ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 279 เลื่อนนัดประลอง (1)
ตอนที่279 เลื่อนนัดประลอง (1)
ตอนที่279 เลื่อนนัดประลอง (1)
“ไม่สำนึกบุญคุณกันเลยรึไง! นี่ก็อุตส่าห์ถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณให้จึงต้องอยู่ในอ่างเดียวกัน เช่นนั้นคราวหน้าปล่อยให้เจ้าตายไปเสีย!”
หลิวซูที่โดนเขกกะโหลกกระโดดพรวดออกจากอ่างน้ำ สีหน้าโกรธจัดควันแทบออกหู จ้องหน้าเซียถงตาเขม็งบึ้งตึง เสียงฟันขบเสียดดังครืดคราด
เซียถงได้ฟังดังนั้นก็เพิ่งรู้ว่า ตนกำลังเข้าใจผิดไป ที่แท้หลิวซูก็กำลังถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณที่นาง ก็เลยจำเป็นต้องอยู่แช่น้ำในอ่างเดียวกัน เพื่อใช้น้ำอุ่นในนี้เป็นตัวกลางสื่อผ่านระหว่างร่างกายของทั้งสอง และนี่ก็สามารถไขข้อสงสัยตลอดมาได้ทันทีว่า ทำไมหลิวซูถึงชอบแอบดูเซียถงเวลาแช่น้ำ ทั้งหมดเป็นเพราะสัญชาตญาณของยุทธภัณฑ์ประจำกาย หวังช่วยเหลือปันแบ่งพลังจิตวิญญาณให้แก่ผู้เป็นนาย
ส่วนที่ว่าทำไมหลิวซูถึงไปแอบมองอาจารย์หยุนซีแช่น้ำ…เรื่องนี้เซียถงก็มิทราบเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้”
เซียถงมองหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างสงบ ส่งยิ้มสง่างดงามให้ทีหนึ่ง โดยหาได้สนใจทีท่าโกรธเกรี้ยวขบฟันกรอดของอีกฝ่ายใดๆ
กวาดสายตามองไปโดยรอบ ดูจากรูปแบบการตกแต่งภายในห้อง ตัวนางน่าจะยังอยู่ในห้องพักส่วนตัวของชิงเยวี่ย มองลงไปในอ่างก็พบว่ามีสมุนไพรนานาชนิดอัดแน่นสมบูรณ์อยู่ภายในนี้ ซึ่งทั้งหมดเป็นสมุนไพรที่นางวานให้อีกฝ่ายออกไปจัดหามา ทั้งยังมีบางส่วนที่ชิงเยวี่ยเพิ่มเสริมเข้ามาเอง เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิ์การรักษาให้ดีขึ้นไปอีกขั้น
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มันก็ดีกว่าสูตรสมุนไพรแช่ตัวที่นางเคยใช้ก่อนหน้ามาก ฤทธิ์ของสมุนไพรต่างๆ เหล่านี้สามารถส่างเสริมกันและกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
เซียถงมิได้สนใจเลยว่า ใครกันที่เป็นคนถอดเสื้อผ้าและอุ้มนางลงแช่ในอ่างสมุนไพรนี้ จะให้เป็นหลิวซูหรือชิงเยวี่ยก็มิได้สนเลย เมื่อคืนที่ผ่านมา นางได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นชีวิต คงไม่มีเวลามาใส่ใจแยกแยะความเป็นชายหญิงใดๆ
ลองยกเรียวแขนขึ้นพินิจสังเกตมอง แลเห็นว่าบาดแผลต่างๆ มันดีขึ้นมาก จากที่เมื่อคืนฉีกลึกเห็นกระดูกขาวสู่ปัจจุบันที่เหลือเพียงแผลตกสะเก็ดเท่านั้น เซียถงมั่นใจอย่างยิ่งว่า หากตนแช่ตัวอยู่ในอ่างนี้เป็นเวลาสามวัน บาดแผลฉกรรจ์ทั้งหมดทั่วร่างย่อมหายดีเป็นปลิดทิ้งแน่นอน
แต่น่าเสียดาย นางไม่มีเวลามากพอจะทำแบบนั้นแล้ว เพราะวันนี้ถึงตาของนางที่ต้องลงประลอง
เซียถงกวาดสายตารอบห้องอาบน้ำปราดหนึ่ง จะเห็นก็แค่หลิวซูที่เดินออกไปที่เตียงและโยนผ้าแพรสีขาวข้ามฉากกั้นมาทางนาง ตะโกนกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าหนุ่มหน้าหยก มันเตรียมของพวกนี้ให้เจ้า”
เซียถงยกมือขึ้นรับอย่างแม่นยำ ปลายคิ้วกระตุกเลิกขึ้นเล็กน้อย ตะโกนถามกลับไปเจือสีหน้าฉงนใจว่า
“เจ้าหนุ่มหน้าหยกที่ว่าคือใครรึ?”
“เห็นสาวรับใช้ตัวน้อยจะเรียกมันว่า นายท่านชิงเยวี่ยอะไรเทือกนั้น แถมเมื่อคืน มันยังคิดจะสังหารข้าอีก!”
หลิวซูนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เล่นเรียงเคียงปอยผมยาวสลวยสีเงินที่พาดบ่าอย่างระมัดระวัง มันพยายามจะชะโงกหน้าผ่านม่านกั้นอาบน้ำ ถ่ำมองเรือนร่างที่เปลือยเปล่าของเซียถงในอ่างน้ำ
เซียถงสังเกตเห็นดังนั้น ก็คว้าสิ่งของที่ใกล้มือใกล้ตีนที่สุดขว้างใส่ไปทางหลิวซูสุดแรงไปที
เสียงกระแทกศีรษะดัง ‘โป๊ก’
เพียงไม่กี่อึดใจ หัวหลิวซูก็ปูดโปนบวมเป่งเป็นลูกมะนาวออกมา มันกระโดดขึ้นเตียง ยกมือเท้าสะเอวตะโกนลั่นว่า
“เซียถง! อย่าให้เกินไปนัก!”
เวลาเดียวกันนั้นเอง เซียถงก็ขึ้นจากอ่างหยิบผ้าขนหนูผืนสะอาดสีขาวนุ่งห่มตัว เดินไปหยิบเสื้อผ้าแพรพรรณชุดใหม่ที่ชิงเยวี่ยเตรียมเอาไว้ให้มาใส่อย่างรวดเร็ว
“ไฉนชิงเยวี่ยถึงต้องการจะสังหารเจ้า?”
บริเวณเอวเพรียวบางของหญิงสาว คาดผ้ายาวสีขาวมัดกระชับกำลังพอดีเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก ขนาดชุดค่อนข้างพอเหมาะพอเจาะกับนางเลยทีเดียว ชายเสื้อมีกลีบระบายพลิ้วโปร่ง แขนเสื้อยาวมากพอที่จะเก็บซ่อนคมมีดลับได้สบาย เซียถงถึงกับนึกชื่นชมชิงเยวี่ยอยู่ในใจ ชายคนนี้มีรสนิยมเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าค่อนข้างดีทีเดียว
“ก็หมอนั่นเห็นว่า ตัวเจ้าอยู่ในอาการวิกฤติหมดสติ แต่ข้าก็ยังดำเนินการเย็บแผลสดต่อไม่หยุดมือ มันก็ระดมพลังปราณตบฝ่ามือใส่ข้าหวังฆ่าแกงให้ตายทันที”
หลิวซูแผดเสียงกล่าวฟ้องไม่หยุด สีหน้าท่าทางไปตามอารมณ์หงุดหงิด
หลังจากที่เซียถงเป็นลมหมดสติไปเมื่อคืน หลิวซูยังคงดำเนินการเย็บบาดแผลขนาดน้อยใหญ่บนร่างกายของนางต่อ โดยใช้เส้นเลือดของสัตว์อสูรปราณวิญญาณตามคำสั่งที่นางให้ไว้ แต่ทันทีที่ชิงเยวี่ยกลับเข้ามาพร้อมกับสมุนไพรจำนวนหนึ่งและพบเห็นภาพฉากนี้เข้า เขาก็พุ่งโจมตีใส่หลิวซูไม่มีพูดไม่มีจาสักคำ
ต่อมา ระหว่างสู้ไปอธิบายเหตุผลไป ชิงเยวี่ยก็เพิ่งจะเข้าใจและหยุดมือลงในท้ายที่สุด เขารีบวิ่งออกไปเรียงอวี๋เอ๋อร์ให้มาสานต่องานเย็บแผลสดจนครบถ้วน ก่อนจะวานให้อวี๋เอ๋อร์เปลื้องผ้าชุดชิ้นบนเรือนร่างของเซียถง และอุ้มลงไปแช่ในอ่างสมุนไพร พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ชิงเยวี่ยกับอวี๋เอ๋อร์ก็ออกไป แต่ระหว่างนั้น หลิวซูสังเกตถึงความผิดปกติ จู่ๆ พลังจิตวิญญาณของเซียถงลดต่ำลง เจ้าตัวจึงอาสาลงไปแช่น้ำในอ่างเดียวกัน เพื่อถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณส่วนหนึ่งให้
ทั้งหมดก็เป็นเฉกเช่นนี้!
มองดูฟ้านอกหน้าต่างก็พบว่าสว่างแล้ว เซียถงรีบเรียกหลิวซูกลับไปพักผ่อนในห้วงความคิด นำผ้าแพรขาวปิดคลุมใบหน้า และเดินเปิดประตูออกไปโดยไว ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวย่างไปไหน ก็พบสาวน้อยนางหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูพร้อมถาดอาหารชุดหนึ่งในมือ
“คุณหนู ตื่นแล้วรึเจ้าค่ะ?”
เมื่อเห็นว่าเป็นเซียถงที่ยืนอยู่ตรงประตูต่อหน้า ร่องรอยความประหลาดใจพลันฉายแวบผ่านสีหน้าของนางทันที เห็นว่าตอนดึกดื่น เซียถงมีสภาพร่างกายอยู่ในขั้นวิกฤติย่ำแย่เพียงใด ถึงขนาดที่ว่า ตัวอวี๋เอ๋อร์เองยังแอบคิดกับตัวเองอยู่ใน คุณหนูนางนี้คงนอนหมดสติเช่นนี้ไปอีกอย่างน้อยสองถึงสามวันแน่นอน
“อวี๋เอ๋อร์ ขอบคุณเจ้ามากสำหรับเมื่อคืน”
คล้อยหลังได้ฟังจากหลิวซู นางก็พึงตระหนักได้ว่า อวี๋เอ๋อร์มีส่วนช่วยเหลือนางมากเพียงใด
“คุณหนูสุภาพเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มแสนสดใสเป็นคำตอบ แล้วยื่นถาดอาหารในมือให้แก่เซียถง กล่าวว่า
“คุณหนู นี่เป็นอาหารปลุกสุกรสชาติอ่อนสำหรับท่านเจ้าค่ะ ส่วนนี่ก็เป็นถ้วยน้ำแกงสมุนไพรที่นายท่านชิงเยวี่ยปรุงมากับมือ ต้องทานให้หมดนะเจ้าค่ะ”
ถาดตรงหน้ามีชามข้าวต้มรสอ่อนวางอยู่ ตามมาด้วยถ้วยน้ำแกงใสกลิ่นหอมกรุ่นโชยอ่อนอยู่ข้างเคียง เซียถงคว้าเพียงถ้วยน้ำแพงใส่ยกกระดกขึ้นดื่มในคราเดียว แล้วค่อยวางคืนให้บนถาดและกล่าวกับอวี๋เอ๋อร์ว่า
“ขอบคุณมาก แต่ข้ามีธุระเร่งด่วน คงทานได้เท่านี้ ฝากขอบคุณนายท่านชิงเยวี่ยแทนข้าด้วย!”
พูดจบเซียถงก็ตีฝีเท้าวิ่งผ่านอวี๋เอ๋อร์ ลงบันไดไปโดยไว
“คุณหนู! ท่านจะไปไหนรึเจ้าค่ะ?”
อวี๋เอ๋อร์หน้าศีรษะควับเจือสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ตะโกนถามไล่หลังกลับไปด้วยความกังวล
“ไปเข้าประลอง!”
เซียถงเปล่งเสียงโต้ตอบโดยมิได้เหลียวมองใดๆ อย่างแรกที่ทำเลยก็คือวิ่งลงไปยังห้องพักของตน หยิบตลับสมุนไพรสีดำขึ้นมาแต่งแต้มบนใบหน้า พร้อมวิ่งจากประตูโรงเตี้ยมและตรงดิ่งไปยังสนามประลอง
ถ้วยน้ำแกงใสเมื่อครู่นี้ มิทราบเช่นกันว่าชิงเยวี่ยใส่สมุนไพรชนิดใดลงไปบ้าง แต่หลังจากที่ดื่มลงไป เซียถงก็รู้สึกได้ทันทีถึง กระแสน้ำอุ่นระลอกใหญ่ที่ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วช่องท้อง ระหว่างที่ออกวิ่งได้สักพักหนึ่ง นางก็สัมผัสได้ว่าแขนขาของตนช่างเบาสบายราวกับขนนก ขุมพลังฟื้นคืนกลับมาเกือบเต็มที่สมบูรณ์
มาถึงจุดหมาย ณ สนามประลองแข่งขัน ยามนี้ทั่วอัฒจันทร์สูงที่รายล้อมรอบทิศก็เต็มเปี่ยมไปด้วยธารฝูงชนสุดคนานับ บนเส้นทางที่ทอดยาวนำไปสู่สนามประลองค่อนข้างแคบ และมีผู้คนคอยเบียดเสียดอยู่ตลอด เซียถงที่พยายามแทรกตัวเข้าไปกลางวงอันแออัด ก็เริ่มถูกแรงอัดบีบจากมวลมหาประชาชนทั้งหลายถาโถมเข้ามา บางคนฟันศอกมากระแทกกับแผลของนางที่เพิ่งหาย ส่งผลให้นางรู้สึกเจ็บแปลบเป็นระยะ จะอย่างไร หากใช้พลังมั่วซั่วยามนี้คงสิ้นเปลือง ทำได้เพียงออกแรงกายผลักไสผู้คนรอบตัวเพื่อแหวกเข้าไป
นัดประลองบนสนามทองคำได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และตอนนี้เป็นการประลองระหว่างจักรวรรดิหน่านเฟิงและจักรวรรดิเป่ยฮั่น ในอีกด้านหนึ่ง ไป๋หลี่หานนั่งอยู่ที่ตำแหน่งข้างสนาม สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ดูคล้ายจะเคร่งเครียดเป็นพิเศษ คู่คิ้วทักแน่นขมวดเข้ากัน เนื่องด้วยเจ้าตัวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ที่ต้องเห็นเซียถงลงสนามวันนี้ จึงใช้เส้นสายที่มีย้ายนัดประลองของนางกลายไปเป็นของวันพรุ่งนี้แทน เพื่อยื้อเวลาให้นางพักรักษาตัวให้ได้มากที่สุด
ช่วงเช้าตรู่ของวัน ไป๋หลี่หานส่งม้าเร็วไปยังโรงเตี้ยมเพื่อแจ้งข่าวนี้ให้เซียถงรับทราบเกี่ยวกับนัดประลองที่ถูกเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ แต่ม้าเร็วที่ส่งไปดันกลับมาบอกกับตนว่า เซียถงไม่ได้อยู่ในโรงเตี้ยม และไม่ทราบเลยว่า นางหายตัวไปแห่งหนใด
ตอนนี้ไป๋หลี่หานจึงค่อนข้างวิตก ไม่รู้เลยว่าเซียถงเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะเขายังจดจำได้เป็นอย่างดี…ถึงสายตาที่เปี่ยมล้นแววความโลภของชายชราคนนั้นที่เจอเมื่อวาน