ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 272 ไม่เป็นก็ตาย (2)
ตอนที่272 ไม่เป็นก็ตาย (2)
ตอนที่272 ไม่เป็นก็ตาย (2)
แต่ละคำกล่าวที่ปริปากเค้นเสียงพูดออกมาล้วนใช้พลังอย่างมากสำหรับเขา และก่อนจะกล่าวจบเสียด้วยซ้ำ ร่างของเขาก็เริ่มโซเซไปมาอีกครั้ง หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลรินตามขอบหน้ากากบรรจบลงที่คาง ควบกลั่นเป็นหยดตกกระทบลงบนเสื้อคลุมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
เซียถงสังแกตบริเวณปลายนิ้วมือที่เริ่มหมองคล้ำเป็นสีม่วงอมดำ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวกำลังถูกพิษร้ายในกายเล่นงานอย่างหนัก ภายใต้สภาพร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้เขาแทบจะไม่สามารถยืนหยัด กระทั่งครองสติได้ไหวอีกต่อไป
บัดซบ! นี่ข้าออกมาทั้งที่ไม่พกโอสถติดตัวมาเลยสักเม็ดได้ยังไง! เซียถงรู้สึกโกรธตัวเองอย่างมากกับความสะเพร่าของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองทีหนึ่งอย่างแรง รับตรงเข้าจับแขนประคองร่างไป๋หลี่หานไว้ไม่ห่างกาย มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง กล่าวว่า
“พยายามระงับพิษมิให้แผ่กระจายไปมากกว่านี้ ส่วนพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการเอง!”
กระชับกุมจับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือขึ้นแน่น เซียถเงยหน้าขึ้นประจันกับชายสองคนที่ขนาบทั้งด้านหน้าและหลัง ปรากฏจิตวิญญาณนักสู้ที่ลุกโชนขึ้นในดวงตาคู่มืดหม่น
“อย่าไป! เจ้า…เจ้าหาใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน!”
ไป๋หลี่หานยกมือขึ้นหยุดเซียถง พิษที่กำลังบ่อนทำลายอยู่ในร่างกายของเขา ส่งผลให้เจ้าตัวไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ เหลืออีกต่อไป สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางล่องลอย แต่กระนั้นก็ยังตระหนักทราบแจ่มแจ้งว่า เซียถงเป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่ง ที่อยู่ในขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงเท่านั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะปรมาจารย์ระดับชั้นจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้นถึงสองคนได้เลย และถึงแม้พวกเขาจะโดนพิษเล่นงาน อย่างน้อยที่สุดก็มีพลังไม่ต่ำกว่า ขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นสูง
เจ้าตัวยื่นมือออกไปจับเรียวแขนอันอ่อนนุ่มของหญิงสาว กุมจับไว้แน่นราวกับต่อจากนี้จะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว
“ไป๋หลี่หาน เจ้าช่วยเหลือข้าก็มากแล้ว ครั้งนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องตอบแทนเสียที”
เซียถงชำเลืองสายตามองย้อนกลับไปหา ประกายตาของนางช่างเปี่ยมล้นชีวิตชีวา ท่าทางการแสดงออกหนักแน่นเด็ดเดี่ยว เสมือนกับว่า ต่อให้ตรงหน้าจะเป็นทะเลเพลิงหรือบรรพตคมดาบ ตัวนางจะไม่มีวันถอยหนี ใบหน้าปกคลุมร่องรอยจุดด่างดำแสนอัปลักษณ์เผยแสดงท่าทีแน่วแน่ แทนจะให้ความรู้สึกขยะแขยงรังเกียจ แต่กลับดูทรงสง่าอย่างน่าประหลาด
ไป๋หลี่หานรู้สึกใจสั่นปลาบปลื้มอยู่ลึกๆ ถึงยามนี้สติสัมปชัญญะรวมไปถึงความคิดในหัวจะยุ่งเหยิงไปหมด แต่เมื่อได้เห็นท่าทางตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวเคียงข้าง หัวใจดวงนี้ของเขากลับสงบนิ่งลงอย่างบอกไม่ถูก คลื่นอารมณ์หนึ่งถูกพัดพาผ่านเข้าสู่จิตใจ ปรากฏว่า นางเองก็ดีต่อเขามากเช่นกัน
ก่อนที่เขาจะได้ปริปากพูดอะไรตอบ จู่ๆ ไป๋หลี่หานก็สัมผัสได้ถึงแรงผลักมหาศาล ซัดใส่ร่างของเขากระเด็นออกจากวงสัประยุทธ์ กระแทกกับแผ่นหินผาขนาดใหญ่ เซียถงใช้จังหวะทีเผลอ ยกมือฝ่าตบร่างอีกฝ่ายกระเด็นออกไปหวังให้อยู่ ณ จุดที่ปลอดภัยกว่า จากนั้นก็เชิดหน้าสบปะทะชายทั้งสอง ยืดเหยียดแผ่นอกตระหง่าน เปล่งเสียงคำรามอย่างภาคภูมิว่า
“หากอยากจะฆ่าเขานัก เช่นนั้นก็โค่นข้าให้ลงเสียก่อน!”
น้ำเสียงมิดัง ทว่าความเด็ดเดี่ยวช่างยิ่งใหญ่!
ไป๋หลี่หานตกใจอย่างมากที่เห็นดังนั้น ทอดสายตาจับจ้องไปทางร่างอรชรเพรียวบางที่ยังคงยืนผงาดเพียงลำพัง
“งั้นก็ได้! เช่นนั้นเราสองขอเอาชีวิตสุนัขของเจ้าก่อนสาวน้อย!”
ชายทั้งสองคนนั้นพยักหน้าตอบ แสยะยิ้มดุร้ายเกรี้ยวกราด จากนั้นก็โถมพลังพุ่งโจมตีใส่เซียถงทันที
แม้พลังความแข็งแกร่งจะลดฮวบต่ำลงมาก แต่มีกันอยู่สองคนก็มากเกินพอที่จะจัดการเซียถงแล้ว ทันใดนนั้นเอง ก็มีเงากระบี่นับไม่ถ้วนล้อมกรอบเซียถงเอาไว้ นางพยายามสุดกำลังร่ายระบำคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือสร้างเงากระบี่ลมปราณเข้าสกัด ทว่าสุดท้ายก็มิสามารถหยุดยั้งกระบวนโจมตีสอดผสานอันทรงอานุภาพของทั้งคู่ได้
นางกัดฟันยืนหยัด ปิดกั้นเส้นทางมิให้ชายสองคนนั้นเข้าไปหาไป๋หลี่หาน ทว่าตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ เงาร่างของชายหนึ่งในสองได้อันตรธานหายวับไปจากเบื้องหน้าเสียแล้ว พอปรากฏตัวขึ้นอีกทีก็อยู่ด้านหลัง กำลังทะยานพุ่งไปหาไป๋หลี่หานเสียแล้ว ซึ่งภายใต้สถานการณ์เฉกเช่นนี้ นางไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ทันท่วงทีอีกต่อไป
ไป๋หลี่หานเอนกายลงบนหินผาก้อนยักษ์ พยายามกระตุ้นลมปราณเข้าข่มระงับพิษที่ไหลเวียนในกาย มองข้ามกระแสความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกกระบี่ทะลวงร่างอันนับไม่ถ้วน มุ่งจิตระดมสมาธิอย่างหนักเพื่อเข้าจัดการกับพิษเหล่านั้น ขับออกทีละเล็กละน้อย เหม่อมองเนื้อตัวที่สั่นเทาแสนอ่อนแรง ปรากฏรัศมีแสงสีเงินจางอ่อนปกคลุมเป็นชั้นบางๆ เลือดสดก็ยังซึมไหลออกมาไม่มีทีท่าจะหยุด แลเห็นชายคนนั้นที่หลุดปราการด่านป้องกันของเซียถงมาได้ ก็พยายามขยับตัวเลี่ยงหลบ แต่ตัวเขาในยามนี้กระทั่งปลายนิ้วยังขยับเขยื้อนไม่ไหว
สภาพร่างกายของเขาในเวลานี้อ่อนแอมาก เสมือนใบหญ้าที่เผชิญหน้ากับคมกระบี่แกร่ง ถูกสะบั้นตัดตอนไหนก็มิทราบ แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็ร่างอรชรบอบบางปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขาอีกครั้ง แต่สภาพตอนนี้ค่อนข้าเลวร้ายกว่าก่อนหน้ามิใช่น้อย นางยังคงยืนกรานทีท่าดื้อรั้นยิ่งยวด ไม่คิดถอยหนีแม้สักก้าว
เหตุใดกัน? เพราะเหตุใดสาวน้อยถึงสู้ตายไม่คิดชีวิตถึงขั้นนี้!
คมกระบี่บรรลุถึงกรีดฟันเรือนร่าง ธารเลือดสีแดงสดกระเซ็น ไป๋หลี่หานทำได้เพียงมองสาวน้อยที่เข้าขวางเบื้องหน้าตนถูกคมกระบี่พิฆาตฟาดฟันใส่ ชั่วขณะอึดใจต่อมา เสมือนภาพฉากนี้ได้ปลุกกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ของไป๋หลี่หานขึ้นมา ขุมพลังอันไร้ขีดจำกัดพลันปะทุพุ่งพล่านจากในร่างกาย เขากัดฟันกรอดฮึกสู้ขึ้นอีกครั้ง!
ในเมื่อนางทำได้ ข้าเองก็ต้องทำได้!
กระบี่สีเงินสะท้อนเงาจันทร์ในมือไป๋หลี่หานสว่างไสวขึ้นทันใด ดีดตัวลุกขึ้นยืนหยัดอีกครา ตรงเข้าขวางหน้าเซียถงเอาไว้เสื้อคลุมยาวโบกสะบัดกวาดออกให้พ้นทาง ชำเลืองสายตาย้อนมองกลับมา สภาพของเซียถงในเวลานี้สาหัสหนักหนา โดนปราณกระบี่พิฆาตนับหลายสิบร้อยกระหน่ำทิ่มแทง แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
ร่างของเซียถงเสมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ชั่วขณะ เจียนสิ้นสติทั้งที่ยืนอยู่ เนื้อตัวอาบชุ่มชโลมย้อมเป็นสีโลหิตแดง ปราณกระบี่ของชายสองคนนั้นเข้าทำร้ายตัวนางอย่างสาหัส โชคยังดีที่พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาในเวลานี้ลดต่ำลงมากแล้ว มิฉะนั้น ร่างของหญิงสาวคนนี้คงเหลือเพียงกายหยาบสิ้นไร้วิญญาณแล้ว
ไป๋หลี่หานเริ่มกวัดแกว่งกระบี่ในมือเป็นคำรบสอง ยืนผงาดอยู่เบื้องหน้า เซียถงเหลือบเห็นดังนั้นกลับมิได้ปริปากพูดอันใดทั้งสิ้น เพียงเฝ้ามองอีกฝ่ายร่ายรำกระบี่ในมือเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
เขาใช้ความพยายามทั้งหมดฝืนอาการเจ็บปวดทั้งหลาย เร่งประกายแสงสีเงินบนกายาให้เปล่งประกายถึงขีดสุด ต่อจากนี้จะเป็นเขารับช่วงต่อจากเซียถงเอง!
“ไป๋หลี่หาน กระทั่งพิษมัณฑุกะวารีก็ยังทำอะไรเจ้าไม่ได้ เดินทางมาครานี้ไม่นับว่าทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ นามขาน ราชันย์หมาป่าสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานนับว่าสมควรได้รับแล้ว เราสามพี่น้องนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ลากเจ้าลงสู่ปรโลกในวันนี้!”
หนึ่งในสองคนนั้นก่นเสียงคำราม สีหน้าแววตาดุร้ายเหี้ยมโหด และทันทีที่กล่าวจบ เขาก็เหวี่ยงกระบี่เข้าใส่ไป๋หลี่หาน
“หึ! คิดจะลากข้าลงปรโลก เกรงว่าอาศัยพวกเจ้าแค่สองคนยังไม่เพียงพอ!”
ไป๋หลี่หานเหล่สายตากวาดมองชายสอง เผยแสดงแววความหยิ่งผยองจองเดช ผมสลวยยาวสีดำขลับปลิวไสวตามแรงลมกระโชกพัดผ่าน ภายใต้สภาพร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส บนกายาของเขายังคงส่งกลิ่นอายอันน่าสะพรึงเข้มข้นออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ