับ และเดินจากออกไป
“เซียถง! หากเจ้ายังกล้ามาประลองในวันพรุ่งนี้ ข้าขอบอกให้รู้เสีย ว่าความตายมันเป็นอย่างไร!”
ไป๋หลี่เย่กัดฟันกรอด คำรามเสียงใหญ่ลือลั่น
เซียถงมิได้สนใจอันใด นางเดินจากออกไปทันที
ไป๋หลี่เย่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิน จ้องมองแผ่นหลังของเซียถงที่ทิ้งห่างออกไปจนสุดสายตา ทั้งความเกลียดชังและอาฆาตแค้นยิ่งทวีทบอัดแน่นภายในใจ และยากเกินกว่าที่จะขจัดออกไปได้ สองกำหมัดใต้แขนเสื้อยาวกระชับบีบแน่น เขาหมุนตัวเดินจากไปอีกทางเช่นกัน
จะว่าไป หลังจากที่นังอัปลักษณ์เซียถงทำให้จางเสวี่ยหรงต้องเสียโฉม ข้าก็ยังไม่มีโอกาสไปเยี่ยมนางเลย เช่นนั้นแล้วนี่ถือเป็นโอกาสอันดี แวะเวียนเยี่ยมเยือนนางสักครั้งดีกว่า
“นายท่าน องค์รัชทยาทกำลังเดินทางไปยังจวนแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วขอรับ”
ภายในโรงเตี๊ยม โม่ซวนตรงเข้ามารายงานกับไป๋หลี่หานจากทิศทางที่ไป๋หลี่เย่เคยอยู่
ไป๋หลี่หานพยักหน้า ประกายตาโฉบแล่นวูบหนึ่งภายใต้หน้ากาก เหลือบสายตาหันมองไปยังทิศทางของจวนแม่ทัพ กล่าวว่า
“สงสัยคืนนี้จะมีละครน่าสนุกฉากใหญ่ เราไม่ควรพลาด”
…………..
ณ เวลากลางดึก เซียถงกำลังเดินลมปราณ ขัดสมาธิบำเพ็ญตบะอยู่ภายในเรือนนอนของนาง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอิ๋งเอ๋อร์รีบวิ่งปรี่รุดเข้ามมา ตะโกนเสียงดังลั่นว่า
“คุณหนู! แย่แล้วเจ้าค่ะ! แม่ทีพจางเจิ้งกั๋วนำกำลังทัพมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าออกไปเอง”
เซียถงลุกขึ้นออกจากเตียงไป ก้าวย่างเดินจากไปอย่างสงบ ตรงไปยังโถงหลักหน้าจวน ภายในใจของนางก็แอบสงสัยอยู่ทุกวันว่า เมื่อใดกว่าที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วจะบุกมา และสุดท้ายก็มาถึงเสียที
“คุณหนู! ไม่ได้เจ้าค่ะ! แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วนำเหล่าทหารยอดฝีมือมานับร้อยนาย ทางที่ดีคุณหนูรีบหนีออกจากจวนเสนาบดีผ่านประตูหลังดีกว่าเจ้าค่ะ!”
อิ๋งเอ๋อร์พยายามวิ่งไปหยุดเซียถงมิได้เดินทางออกไป
“คนใดกระทำ คนนั้นรับผิดชอบ ข้าเป็นคนผูกปมนี้ไว้ย่อมต้องแก้ด้วยตัวเอง”
เซียถงผลักร่างของอิ๋งเอ๋อร์ออกไป และเดินตรงไปยังโถงหลักหน้าจวน ทุกฝีเท้ามั่นคงดุจหินผา ไม่มีหวั่นไหวเกรงกลัว
เมื่อเดินทางมาถึงก็พบเห็น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมชุดเกราะออกรบ และชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนผงาดภาคภูมิ สองมือไขว้หลังดูท่าทีหยิ่งผยอง ซึ่งหาใช่ใครอื่นนอกจาก แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วและไป๋หลี่เย่ที่มาด้วยกัน