ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 293 ค้างแรมในคฤหาสน์ (1)
ตอนที่293 ค้างแรมในคฤหาสน์ (1)
ตอนที่293 ค้างแรมในคฤหาสน์ (1)
เซียถงเดินทางมายังคฤหาสน์ของชิงเยวี่ย เพื่อมาขออุปกรณ์สำหรับหลอมกลั่นโอสถที่ต้องการ ซึ่งคฤหาสน์ของชิงเยวี่ยที่ว่านั้นกว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่นางจินตนาการคาดคิดเอาไว้หลายทวีเท่า กำแพงหยกสีเขียวถนอมสายตา ฉาบพื้นด้วยกระเบื้องหินอ่อนลายแดง เสาคานเป็นไม้ศักดิ์ใหญ่แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง ชายคาตัวเรือนค่อนข้างสูงโปร่งสบาย
นักหลอมโอสถเป็นอาชีพที่ร่ำรวยมากในทวีปเทียนหลาง โดยเฉพาะกับนักหลอมโอสถที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิซีฉิน
คล้อยหลังเดินติดตามชิงเยวี่ยไปได้ครู่หนึ่ง ผ่านประตูบานยักษ์ลายคลื่นอยู่หลายด่าน จนทั้งสองหยุดลงที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ และเมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเสาคานสลักมหึมาที่ทำจากหยกบริสุทธิ์ทั้งแท่งอยู่สองสามต้น พื้นเดินเป็นหินอ่อนสีน้ำทะเลครามฟ้างดงามดุจห้วงอวกาศ ประดับประดาสมุนไพรและบุปผาขนาบสองข้างทางหลายหลากสีสัน
คฤหาสน์หรูแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินอันมั่งคั่งได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดใช้จ่ายเงินไปกับวัสดุและของตกแต่งรอบคฤหาสน์ได้ฟุ่มเฟือยปานนี้
“นี่เป็นเรือนหลอมกลั่นโอสถของข้าพเจ้า”
ชิงเยวี่ยผลักประตูไม้ศักดิ์บานยักษ์ลง บรรยากาศภายในนี้ให้อารมณ์ค่อนข้างเงียบสงบ ถึงตัวเรือนภายในจะหรูหรา แต่โดยรวมมิได้มีข้าวของอะไรมากมาย ค่อนข้างเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ และชั้นวางของยาวสำหรับเก็บสมุนไพรนานาชนิดที่สะสมเอาไว้
ชิงเยวี่ยพาเซียถงเดินแนะนำส่วนต่างๆ ภายในเรือน ชี้ไปที่เตาหลอมโอสถและกล่าวขึ้นว่า
“คุณหนูเซีย ท่านสามารถหยิบใช้สอยสิ่งของภายในนี้ได้ตามต้องการ หากต้องการอะไรเพิ่มเติมก็แจ้งข้าพเจ้าได้ตลอด”
หลังจากนั้น เขาก็หมุนตัวกลับเตรียมเดินจากออกไป
กฎเหล็กสำคัญสำหรับนักหลอมโอสถ เมื่อใดที่มีนักหลอมโอสถเริ่มหลอมกลั่นโอสถ ห้ามเข้ารบกวนโดยเด็ดขาด อนึ่งเป็นเพราะอาจทำให้เสียสมาธิได้ และสองที่เป็นประการสำคัญยิ่งยวดคือ เพราะอาจถูกนักหลอมโอสถคนอื่นแอบขโมยสูตรโอสถไปได้ ซึ่งชิงเยวี่ยเขาก็ใจกว้างอย่างมาก ไม่เพียงจะให้ยืมสถานที่หลอมกลั่นโอสถ แต่ยังมีทารยาทดีเยี่ยม ไม่ขอรบกวนเวลาส่วนตัวของเซียถง ทำเอานางรู้สึกละอายใจเสียเล็กน้อย จึงหันไปกล่าวหยุดอีกฝ่ายว่า
“นายท่านชิงเยวี่ย ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนก็ได้กระมัง เผื่อว่าบางทีข้าไม่เข้าใจในส่วนใด จะได้ขอคำแนะนำจากรุ่นพี่อย่างท่านได้”
“แล้วคุณหนูเซียไม่กลัวข้าแอบดูสูตรโอสถหรอกรึ?”
ชิงเยวี่ยชะงักฝีเท้าเล็กน้อย หันกลับมาเอ่ยถาม และสำหรับคำกล่าวก่อนหน้านี้ที่เซียงปฏิเสธว่าตนเองมิใช่นักหลอมโอสถ ในส่วนนี้เขามั่นใจว่า นางเพียงถ่อมตัวเท่านั้น
“เซียถงคนนี้รู้เพียงทักษะพื้นฐาน ยังมีสิ่งใดให้ต้องซ่อน? เกรงใจท่านมากกว่าที่ต้องมาดูคนฝึกหัดอย่างข้าให้เสียเวลาเปล่า”
เซียถงส่งยิ้มตอบ ทันทีที่พูดจบ นางก็หันมามุ่งความสนใจอยู่กับสมุนไพรบนชั้นวางทอดยาวสุดสายตาเบื้องหน้า เลือกหยิบสรรพเฉพาะสมุนไพรที่ต้องการ และเริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโอสถทันที เนื่องจากนางมีสมุนไพรคุณภาพสูงอยู่จำนวนหนึ่งที่เก็บกลับมาจากหุบเขาซีเยว่ ก็เลยรู้สึกคันไม้คันมือ อยากทดลองหลอมกลั่นโอสถสักชนิดเพื่อนำมาใช้เพิ่มเสริมความแข็งแกร่งของตน
ชิงเยวี่ยคอยเฝ้ามองอยู่เคียงข้าง จับจ้องสองมือของเซียถงที่ร่ายประกอบการอย่างชำนาญ และยิ่งเฝ้ามองมากเท่าไหร่ สายตาคู่นั้นของเขาก็ยิ่งเป็นประกายสดใสมากขึ้นเท่านั้น ยามนี้เขาเห็นแล้วว่า สิ่งที่เซียถงตั้งใจจะหลอมกลั่นก็คือโอสถที่ใช้สำหรับเสริมความแข็งแกร่ง
หากต้องการโอสถเพิ่มยกระดับพลังลมปราณให้แกร่งกล้าขึ้น โอสถนั้นจำเป็นจะต้องมีระดับชั้นสัมพันธ์กับพลังลมปราณของผู้ทาน นั่นหมายความว่า โอสถที่เซียถงกำลังจะหลอมกลั่นเป็นถึงโอสถระดับสี่ ซึ่งเทียบเท่าได้กับขอบเขตเสาหลักฟ้า และโอสถระดับชั้นนี้มีเพียงปราชญ์โอสถขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ และต้องใช้เวลาอย่างต่ำห้าวันห้าคืนเต็ม แต่…เป็นไปได้ไหมว่า นาวคนนี้ตั้งใจที่จะหลอมกลั่นให้เสร็จสรรพชั่วข้ามคืน?
ทันใดนั้นเอง เมื่อชิงเยวี่ยได้เห็นเปลวไฟสีทองอร่ามลุกโชติช่วงจากบนฝ่ามือของเซียถง เขาถึงกับเบิกตาโตแทบถลนออกมา อ้าปากค้างเติ่งด้วยความตกตะลึงยิ่งยวด
เพลิงพิภพเก้าดุษณี! หนึ่งในไฟวิเศษในตำนาน! นางมีเพลิงพิภพเก้าดุษณีไว้ในครอบครองด้วยจริงๆ งั้นรึ?!
ตัดสลับจับจ้องไปที่เซียถงอีกครั้งโดยมิตั้งใจ ประกายตาคู่นั้นคล้ายเกิดประกายไฟลุกโชนเร่าร้อน นักหลอมโอสถทุกคนบนผืนพิภพล้วนมีความฝัน ต้องการถวิลหาเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาครอบครองทั้งสิ้น แต่ใครจะไปคิด ตอนนี้เพลิงพิภพเก้าดุษณีในตำนานจะอยู่ในมือของนักหลอมโอสถน้อยคนหนึ่ง นี่ถือเป็นเรื่องเกินคาดอย่างแท้จริง!
เซียถงเพ่งจิตสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับเปลวเพลิงสีทองอร่ามบนฝ่ามือ ควบคุมให้ลอยลิ่วลงไปในเตาหลอมโอสถ เพียงเสี้ยวพริบตาที่เข้าไป เปลวเพลิงสีทองอร่ามก็ปลุกโหมร้อนแรง ขยับขยายรัศมีแผดเผาเป็นวงกว้างใหญ่ขึ้น
ไม่อยากจะคิดเลย เซียถงในตอนนี้ยังมีระดับพลังอยู่แค่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงเท่านั้น แต่เพลิงพิภพเก้าดุษณีก็ทรงประสิทธิภาพขนาดนี้แล้ว หากนางทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตราชันย์ม่วง มันจะยิ่งทรงพลังมหาศาลปานใด?
เซียถงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รู้สึกมีความสุขเล็กน้อยภายในใจ เมื่อนางมุ่งสมาธิถอนกลับออกมา ก็เหลือบไปเห็นชิงเยวี่ยที่อ้าปากค้างมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าสุดจะเหลือเชื่อ นางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายและกล่าวว่า
“นายท่านชิงเยวี่ย คงรู้จักไฟวิเศษชนิดนี้กระมัง?”
“เพลิงพิภพเด่าดุษณี หนึ่งในไฟวิเศษในตำนาน สมบัติวิเศษฟ้าดินที่นักหลอมโอสถใต้หล้าล้วนใฝ่ฝัน”
ชิงเยวี่ยจับจ้องไปที่เปลวเพลิงสีทองที่กำลังลุกโหมบนเตาหลอม จวบจนตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกว่านี่ฝันไป เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นเพียงตำนานที่บอกต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น!
“ถูกต้องแล้ว โอสถที่หลอมสร้างขึ้นโดยเพลิงพิภพเก้าดุษณีจะมีประสิทธิภาพดีกว่าโอสถที่หลอมกลั่นด้วยไฟทั่วไปถึงหลายทวีเท่า”
เซียถงพยักหน้าตอบ
“ท่านกำลังจะหลอมกลั่นโอสถเสริมพลังความแข็งแกร่งกระมัง?”
ชิงเยวี่ยค่อยๆ ถอดถอนสายตาออกจากเปลวเพลิงสีทองอร่ามดวงนั้น สีหน้าการแสดงออกกลับกลายมาเป็นปกติดังเดิม
เซียถงพยักหน้าตอบ หลินเฟยคนนั้นเปรียบเสมือนก้อนศิลายักษ์ที่กดทับหัวใจของนางตลอดงานประลองครั้งนี้ สิ่งที่นางต้องการที่สุดคือ การพึ่งพาฤทธิ์โอสถเพื่อยกระดับพลังความแข็งแกร่งขึ้นมาโดยเร็ว ด้วยวิธีดังกล่าว มันจะช่วยเพิ่มโอกาสชนะแก่นางได้มากขึ้นอีกเล็กน้อย
ชิงเยวี่ยพยักหน้าและหยุดส่งเสียงใดๆ อีกต่อไป ปล่อยให้เซียถงใช้สมาธิกับการหลอมกลั่นโอสถตรงหน้า ส่วนตนก็มีหน้าที่เฝ้าดูเท่านั้น
เสี่ยวฮั่วเคยสอนสูตรโอสถเสริมความแข็งแกร่งชนิดหนี่งแก่เซียถงเมื่อนานมากแล้ว แต่ตอนนั้น ติดปัญหาที่ว่าตัวนางขาดแคลนทรัพยากรและวัตถุดิบที่จำเป็นหลายอย่าง ก็เลยไม่มีโอกาสลองเสียที
แต่ตอนนี้มีทั้งเพลิงพิภพเก้าดุษณี ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีสมุนไพรหายากจำนวนมากมายที่เก็บมาจากหุบเขาซีเยว่ โอกาสเพียบพร้อมขนาดนี้ มีหรือยังจะไม่ลงมือ?
ทยอยใส่สมุนไพรซึ่งเป็นวัตถุดิบลงในเตาหลอม เซียถงยื่นหน้าออกไปมองเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่กำลังลุกโชนตรงหน้า ถึงว่ามันจะดูมีอำนาจแผดเผารุนแรงสักเพียงใด แต่มันกลับเหมือนคนพิการที่เนื้อไฟหายไปครึ่งต่อครึ่ง และจำเป็นจะต้องเติมเปลวไฟทั่วไปลงในเตาหลอมเพื่อเข้าเติมเต็มให้สมบูรณ์
“เพลิงพิภพเก้าดุษณีของคุณหนูเซีย เนื้อไฟคล้ายจะหายไปครึ่งหนึ่ง”
ชิงเยวี่ยสังเกตเห็นเปลวไฟสีทองอร่ามตรงหน้าคล้ายมีความผิดปกติบางอย่าง เช่นนั้นจึงเอ่ยอุทานคำหนึ่งเจือแววสงสัย
เซียถงพยักหน้าตอบ
“หายไปเกินครึ่งเสียด้วยซ้ำ”
กล่าวไปได้ครึ่งประโยค เซียถงก็เหลียวศีรษะชำเลืองมองไปทางชิงเยวี่ยและกล่าวต่อว่า
“ถึงแม้จะมีเนื้อไฟเพียงส่วนหนึ่ง แต่หากมันอยู่ในมือของเซียนโอสถ ขุมพลังเผาผลาญคงเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก”
ปลายคิ้วชิงเยวี่ยถึงกับกระตุกแรงทีหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายสว่างไสวขึ้นทันใด มองหน้าสบกับเซียถงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มิได้ปริปากตอบอันใดกลับไป
เซียถงถอดถอนสายตาออก หันไปควบคุมเปลวไฟสีทองอร่ามตรงหน้าต่อไป พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ฟังว่า อาจารย์ของนายท่านชิงเยวี่ยพยายามหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้ากว่าสิบปีแล้ว จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ออกจากการเก็บตัวเสียที บางทีเพลิงพิภพเก้าดุษณีในมือข้าอาจช่วยอะไรได้”
ยิ่งฟังดังนั้น ชิงเยวี่ยยิ่งตาเป็นประกายสดใสจัดจ้าน เหลือบมองไปที่เพลิงสีทองอร่ามที่กำลังเต้นระบำในเตาหลอม เขาเร่งระงับความตื่นเต้นทั้งหมดลงในใจ กล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นว่า
“ถูกต้องแล้ว ระยะสิบปีมานี้ ท่านอาจารย์ของข้าพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าขึ้นมา หากคุณหนูเซียเต็มใจให้หยิบยืมมาใช้ชั่วคราว ชิงเยวี่ยคนนี้รู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”
“แน่นอนว่าเต็มใจช่วยเหลือ”
เซียถงพยักหน้าตอบตกลงอย่างง่ายดาย เพราะนางเองก็กำลังหาทางหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าอยู่เช่นกัน หากได้รับความช่วยเหลือจากท่านปรมาจารย์ไป๋ บางทีพวกนางทั้งสองอาจร่วมมือกันได้ และทั้งหมดก็เพื่อหลอมสร้างโอสถวัฏจักรฟื้นคืนระดับเก้าที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา
และก็หวังว่าจะใช้ระยะเวลาหลอมกลั่นโอสถไม่นานเกินไป
“เช่นนั้นแล้ว พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานกับท่านอาจารย์เลย หากคุณหนูเซียมีข้อสงสัยในสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องหลอมกลั่นโอสถ ก็ฝากถามผ่านข้าพเจ้ามาได้ทุกเมื่อ เดี๋ยวจะไปฝากถามท่านอาจารย์ขอคำตอบมาให้”
แววตาคู่นั้นของชิงเยวี่ยเปี่ยมล้นความตื่นอกตื่นเต้นราวกับลิงโลด