ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 29 ไม่กลัวถูกคนอื่นไปนินทา
ตอนที่29 ไม่กลัวถูกคนอื่นไปนินทา?
เซียถงเหลือบหางตาแลเหลียวอีกฝ่าย พลันเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ที่จู่ๆ แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วบุกมาหากลางดึกแบบนี้เพื่อสร้างปัญหา สักเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นผลจากการยั่วยุของไป๋หลี่เย่ หวังจะจับตัวนางกลับไปกักขังไว้สักแห่งหนและนำไปไต่สวนโดยละเอียด ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้นางสามารถเข้าร่วมการประลองในวันพรุ่งนี้ได้ หากนางมาไม่ทันเวลา จะเท่ากับว่าไป๋หลี่เย่ได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปได้อย่างง่ายดาย
ช่างเป็นแผนการที่ไร้ยางอายสิ้นดี
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมด เซียถงถึงกับแสยะยิ้มเยาะหยั่นขึ้นมุมปาก สบสายตาจ้องไป๋หลี่เย่เขม็ง เอ่ยประชดประชันขึ้นว่า
“แผนการขององค์รัชทยาทช่างฉลาดล้ำเลิศสิ้นดี ตั้งใจจะยืมมือนายพลเพื่อลากข้าไปกักบริเวณอยู่ภายในวังหลวง หวังจะไม่ให้ข้าสามารถเข้าร่วมการประลองในวันพรุ่งนี้ได้ องค์รัชทายาทจะได้ผ่านเข้ารอบได้เลยโดยไม่ต้องทำอะไร แต่ถึงขั้นไปยั่วยุจุดชนวนให้แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วบุกมาขนาดนี้ เกรงว่าองค์รัชทายาทจะทุ่มทุนรอนเกินไปหน่อยกระมัง?”
ทันทีที่สุ้มเสียงของเซียถงแผดดังออกมา แม่ทัพจางเจิ้งกัวหน้าถึงกับถอดสี โดยไม่ทันรู้ตัวมาก่อนเลยว่า ตนเองถูกองค์รัชทายาทหลอกใช้ แต่จะอย่างไร พอครุ่นคิดไปสักพัก กลับพบว่าผลพวงของเหตุการณ์ในคราวนี้แทบจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขาเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่พัวพันระหว่างองค์รัชทยาทกับเซียถงเท่านั้น และหากเกิดเหตุอันใดขึ้นจริงๆ หลังจากนี้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกลัว ฐานะที่เป็นถึงองค์รัชทายาท ไป๋หลี่เย่ย่อมช่วยแบกรับภาระในจุดนั้นเองเป็นธรรมดา เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่าทางการแสดงออกของเขาก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง
“องค์รัชทยาทผู้นี้รึต้องเปลืองแรงคิดแผนการกำจัดเจ้า? เซียถง เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”
พอแผนการภายในใจของไป๋หลี่เย่ถูกเปิดเผยโดยเซียถงจนหมดเปลือก ทั่วทั้งใบหน้าของเขาพลันเผยแววตื่นตระหนกออกมา รีบชี้นิ้วเชิดหน้าใส่อีกฝ่าย พร้อมก่นด่าเอ่ยขานอย่างหยิ่งยโส ทั้งยังกล่าวดูถูกอีกว่า
“ใบหน้าของเจ้าอัปลักษณ์สิ้นดี แค่เห็นก็อยากจะอ้วกแล้ว!”
ม่านตาดำของเซียถงบีบแคบหดเล็กลง รูปลักษณ์ท่าทางยามนี้ ทุกอย่างดูเยียบเย็นลงกะทันหัน มีดสั้นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ยามนี้นางค่อยๆ เลื่อนมันลงบนฝ่ามืออย่างเงียบงัน บางทีสงสัยต้องทำให้ใบหน้าของไป๋หลี่เย่เสียโฉมอีกคน ถึงจะรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่า ‘อัปลักษณ์’ อย่างเต็มใจ
ไป๋หลี่เย่ถึงกับผงะเมื่อสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นส่องสะท้อนผ่านสายตาคู่นั้น รู้สึกใจเสียวูบลงตาตุ่มไปชั่วขณะ อดใจสาวเท้าร่นถอยออกไปหนึ่งก้าวโดยมิทันรู้ตัว ก่อนจะได้สติตื่นขึ้นจากภวังค์ความกลัว เขาขี้หน้าก่นด่าใส่หน้าเซียถงไปอีกครั้ง
“นังเดรัจฉาน! กล้าดีอย่างไรถึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้! แม่ทัพจางรีบจับตัวนังเดรัจฉานกลับไปสอบสวนต่อโดยเร็ว! นำนางไปขังในคุกใต้ดินชั้นลึกที่สุด!”
แม่ทัพจางเจิ้งกัวยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆ แต่กลับจับจ้องไปยังเซียถงอย่างเงียบงัน ในความเป็นจริง การที่เฝ้ามองการโต้คารมกันระหว่างไป๋หลี่เย่กับเซียถง สิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้ก็คือ หากหญิงสาวนางนี้เคลื่อนไหวเมื่อใด บางที…บางทีอาจจะสร้างภัยอันตรายต่อตัวองค์รัชทายาทได้ไม่ยากเลย
เพราะนางทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ ดังนั้นจึงต้องยิ่งระวังตัวเข้าทวีเท่า และหากเขาสามารถจับตัวนางกลับไปได้ แม่นอนความจะต้องได้รับความดีความชอบตามมาแน่นอน เพราะทุกคน ในที่นี้ต่างเป็นพยาน เซียถงมีเจตนาล้มเจ้า ย่อมมีโทษรุนแรง
บางทีหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาอาจจะได้รับการประทานรางวัลจากฝ่าบาทด้วยซ้ำ ในฐานะทหารดีเด่นช่วยกำจัดตัวการแห่งภัยร้ายที่อาจทำให้บัลลังก์สั่นคลอนได้ในอนาคต
ในอีกด้านหนึ่ง มีดสั่นเผยแววคมเขี้ยวอยู่บนฝ่ามือของเซียถง เตรียมพร้อมเชือดคนสังหารดับได้ในพริบตาเช่นกัน นางโน้มตัวถ่ายน้ำหนักไปตรงหน้าเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเคลื่อนเท้าออกไปโจมตีใส่ไป๋หลี่เย่ จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นลั่นว่า
“เสนาบดีเซี่ย! งานเลี้ยงค่ำคืนนี้คงพร้อมแล้วกระมัง! ข้าผู้นี้มาแล้ว!”
เซี่ยถงตกใจสุดขีด รีบหุบคมมีดสั้นเก็บเข้าแขนเสื้อดังเดิมโดยไว เมื่อกวาดสายตามองออกไป ก็พบไป๋หลี่หานในชุดและหน้ากากสีดำ ทั้งยังมีองรักษ์ยอดฝีมือนายหนึ่งตามประกบติดอยู่ข้างเคียง
ป็หลี่หน้าเหลือบสายตาจับจ้องไปยังแขนเสื้อยาวข้างขวาที่ซ่อนมีดสั้นของเซียถงอย่างรู้ทัน และหันไปทางหน้าจวนเสนาบดี ตรงเข้ามาใจกลางสถานที่เกิดเหตุกล่าวร่าขึ้นว่า
“เสนาบดีเซี่ย ขอบคุณที่เชิญข้ามางานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนี้ พร้อมเมากันรึยัง?”
เมื่อเซี่ยอี้เฉินได้ยินก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกหนึ่ง รีบก้มศีรษะตามน้ำกล่าวว่า
“เกือบจะเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ! แต่กลับต้องล่าช้าไปเสียเล็กน้อยเนื่องจากการปรากฏตัวของแม่ทัพจาง!”
เมื่อแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วเห็นไป๋หลี่เย่ ใบหน้าถึงกับถอดสีครั้งหนัก รีบเดินไปหาเบื้องหน้าโค้งศีรษะคำนับทักทายโดยไว
ไป๋หลี่เย่ที่เห็นไป๋หลี่หาน สีหน้าการแสดงออกพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน เร่งก้าวถอยหลัง รีบหาที่หลบในมุมมืดทันทีอย่างอดมิได้ สำหรับท่านอาผู้แสนลึกลับและมักจะชอบสวมใส่หน้ากากคนนี้ เขาไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก และพยายามอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเสมอ
“อ้าว? แม่ทัพจางเองก็มาดื่มด้วยรึ?”
ไป๋หลี่หานเหลือบหางตาจับจ้องแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ก่อนจะเคลื่อนไปทางเหล่าทหารหลายสิบนายที่กระชับจับอาวุธไว้แน่นหนาอยู่ท้ายหลัง ดวงตาคู่นั้นหรี่แคบลงทันใด จากสุ้มเสียงเริงร่าแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นเย็นชาจับใจในทันใด
“สงสัยต้องเตรียมสุราเพิ่มแล้วกระมัง? แม่ทัพจางพาผู้ใต้บัญชามาดื่มด้วยตั้งมากมาย เท่านี้คงไม่น่าเพียงพอ?”
แม่ได้น้ำเสียงเยียบเย็นปานนั้น แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วยิ่งหน้าถอดสีซีดเผือดเข้าไปใหญ่ หันขวับรีบโบกมือให้ผู้ใต้บัญชาทั้งหลายเก็บอาวุธในมือลงโดยเร็ว ก่อนจะหันมากล่าวยิ้มแย้มกับไป๋หลี่เย่ น้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพเป็นที่สุด
“ข้าน้อยเพียงมาเยี่ยมเยือนเสนาบดีเซี่ยเท่านั้น แต่กลับมิทราบเช่นกันว่า วันนี้เสนาบดีเซี่ยมีนัดกินดื่มกับท่าน เอ่อ…เช่นนั้นข้าน้อยไม่ขอรบกวนเวลาพวกท่านแล้วเสียดีกว่า เช่นนั้นขอลาก่อน”
ทันทีที่พูดจบ แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วรับชักนำบรรดาทหารหลายสิบนายเดินทางจากออกไปโดยเร็วที่สุด
สำหรับเซี่ยอี้เฉิน แม่ทัพจางเจิ๋งกั๋วหาได้เกรงกลัวมันไม่ แต่ต่อหน้าท่านราชาหมาป่าสวรรค์ เขามิสามารถทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตในอนาคตของเขาคงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง!
เมื่อเห็นแม่ทัพจางเจิ่งกั๋วนำกำลังทัพเคลื่อนจากไปแล้ว ไป๋หลี่เย่ที่ยืนแอบอยู่ ณ มุมมืดแห่งหนึ่ง ก็ค่อยๆ สาวเท้าเดินออกมา จับจ้องไป๋หลี่หาน สีหน้ากล้าๆ กลัวๆ ก่อนเอ่ยเสียงสั่นคลอขึ้นว่า
“ท่านอา”
“พรุ่งนี้เจ้าต้องขึ้นประลองมิใช่รึ? ไฉนถึงไม่เตรียมตัวไปให้ดีที่ตำหนัก? มาวิ่งเล่นทำอะไรแถวนี้รึ?”
ไป๋หลี่หานมองหน้าอีกฝ่าย ทว่าแวตาช่างเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกยิ่งนัก
“ข้า…ข้าเดินทางมาชักชวนบุตรสาวเสบาบดีเซี่ย เซี่ยเสวี่ยเหลียน ไปดูงานเทศกาลโคมดอกไม้ นี่ก็ถึงเวลามารับนางไปด้วยกันแล้ว”
พอเห็นว่าแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วชิงหนีไปแล้ว ไป๋หลี่เย่คงไม่โง่พอที่จะดึงดัน หัวรั้นต่อ สุดท้ายนี้จึงรีบโกหกโดยใช้เซี่ยเสวี่ยเหลียนเพื่อหาข้อแก้ตัว
“บัวหิมะน้อยอยู่ในเรือนพอดี! เดี๋ยวจะรีบไปตามนางให้ออกมาเลย!”
ฮูหยินรองเฉิงที่ได้ยินแบบนั้น ก็ปั้นหน้ายิ้มแย้มและรีบวิ่งออกไปตามลูกสาวตัวเอง ท่าทีดูสุขใจ
ไป๋หลี่เย่ไม่คิดจะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป จึงรีบเดินติดตามฮูหยินรองเฉิงไปพบเซี่ยเสวี่ยเหลียนโดยทันที
ในเวลานี้ ด้านหน้าจวนเสนาบดี เหลือกันอยู่เพียงสามคนเท่านั้น
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับความช่วยเหลือของท่านราชันหมาป่าสวรรค์ เช่นนั้นแล้ว ข้าจะรีบสั่งบ่าวให้ไปเตรียมงานเลี้ยงจัดต้อนรับท่านอย่างดี!”
เซี่ยอี้เฉินยกแขนเสื้อปาดเม็ดเหงื่อชุ่มบนหน้าผาก ภาพฉากเหตุการณ์เมื่อครู่เล่นเอาระทึกขวัญไม่น้อยจริงๆ
“ไม่จำเป็น ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาเท่านั้น”
ไป๋หลี่หานโบกมือให้เซี่ยอี้เฉินไป และหันไปทางเซียถง สายตาพลันหรี่แคบทอแสงประกายเย็นออกมา
เมื่อเห็นว่าอีตัวที่มาก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายได้แยกย้ายจากไปหมดแล้ว ณ เวลานี้ก็ไม่มีธุระอันใดเกี่ยวเนื่องกับตัวนางอีกต่อไป เซียถงเหลือบสายตาเย็นประดุจคมมีดสาดสวนไป๋หลี่หานกลับไป หมุนเตรียมตัวกลับเข้าเรือนพักของตนเอง
ขณะที่กำลังยกเท้าย่างออกไป มือข้างขวาของนางกลับถูกคว้าเสียงดังหมับ พอหันขวับมองกลับไป ก็ปรากฏว่าเป็น ไป๋หลี่หานที่ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือของนาง
ไม่ว่าเซี่ยถงจะพยายามออกแรงกระชากให้หลุดพ้นจากอีกฝ่ายเพียงใด กลับไม่แม้แต่ขยับเขยื้อนด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่าข้อมือขวาของนางกำลังถูกแท่งเหล็กนับสิบตันทับอยู่ จนไม่สามารถแม้แต่เคลื่อนขยับไปไหน
“จีบสตรีกลางที่สาธารณะทั้งยังเป็นบ้านเขาด้วย ท่านราชาหมาป่าสวรรค์คงไม่กลัวถูกคนอื่นนำเรื่องเหล่านี้ไปนินทา?”
มือข้างขวาของเซี่ยถงที่โดนไป๋หลี่หานคว้าจับอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคมมีดสั้นโผล่ปรากฏออกมาขึ้นอย่างเงียบงัน
“แต่ข้าว่า เรื่องที่เจ้ามีเจตนาสังหารข้าคนนี้น่าจะเป็นข่าวดังกว่ากระมัง? พึงทราบหรือไม่ว่า โทษของการลอบสังหารเชื้อพระวงศ์มันหนักหนาปานใด?”
ไป๋หลี่หานยกข้อมือขวาของเซียถงขึ้นมาดู เผยให้เห็นคมมีดสั้นสีเย็นส่องสะท้อนกับแสงจันทร์ เปล่งประกายวูบวาบ
ไป๋หลี่หานจับจ้องไปที่คมมีดสั้นในมือดังกล่าว ขมวดคิ้วย่นขึ้นเล็กน้อย
หากไม่ใช่เพราะแสงเย็นที่สาดสะท้อนจากตัวคมมีดสั้นใต้แขนเสื้อของเซียถงเล่มนี้ เขาคงจะเข้ามาห้ามปรามไว้ไม่ทันเหมือนกัน และเหตุการณ์ทุกอย่างคงไม่จบลงโดยง่าย กับเพียงเอ่ยกล่าวกันแค่สองสามประโยคแบบนี้แน่นอน