ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 284 มีคนอิจฉา (2)
ตอนที่284 มีคนอิจฉา (2)
ตอนที่284 มีคนอิจฉา (2)
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์ผู้นั้นกำลังโกรธอยู่จริงๆ เช่นนั้นมิกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชายหนุ่มที่โดนพาตัวออกไปเลยรึ?”
ชิงเยวี่ยยิ้มถาม สีหน้าปนร่องรอยอยากรู้อยากเห็นอยู่หนึ่งส่วน
ฟังว่า ราชาหมาป่าสวรรค์ผู้นี้ทั้งโหดเหี้ยมและอำมหิต ซึ่งหลัวซีคนนี้มักจะมีอิสตรีสาวงามอยู่รายล้อมไม่เว้นวัน การที่มาพัวพันกับเซียถงนับเป็นเรื่องอันตรายต่อชีวิตของเจ้าตัวเองมาก
“หากราชาหมาป่าสวรรค์ต้องการฆ่าหลัวซีจริง เช่นนั้นจะเสียเวลาลากอีกฝ่ายออกไปทำไม? ก็แค่ต้องการพาตัวอีกฝ่ายออกมาให้พ้นโรงเตี้ยมแห่งนี้ก็เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด”
ประกายตาเซียถงทอแสงสว่างสีจางอ่อน เบิกตาลืมขึ้นก็เสาะพบรอยยิ้มคล้ายมีนัยแฝงในดวงตาของชิงเยวี่ย นางทราบดีว่า เขามาหานางที่นี่เพียงเพื่อรับชมละครฉากใหญ่ที่ดูน่าสนุกเท่านั้น ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างจบลงแล้ว นางจึงกล่าวแค่ว่า
“นายท่านชิงเยวี่ย ข้ายังต้องเตรียมตัวอีกมากสำหรับการประลองในวันพรุ่งนี้”
น้ำเสียงเย็นชืดไร้อารมณ์ที่แผดดัง ทำเอาชิงเยวี่ยตกใจไม่น้อย เสาะเห็นไอความเหน็บหนาวที่ซ่อนลึกในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า เขาก็ระบายยิ้มอ่อนอย่างช่วยมิได้ หากมีใครสักคนบอกว่า หัวใจของสตรีนางนี้ถูกฝังลึกอยู่ใต้ก้นสมุทรน้ำแข็ง เขาคงเชื่อโดยไม่มีลังเล
เมื่อคืนวานตอนที่เขาช่วยรักษาแผลให้ ท่าทางน้ำเสียงของนางยังคงไว้ไมตรีอ่อนนุ่ม แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วข้ามคืน อิสตรีนางนี้ก็กลับกลายเป็นคนเย็นชาดั่งปกติอีกครั้ง สีหน้าแววตาที่มองมาประหนึ่งคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ชิงเยวี่ยโค้งศีรษะให้เซียถงเล็กน้อย ยังคงคลี่ยิ้มประดับริมฝีปาก กล่าวว่า
“คุณหนูเซียเชิญพักผ่อนตามอัธยาศัย ข้าพเจ้าจะรีบเรียกคนมาเปลี่ยนประตูให้สักครู่”
เซียถงพยักหน้ามอบตอบกลับไป เหมือนจะรู้ตัวว่า ตนในตอนนี้เผยแสดงกิริยาเย็นชาออกมามากเพียงใด เช่นนั้น จึงพยายามลดน้ำเสียงให้อ่อนนุ่มมากขึ้นหนึ่งส่วน ระบายยิ้มอ่อนส่งให้ชิงเยวี่ยและกล่าวว่า
“รบกวนนายท่านชิงเยวี่ยแล้ว”
แต่นางมิยักรู้เลยสักนิด รอยยิ้มที่นางเผยแสดงออกมานั้น มันดูเย็นชาและน่ากลัวเพียงใดในสายตาของชิงเยวี่ย พออีกฝ่ายเดินพ้นห้องพักของนางออกมา ก็ถึงกับลอบถอนหายใจกับตัวเองเฮือกหนึ่ง นางเดินไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้าห้อง พร้อมยกประตูไม้บานนั้นที่พังถล่มขึ้นมาปิดทับช่องว่างเอาไว้อย่างระมัดระวัง ใช้กั้นปิดชั่วคราวไปก่อน
เซียถงเหม่อมองบานประตูไม้ที่ปรากฏรอยแตกร้าวเป็นสาย กระโดดขึ้นเตียงนั่งไขว่ห้างทำสมาธิอยู่บนนั้น ขณะที่กำลังจะหลับตาเพื่อเริ่มบำเพ็ญตบะดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน จู่ๆ ก็มีตัวอะไรบางอย่างวิ่งซุกซนลอดมุดเข้ามาภายในใต้แขนเสื้อของนาง เจ้าก้อนขนนุ่มนิ่มปุกปุยวิ่งเล่นไปมาอยู่ภายในนั้น ทำเอานางหัวเราะคิกคักจั๊กจี้
นางล้วงมือเข้าไปใต้แขนเสื้อและบากเจ้าจี๋จี๋ออกมา พยายามข่มกลั้นรอยยิ้มมิให้หลุดขำ ปั้นหน้ากล่าวเสียงดุใส่มันขึ้นว่า
“จี๋จี๋ เจ้ามิได้รับอนุญาตให้มาเล่นในระหว่างที่ข้าฝึกปรือ”
กล่าวได้ว่า โชคดีจริงๆ ที่จี๋จี๋ปลีกตัวออกจากสมรภูมิรบและขอความช่วยเหลือจากหลัวซีได้ทัน มิเช่นนั้นนางอาจถูกฆ่าตายไปตั้งแต่ตอนนั้นไปแล้วง นึกได้ดังนั้น นางก็ยกจี๋จี๋ขึ้นมาที่ริมฝีปาก และประกบปากจุ๊บศีรษะน้อยๆ ของมันไปทีหนึ่ง กล่าวว่า
“จี๋จี๋ ขอบคุณมากสำหรับเมื่อคืน!”
“จิ๊ด!”
เจ้าจี๋จี๋ตัวน้อยส่ายศีรษะปุกปุยไปมา อุ้งเท้าหน้านุ่มนิ่มข้างหนึ่งของมันยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาตนเอง จากนั้นก็ยกอุ้งเท้าอีกข้างชี้ไปทางประตู
เซียถงเลิกคิ้วมองจี๋จี๋เล็กน้อย เผยสีหน้าท่าทีสงสัยและถามขึ้นว่า
“เจ้ากำลังบอกว่า อยากให้ข้าออกไปข้างนอก?”
จี๋จี๋พยักหน้าให้นางทีหนึ่ง และกระโดดออกจากฝ่ามือของนาง อุ้งเท้าจิ๋วสี่ข้างสับวิ่งออกไปถึงหน้าประตู พร้อมเริ่มส่งเสียงร้องอีกครั้ง
คราวก่อนหน้าที่ไป๋หลี่หานตกอยู่ในอันตราย เจ้าจี๋จี๋เองก็เป็นเช่นนี้ แล้วคราวนี้ใครมันเดือดร้อนอีกล่ะ?
เซียถงลุกขึ้นไปทางประตูภายใต้สีหน้าฉงนใจ เปิดประตูออกกว้าง นางก็เดินติดตามจี๋จี๋ออกไปต่อทันที
ผู้คนทั้งหลายที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ก่อนหน้ายังมิได้สลายหายไปไหน พวกเขาเห็นเซียถงเปิดประตูเดินลงบันไดมาโดยมีสัตว์อสูรตัวน้อยสีแดงวิ่งนำทาง พวกเขาทั้งหลายก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันอีกครั้ง บรรยายกาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา
อย่างไรเสีย เซียถงหาได้สนใจผู้คนรอบตัวที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยเรื่องตนเลยสักนิด และเดินติดตามจี๋จี๋ออกไปทางประตูนอกโรงเตี้ยม มันกระโดดขึ้นเกาะไหล่ของนางอีกครั้ง และส่งเสียงเล็กแหลมชี้อุ้งเท้าไปทางขวามือ
ลองเดินติดตามไปทางขวาได้สักพัก นางก็เห็นม้าตัวหนึ่งที่ถูกผูกติดอยู่ใต้ต้นหลิวแถวนั้น เจ้าจี๋จี๋กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า และส่งเสียงร้องให้นางอีกครั้ง
เมื่อเซียถงเห็นดังนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกสงสัยเข้าไปใหญ่ นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? โดยไม่รีรอใดๆ นางยกเท้าถีบอากาศทะยานขึ้นบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว ยกแส้ขึ้นฟาดม้าเบาๆ ทีหนึ่งให้มันตื่นตัว
ขณะเดียวกัน พลางเหลือบไปเห็นเจ้าจี๋จี๋ที่ปั้นหน้าเลียนเสียงแบบม้าตัวนั้น ทำเอาเซียถงถอดเม้มปากขำมิได้ และเอ่ยถามมันขึ้นว่า
“จี๋จี๋ เจ้าจะพาข้าไปไหน? มันไกลรึเปล่า? ถึงขนาดต้องขี่ม้ากันเลย?”
จี๋จี๋เบิกตากลมโตเท่าเม็ดองุ่นสุดบ้องแบ๊วของมัน และพยักหน้างึกงักรัวแรงหลายที
“อืม… หากเช่นนั้น ข้าควรไปซื้อม้าใหม่สักตัวจะดีกว่า ขโมยม้าของคนอื่นไปวิ่งทางไกลเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าใด”
เซียถงพยักหน้าแสดงความเข้าใจออกไปทันที หากเป็นระยะทางสั้นๆ ภายในเมืองก็ว่าไปอย่าง แต่หากเดินทางไกลอย่างที่จี๋จี๋ว่า คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักที่จะไปขโมยของใครก็ไม่รู้มาใช้
หลังจากซื้อมามาเรียบร้อย เซียถงก็ควบม้าออกไปทางทิศตะวันตกตามที่จี๋จี๋ชี้บอก
“จี๋จี๋ นี่มันทางไปหุบเขาซีเยว่มิใช่รึ? แต่หากไม่มีป้ายตราอนุญาต พวกทหารตามด่านจะไม่อนุญาตให้เราขึ้นไป”
คล้อยหลังควบม้าไปประมาณครึ่งชั่วยาม เซียถงก็รีบดึงสายอานม้าหยุดเอาไว้โดยพลัน เพราะเส้นทางเบื้องหน้าต่อไปนี้ จะเป็นด่านป้องกันต่างๆ ของพวกทหารตรวจคนขึ้นหุบเขาซีเยว่แล้ว
“ว่าอย่างไรจี๋จี๋?”
เห็นจี๋จี๋นั่งขดตัวคุดคู๋อยู่บนไหล่ของนางอยู่สักพัก มันค่อยยกอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งชี้ไปทางซ้ายมือ
“ทางซ้ายก็มีทหารคุมเข้มอยู่เช่นกัน เราเข้าจากทางนั้นไม่ได้”
เซียถงเอ่ยปากตอบ จี๋จี๋กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงต้องการให้นางบุกขึ้นหุบเขาซีเยว่ทั้งที่มีด้านทหารป้องกันอยู่เรียงรายมากมายปานนี้
มันหาได้สนใจฟังคำพูดของเซียถงไม่ เจ้าจี๋จี๋ส่งเสียงร้องไม่หยุดดทั้งยังย้ำเส้นทางชี้ไปทางซ้ายมืออย่างต่อเนื่อง เสมือนกับว่า หากเซียถงไม่ไป มันก็จะร้องอยู่เช่นนี้ต่อไปนั่นแหละ
เจอแบบนี้เข้า นางเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ปราศจากทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องควบม้าไปทางซ้าย
ทางซ้ายมือเป็นถนนสายขรุขระ ตลอดทั้งเส้นทางเต็มไปด้วยขดหนามแหลมและวัชพืชเถาวัลย์มากมายนับไม่ถ้วน และดูท่าม้าตัวนี้จะไม่กล้าเดินหน้าต่อแล้วเมื่อเผชิญพบกับอุปสรรคปานนี้ และไม่ว่าเซียถงจะยกแส้ขึ้นฟาดอย่างไร มันก็ไม่ยอมก้าวไปต่อเลยแม้แต่น้อย เจ้าจี๋จี๋เห็นดังนั้นจึงกระโดดลงจากบนไหล่ของนาง และเดินเท้าลงไปต่อ ทั้งยังหันหน้ามาส่งเสียงร้อง กระตุ้นให้นางลงเดินเท้าต่อทันที