ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 291 ศึกปล่อยไก่ (1)
ตอนที่291 ศึกปล่อยไก่ (1)
ตอนที่291 ศึกปล่อยไก่ (1)
อวี๋เอ๋อร์พยักหน้ารับสั่งและเดินออกไป และทันทีที่นางปิดประตูจากออก เจ้าจี๋จี๋ก็คลานออกมาจากใต้ผ้าห่มบนเตียง กระโดดโหย่งขึ้นไปบนโต๊ะอาหาร และเริ่มสวาปามชามข้าวและอาหารจานข้างเคียงอย่างหิวกระหาย กระทั่งถ้วยโจ๊กยังถูกสูบลงท้องจนแห้งเหือกในพริบตาเดียว แค่นั้นยังพอมา มันเริ่มคลานไปทางซาลาเปานิ่งเข่งหนึ่งต่อ
เมื่ออวี๋เอ๋อร์ย้อนเข้ามาพร้อมอาหารเช้าชุดใหม่ในมือ จานชามโดนส่วนใหญ่บนโต๊ะล้วนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแล้ว นางชำเลืองไปเห็นเจ้าตัวก้อนขนปุกปุยนอนอ้วนพรีอยู่บนโต๊ะ พอลองวางอาหารเช้าถาดใหม่ลงบนโต๊ะอีกครั้ง มันก็กลิ้งตัวลุกขึ้นมา ส่งเรียงร่ำร้องทีหนึ่ง และเริ่มสวาปามอาหารเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
อวี๋เอ๋อร์มองเจ้าจี๋จี๋ที่จมหายไปในชามข้าวใบหนึ่ง จะมีก็เพียงเรียวหางนุ่มฟูสีแดงเพลิงที่กวัดแกว่งไปมาอยู่นอกชาม เห็นข้ามชามโตถูกซัดเรียบจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันสั้น นางถึงกับผงะอึ้ง รีบหันไปกล่าวกับเซียถงขึ้นว่า
“เดี๋ยวบ่าวไปเอาอาหารเช้าชุดใหม่มา…”
“ไม่จำเป็น”
เซียถงส่ายหัวแทรกตอบเบาๆ หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมาและยัดใส่ปากเข้าไป ตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกหิวเลย แค่ซาลาเปาสักลูกมันก็อยู่ท้องแล้ว
“คุณหนูเซีย ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับเมื่อวานนี้”
อวี๋เอ๋อร์ลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวออกมา
เซียถงมิค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานซ้ำสองนัก จึงหันไปพยักหน้าเบาๆ กับอวี๋เอ๋อร์เป็นคำตอบ
“โปรดอย่าได้กังวลคุณหนูเซีย บ่าวจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแน่นอนเจ้าค่ะ”
อวี๋เอ๋อร์กระซิบเสียงต่ำแผ่วเสมือนกับอ่านความคิดกันออก เพราะสังเกตจากท่าทางการแสดงออกของเซียถง ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า อีกฝ่ายลอบขึ้นหุบเขาซีเยว่เมื่อวานนี้
“อืม”
เซียถงเคี้ยวซาลาเปาตุยในปาก พลางครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วมองย้อนกลับไปหาอวี๋เอ๋อร์และเอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ของชิงเยวี่ยกำลังหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าอยู่งั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ ได้ยินนายท่านชิงเยวี่ยบอกว่า เมื่อสิบปีก่อน ท่านปรมาจารย์ไป๋เริ่มเข้าเก็บตัวปลีกวิเวกเพื่อหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าเจ้าค่ะ”
อวี๋เอ๋อร์กล่าวตอบ
“แล้วท่านปรมาจารย์ไป๋ที่ว่าเป็นชายหรือหญิง?”
เมื่อสิบปีก่อน? นี่มันช่วงเวลาเดียวกับตอนที่จือหยวนดื่มพิษของอาจารย์หยุนซีจนตกอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายมิใช่รึ? ชักจะเริ่มสงสัยเสียแล้วว่า โอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าที่ปรมาจารย์ไป๋กำลังหลอมกลั่นอยู่นั้น มันเกี่ยวข้องอะไรกับจือหยวนผู้นั้นหรือไม่?
“ท่านปรมาจารย์ไป๋เป็นผู้หญิงเจ้าค่ะ และนางยังงดงามเป็นอย่างมาก เป็นถึงอัจฉริยะในหมู่นักหลอมโอสถแห่งจักรวรรดิซีฉิน และนางยังเป็นเซียนโอสถเพียงคนเดียวในทวีปเทียนหลางแห่งนี้ มีบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตา เดินทางมาขอร้องให้นางช่วยหลอมกลั่นโอสถให้ไม่เว้นวัน แต่เป็นที่น่าเสียดายนัก เมื่อสิบปีที่แล้ว เพื่อที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดสำหรับหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้า นางถึงกับปลีกวิเวกเก็บตัวเงียบ จวบจนปัจจุบันก็ยังไร้วี่แววออกมา”
อวี๋เอ๋อร์กล่าวอธิบายเท่าที่ทราบให้ฟัง
“เป็นเช่นนั้น? แล้วเหตุใดนางถึงต้องหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าด้วยล่ะ?”
เซียถงก็ยังเอ่ยถามต่อไป
“เรื่องนี้บ่าวมิทราบ หากต้องการคำตอบเกรงว่าต้องไปถามนายท่านชิงเยวี่ยเองแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋เอ๋อร์ส่ายหน้าตอบไปตามตรง หันหน้าจับจ้องเซียถงด้วยความเป็นห่วง นางเอ่ยถามขึ้นแทนว่า
“แล้วอาการบาดเจ็บของคุณหนูเซียในวันนี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าค่ะ?”
เซียถงพยักหน้าตอบ ทั้งยังจดจ่ออยู่กับการกินซาลาเปาต่อไปโดยมิพูดมิจาใดๆ อีก คล้อยหลังรับประทานอาหารและแต่งตัวเสร็จสิ้น นางก็มุ่งหน้าตรงมาถึงสนามประลองตั้งแต่เช้า ตำแหน่งที่นั่งขององค์จักรพรรดิทั้งสี่ล้วนถูกนั่งพร้อมหน้ากันครบ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เซียถงแปลกใจก็คือ ผู้เข้าร่วมการประลองที่ยืนอยู่ด้านหลังที่นั่งขององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ กลับเหลือเพียงนางอยู่แค่คนเดียว
“เซียถง ฟังว่าเมื่อวานเจ้าไม่สบาย เช่นนั้นเช้าวันนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง? อาการดีขึ้นแล้วรึยัง?”
องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่หันกลับไปถามเซียถงที่ยืนประจำที่อยู่ด้านหลัง สีหน้าแววตาจะเห็นได้ชัดเจนว่าค่อนข้างเป็นกังวล เมื่อวาน ฉิงหยุนเพิ่งจะพ่ายให้กับทางฝั่งจักรวรรดิหน่านเฟิงไปหมาดๆ ดังนั้นแล้ว หากวันนี้เซียถงดันมาพ่ายอีกคน ก็เท่ากับว่าไม่เหลือผู้เข้าร่วมการประลองอีกแล้ว หรือก็คือ ได้อันดับโหล่ไปครองอีกปี และคงไม่พ้นถูกองค์จักรพรรดิอีกสามคนที่เหลือดูถูกสบประมาทดังเดิม
“หม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้ว ฝ่าบาทวางพระทัยได้”
เซียถงโค้งศีรษะกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
“เซียถง อนาคตต่อจากนี้ไม่ว่าจะดีหรือร้ายของจักรวรรดิตงหลี่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว แม้เจ้าจะไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ห้ามให้พวกเราอยู่ท้ายตาราง”
องค์จักรพรรดิตงหลี่กล่าวย้ำน้ำเสียงเข้มดุ พลางนึกถึงไปสีหน้าอันภาคภูมิใจสุดแสนขององค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงเมื่อวาน เลือดในกายก็พลันเดือดพล่านปะทุร้อน แทบอยากจะบีบคออีกฝ่ายให้ตายๆ ไปเสีย
ดังนั้นแล้ว งานประลองสี่จักรวรรดิในครั้งนี้ จักรวรรดิตงหลี่ห้ามครองอันดับโหล่เป็นอันขาด!
เซียถงโค้งศีรษะก้มต่ำมองพื้นเบื้องล่าง รอยยิ้มเย้ยหยั่นพลันแสยะกว้างถากถางออกมาอย่างลับๆ แต่ก็ยังกล่าวตอบน้ำเสียงสุภาพกลับไปว่า
“หม่อมฉันจะพยายามให้ดีที่สุด! ไม่มีวันให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง!”
“จักรวรรดิตงหลี่เหลือผู้ร่วมการประลองแค่คนเดียวแล้ว หนำซ้ำยังเป็นแค่เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่ง เกรงว่าครั้งนี้ จักรพรรดิตงหลี่คงต้องกินอันดับโหล่เช่นเคย! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
องค์จักรพรรดิแห่งหน่าเฟิงที่นั่งอยู่ข้างเคียง ชำเลืองสายตาเหลือบมองหนึ่งปราด แลเห็นเซียถงที่เป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่งก็ถึงกับระเบิดหัวเราะเยาะอย่างสนุกสำราญใจ
องค์จักรพรรดิตงหลี่ถึงกับขมวดคิ้วถักแน่น เหลือบสายตาเข้าสบปะทะอีกฝ่ายที่กำลังเยาะเย้ยตน พ่นลมหายใจเย็นชาสุดแสนออกมาเฮือกใหญ่ สภาพของตัวมันเองกลับมิได้ดีกว่าของเขามากนัก เพราะในเวลานี้ ทางฝ่ายจักรวรรดิหน่านเฟิงก็เหลือผู้ร่วมประลองแค่สองคนเท่านั้น แล้วมันยังมีสิทธิ์อันใดหัวเราะเยาะคนอื่น?
“เกรงว่ายังเร็วเกินไปที่จะกล่าวเช่นนั้น”
ทันใดนั้นเอง ไป๋หลี่หานที่วันนี้ยืนอยู่ด้านข้างองค์จักรพรรดิตงหลี่ก็เอ่ยปากแทรกขึ้นฉับพลัน
“ระดับความแข็งแกร่งหาได้สัมพันธ์กับช่วงอายุหรือเพศสภาพ สำหรับคนที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ ต่อให้ฝึกปรือแทบตายจวบจนอายุสี่สิบห้าสิบปี ก็ไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าได้เสียด้วยซ้ำ”
ทุกวาจาคำกล่าวประโยคนี้ของไป๋หลี่หานล้วนมีนัยแฝง แอบพูดจาเสียดสีและจี้ใจดำองค์จักรพรรดิหน่านเฟิงทางอ้อม กล่าวคือ แม้องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงจะอายุปาเข้าไปเกือบห้าสิบแล้ว แต่ระดับความแข็งแกร่งของเขากลับหยุดอยู่แค่ ขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูงเท่านั้น ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้จวบจนทุกวันนี้เป็นเพราะ เขามีลูกน้องใต้บัญชาดีก็เท่านั้น
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกขององค์จักรพรรดิหน่านเฟิงถึงกับบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งยวด ในบรรดาองค์จักรพรรดิแห่งสี่จักรวรรดิใหญ่ ในแง่พลังความแข็งแกร่ง ตัวเขานั้นอ่อนแอที่สุด
“หึ! แต่พรสวรรค์ในด้านการต่อสู้ของพวกคนจากตงหลี่ก็ยิ่งลงทุกที มิเช่นนั้นจะครองอันดับท้ายตารางจวบจนปัจจุบันงั้นรึ? ก่อนจะวิจารณ์คนอื่นหัดชะโงกดูเงาตนเองเสีย!”
องค์จักรพรรดิคำรามเสียงดังสนั่นใส่ทางฝั่งองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่คำโต
ไป๋หลี่หานกำลังจะปริปากตอบ แต่กลับถูกองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ขัดแทรกขึ้นว่า
“หึ! เช่นนั้นก็ดี! ข้าจะรอดูขุมพลังความแข็งแกร่งของพวกหน่านเฟิง! เซียถง ถึงตาของเจ้าแล้ว!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ ร่างอรชรสีขาวประดุจหิมะก็ทะยานเหินเวหา ร่อนลงไปยังสนามประลองทองคำ ณ เบื้องล่าง ท่วงท่าร่ายช่างประณีตชดช้อยดุจหิมะร่วงโรยในฤดูเหมันต์ที่เปล่าเปลี่ยว สองปลายเท้าแปะสัมผัสตัวพื้นสนามทองคำขาว กลายมาเป็นภาพฉากน่าอัศจรรย์งดงาม
และนั่นก็คือเซียถง
“สาวน้อย เจ้าอย่าได้หยิ่งผยองลำพองตนนัก! เพียงใบหน้าก็อัปลักษณ์เกินพอแล้ว หากโดนกระหน่ำทุบตีทำร้ายจนเลือดตกยางออก เกรงว่าจะยิ่งน่าขยะแขยงรังเกียจ!”
องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงจับจ้องเซียถงบนสนามประลองตาเขม็งขึงขัง โบกมือยกขึ้นเรียกทีหนึ่ง ก็ปรากฏชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังก้าวย่างเดินขึ้นหน้าออกมา
“ซี่ฟ่งออกมา! ลงไปสั่งสอนนังอัปลักษณ์นั่นสักหนึ่งบทเรียน!”
ซี่ฟ่งนิ่งตระหงานนิ่งสงบอยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมบริเวณท้องน้อย หากสังเกตให้ดีภายใต้ความนิ่งสงบเคร่งขรึม เนื้อตัวของเขากลับสั่นเทาไม่หยุด ชายหนุ่มที่ชื่อซี่ฟ่งได้แต่กรีดร้องแด่ความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองในใจ เพราะไม่นานหลังจากที่ตนรับประทานอาหารตอนเช้า เขาก็วิ่งเข้าห้องน้ำมากกว่าสิบรอบแล้ว กระทั่งตอนนี้เอง ก็ยังอยากหาห้องน้ำเข้ายิ่งกว่าสิ่งใดอื่น เนื่องด้วยอาการท้องร่วงที่เกิดขึ้น อย่าว่าแต่มีแรงไปต่อสู้กับใครเลย แค่วิ่งเข้าออกห้องน้ำก็สูบแรงเขาไปครึ่งต่อครึ่งแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะเดินทางออกจากโรงเตี้ยมมายังสนามประลอง เขาจึงไปขอยาแก้ท้องร่วงจากชิงเยวี่ย ทว่าไม่เพียงจะไม่ได้ผลใดๆ แต่ยังไปกระตุ้นอาการท้องร่วงให้กำเริบรุนแรงหนักขึ้นไปอีก!
หากเลือกได้ ซี่ฟ่งไม่คิดอยากจะลงสนามในวันนี้เลย ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ก็เหงื่อแตกพลั่กจนท่วมตัวแล้ว อยากจะขอให้ใครสักคนมาลงประลองแทนเขาเหลือเกิน แต่โชคร้ายนักที่นี่เป็นการประลองแบบคัดคนออก ดังนั้นจึงไม่สามารถเปลี่ยนคนลงแทนได้ พอได้ยินองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงเรียกตัวออกมา ก็รู้สึกเป็นกังวลสุดขีด ทำได้เพียงสูดหายใจลึกสุดขั้วปอด เดินขมิบตูดลงไปยังสนามประลองทั้งแบบนั้น