ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 280 เลื่อนนัดประลอง (2)
ตอนที่280 เลื่อนนัดประลอง (2)
ตอนที่280 เลื่อนนัดประลอง (2)
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์ วันนี้รู้สึกไม่สบายกระมัง?”
เย่หลีเทียนที่ซึ่งนั่งข้างไป๋หลี่หาน เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเมื่อสังเกตสีหน้าการแสดงออกที่ไม่สู้ดีนักของอีกฝ่าย
“พูดเช่นนี้ หรืออัครมหาเสนาบดีเย่ต้องการให้ข้าไม่สบายจริงๆ กระมัง?”
ไป๋หลี่หานชำเลืองหางตามองไปทางอีกฝ่ายประดับเคียงรอยยิ้มบาง แววความเร่าร้อนประดุจเปลวไฟที่ลุกโชนส่องสะท้อนจากในดวงตาภายใต้หน้ากาก
“ท่านมักชอบหยอกล้อข้าเล่นอยู่เรื่อย มีหรือที่ข้าปรารถนาอยากให้ท่านไม่สบาย? กลับกันเลย ทุกคืนก่อนนอน ข้ามักสวดมนต์อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ท่านมีอายุยืนยาว”
มุมปากเย่หลีเทียนกระตุกยิ้มเชิดสูงขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูกลมกลืนเป็นมิตรไร้พิษภัย ทว่าเจาะลึกลงไปในแววตาคู่นั้น กลับมืดทมิฬบูดบึ้ง ตรงข้ามกับรอยยิ้มที่เผยแสดงออกมาโดยสิ้นเชิง
ผิวเผินยิ้มแย้มเนื้อแท้หาใช่!
ไป๋หลี่หานเคลื่อนสายตาจับจ้องไปทางองค์จักรพรรดิตงหลี่ผู้ซึ่งยั่งอยู่บนบัลลังก์ที่นั่งด้านบนสุด สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็ลอบสายตาจับจ้องมาทางนี้ เมื่อสบปะทะสายตาระหว่างกันและกัน ก็เป็นฝ่ายขององค์จักรพรรดิตงหลี่ที่สะดุ้งเฮือกเล็กน้อย รีบหลบสายตาเบี่ยงหลบไปโดยทันที
ไป๋หลี่หานระบายยิ้มบาง มองไปบนสนามประลองเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างสองคนตรงนั้นต่อไปดังเดิม ทันใดนั้นเอง เขาก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“เมื่อคืนวาน ข้าเผชิญพบนักฆ่าสามรายลอบเข้าโจมตี โชคยังดีที่องค์รักษ์เงาที่ติดตามข้ามาเข้าแก้ไขสถานการณ์ไว้ได้ทัน”
“องค์รักษ์เงา?”
เย่หลีเทียนร้องอุทานขึ้นคำหนึ่ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปในบัดดล
“องครักษ์กลุ่มนั้นของท่านมาที่ซีฉินตั้งแต่เมื่อใด?”
องครักษ์เงาของไป๋หลี่หานที่ว่านั่น เย่หลีเทียนเคยได้ยินแต่เพียงชื่อเสียงลือเลื่องเท่านั้น มีคำเล่าขานกันว่า องครักษ์เงากอปรไปด้วยห้าผู้พิทักษ์ระดับชั้นยอดฝีมือ ซึ่งในแง่ขุมพลังความแข็งแกร่งไม่จำเป็นต้องพรรณนาให้เสียเวลา เพียงเดินสวนผ่านก็สามารถสังหารทิ้งได้โดยไม่เหลือร่องรอยให้ตามสืบเสาะ ล้างบางขุมกำลังอิทธิพลน้อยใหญ่ในชั่วข้ามคืนก็ทำมาแล้วไม่รู้กี่กลุ่มต่อกี่กลุ่ม จนถึงขั้นที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ความสำเร็จในทุกวันนี้ของไป๋หลี่หานขาดยอดฝีมือทั้งห้าคนนี้มิได้
“ประมาณห้าหกวันก่อน ข้าสั่งให้พวกเขาเดินทางมาที่ซีฉินเพื่อทำธุระบางอย่าง ก็เลยอยู่แถวนี้พอดิบพอดี”
ไป๋หลี่หานหันศีรษะส่งยิ้มบางมอบให้เย่หลีเทียนเป็นคำรบสอง เอ่ยต่อว่า
“เพราะเช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสุขภาพความปลอดภัยของข้าได้เลย แค่นักฆ่ากระจอกสามคน จัดการได้สบายมาก!”
“ดี ดีแล้วท่าน… เรื่องความปลอดภัยของตัวท่านและฝ่าบาทย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าราชบริพารอย่างข้า ฟังว่ากลุ่มองครักษ์เงาของท่านประจำอยู่ที่นี่ ข้าเองก็รู้สึกอุ่นใจยิ่งแล้ว”
เย่หลีเทียนส่งยิ้มอ่อนระบายตอบกลับไป ทว่ามือข้างขวาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวกลับกระชับกำหมัดแน่นอย่างลับๆ ทำเอาเส้นเลือดสีเขียวที่หลังมือปูดโปกแทบฉีกแตก เล็บทั้งห้าจิกลึกเข้าเนื้อ
ในหัวของไป๋หลี่หานตอนนี้มีแต่เรื่องความปลอดภัยของเซียถง เขาไม่มีอารมณ์มานั่งต่อคำกับเย่หลีเทียนให้เสียเวลาเปล่า จึงปิดปากเงียบมิได้กล่าวอันใดเพิ่มเสริมต่ออีกเลย และทันใดนั้นเอง โม่ซวนที่ยืนเฝ้าอยู่เบื้องหลังก็ยกนิ้วเตาะสัมผัสบนไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบาทีสองที และโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบเสียงแผ่วข้างหูขึ้นว่า
“นายท่าน เซียถงอยู่ที่นี่แล้ว”
ได้ฟังดังนั้น ไป๋หลี่หานรีบเคลื่อนสายตาไปตามทิศทางที่โม่ซวนมองออกไปทันที เสาะพบว่าเซียถงกำลังแหวกว่ายอยู่กลางฝูงชนอย่างลำบากลำบน เขามองย้อนกลับไปหาโม่ซวนพร้อมพยักหน้าส่งสัญญาณให้ทีหนึ่ง ปล่อยให้โม่ซวนร่นฝีเท้าถอยจากออกไปอย่างเงียบงัน
นัยน์ตาสีดำขลับเข้มหรี่แคบลง เพ่งมองไปยังร่างอรชรสีขาวซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามจากฝั่งอัฒจันทร์ของตนอยู่สักครู่ ก่อนจะลอบพยักหน้ากันตัวเองอย่างลับๆ ทีหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกดูโล่งใจขึ้นมาก เห็นว่านางฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมาหมาดๆ พอมาวันนี้ยังกล้าเดินทางมาร่วมงานประลอง ทำเอาไป๋หลี่หานอดสงสัยมิได้ว่า ร่างกายของนางทำด้วยอะไรกันแน่
อย่างไรเสีย นางจำต้องมีแรงใจอันมหาศาลอย่างยิ่งถึงฟื้นคืนสภาพร่างกายมาได้ขนาดนี้ และเพราะเหตุนี้จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวคนนี้เข้าไปใหญ่
ขณะที่เซียถงกำลังรีบเร่งแหวกว่ายฝูงชนเพื่อขึ้นสนามประลอง ทิ้งทวนเส้นทางน้อยๆ ทอดยาวอยู่เบื้องหลัง ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงตะโกนดังก้องเข้าหูว่า
“คุณหนูเซีย!!”
พอมองย้อนกลับไปหาต้นเสียงก็ค้นพบว่าเป็นโม่ซวน ที่รีบติดตามเส้นทางที่นางแหวกตรงเข้ามาหา
“มีอะไรรึ?”
เซียถงเอ่ยถามวาจาหนึ่งตอบกลับไป
“วันนี้ท่านไม่จำต้องลงสนาม นัดประลองของท่านถูกเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แทนแล้ว”
โม่ซวนกล่าวอธิบายโดยไว
“เข้าใจแล้ว”
เซียถงพยักหน้าตอบสีหน้าเงียบเฉย เหลือบสายตาไปทางสนามที่ปรากฏคนทั้งสองที่กำลังห้ำหั่นสัประยุทธ์เดือดกันอยู่สักครู่ ก่อนจะหันกลับมาและหมุนตัวเดินจากออกไปทันที ในเมื่อวันนี้ไม่มีนัดประลองที่ต้องขึ้นสนาม เช่นนั้นนางก็ควรรีบกลับไปบำเพ็ญตบะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งต่อเป็นการดีที่สุด
โม่ซวนอาสาเดินออกไปส่งเซียถง พร้อมหยิบใช้พลังลมปราณส่วนหนึ่งเพื่อผลักแยกผู้คนเปิดทางให้นางเดินได้สะดวกขึ้น เฝ้ามองแผ่นหลังของเซียถงที่เดินลาจากจนสุดสายตา เช่นนั้นจึงค่อยกลับไปหาไป๋หลี่หานอย่างหมดห่วง
เซียถงกลับมายังห้องพัก กระโดดขึ้นเตียงและนั่งขัดสมาธิเริ่มบำเพ็ญตบะเพื่อดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินรอบตัว เข้าเติมเต็มจุดตันเถียนที่แห้งเหือด
ช่วงบ่ายวันนั้น มีคนเคาะประตูห้องพักและพอเปิดออกดู ปรากฏว่าคือโม่ซวนที่กำลังถือผลไม้สีเหลืองอำพันลูกหนึ่งในมือ เขายื่นให้ตรงหน้าเซียถง กล่าวว่า
“นี่เป็นผลฮวนเหลียน สรรพคุณช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินได้เรวดเร็วยิ่งขึ้น นายท่านห่วงว่า คุณหนูเซียจะไม่มีพลังลมปราณกักตุนในการมากเพียงพอสำหรับการประลองในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นจึงสั่งให้ข้านำมาให้”
“ข้าเตรียมพร้อมดีแล้ว นำสิ่งนี้กลับไปคืนนายท่านของเจ้าเสีย ข้าไม่ต้องการมัน”
สำหรับคุณบุญที่ไป๋หลี่หานทำให้เสมอมา นางได้รับมันเกินพอแล้ว
โม่ซวนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากพยายามพูดโน้มน้าวอยู่สักพัก สุดท้ายก็ต้องเดินคอตกกลับออกมาพร้อมผลฮวนเหลียนในมือ ความรู้สึกดีๆ ที่นายท่านมีต่อเซียถง สิ่งนี้ค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขามาก แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ การที่เซียถงปฏิเสธไม่รับรักของนายท่านเขามากกว่า
แลมองโม่ซวนเดินคอตกกลับไป ยังไม่ทันที่เซียถงจะปิดประตูห้องเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็มีกลีบบุปผาสีชมพูโปรยปรายลงมาต่อหน้า ทั้งยังมีบางส่วนร่วงโรยตกอยู่บนไหล่ของนาง