ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 296 ไป๋หลี่หานคลั่ง (2)
ตอนที่ 296 ไป๋หลี่หานคลั่ง (2)
ตอนที่ 296 ไป๋หลี่หานคลั่ง (2)
ชิงเยวี่ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้น คู่คิ้วขมวดย่นเล็กน้อย แต่ประกายตาคู่นั้นกลับดูปราศจากความกังวล เขากวาดสายตามองไป๋หลี่หานตั้งแต่หัวจรดล่างอยู่สองสามคราจนมั่นใจ ระบายยิ้มบางเผยแสดงออกมาอย่างโล่งใจ
เอื้อมมือไปตบไหล่โม่ซวนเบาๆ ไปที และยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าพนันได้เลย นายท่านของเจ้าไม่มีมีทางทำร้ายร่างกายคุณหนูเซียแน่นอน”
โม่ซวนชำเลืองสายตามองย้อนกลับมาหาอีกฝ่าย สีหน้าเผยแววประหลาดใจหนึ่งส่วน ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับเขาๆ และเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าต่อไป และทันใดนั้นเอง ไป๋หลี่หานก็ยกมือขวาโบกสะบัด บังเกิดเป็นคลื่นลมปราณสุดแกร่งกล้าตลบใหญ่ซัดกระเด็นออกมา ชักนำแผ่นหินอ่อนสีขาวก้อนยักษ์ที่แตกระแหงตามพื้น ลอยลิ่วปลิวเข้าใส่ทางด้านฝูงชนโดยรอบ
บรรดาฝูงชนทั้งหลายรีบปลุกกระตุ้นพลังลมปราณเร่งเร้ากันสุดขั้วเพื่อป้องกัน โม่ซวนเองก็รีบยกมือขึ้นตั้งรับ ชักหอบกระแสลมปราณปราการแกร่งขึ้นปัดป้อง แต่ทันใดนั้นเขาก็พลันได้ยินเสียงของแข็งตกกระทบดัง ‘ปัง!’ อยู่เคียงข้างไม่ไกลจากกัน พอหันศีรษะเหลียวมองตามเสียง ก็เห็นชิงเยวี่ยโดนแผ่นหินอ่อนตามพื้นขนาดยักษ์ฟาดเข้าใส่เต็มหน้า เลือดกำเดาไหลพุ่งทะลักออกมาประดุจน้ำพุ เจอเข้าแบบนี้ โม่ซวนถึงกับอดยิ้มขื่นมิได้ นายท่านของเขาเป็นพวกแค้นแรงเอาคืหนักโดยแท้
สายลมตลบใหญ่ที่โกลาหลสุดแสนได้สงบลง เมื่อทุกคนลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง กลับเห็นว่าตำแหน่งที่เซียถงและไป๋หลี่หานเคยยืนอยู่ ณ ปัจจุบันกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า พวกเขาหายตัวไปแล้ว
ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าตกกระทบกับพื้น เหม่อมองตามเสียงดังกล่าวไป ก็แลเห็นเงาร่างสีดำสองคนที่อยู่บนหลังมือควบทะยานออกไปไกลจนโพ้นสายตาแล้ว
ไป๋หลี่หานควบม้าทะยานออกไปยังถนนสายหลักของเมือง เกือบจะเหยียบผู้คนทั่วบริเวณนั้นตายคาที่อยู่หลายต่อหลายครั้ง จากเส้นทางที่แออัดไปด้วยฝูงชนเบียดเสียด พวกเขาทั้งหลายต่างรีบหลีกทางกันอย่างอลหม่าน เปิดเป็นเส้นทางสายยาวให้ม้าเคลื่อนผ่านได้สะดวก มิให้เหยียบพวกเขาตายกันไปเสียก่อน ระหว่างทางทั้งเสียงสบถด่า ร้องเรียกไปถึงบุพการีต่างๆ นานาดังสนั่น
เซียถงพยาบยมบิดกายทรงตัว และเริ่มดิ้นตะเกียกตะกายสุดกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาของชายที่กำลังควบขี่ม้า จะอย่างไร ไป๋หลี่หานยิ่งกอดร่างกระชับแน่นหนาไม่มีคลาย ไม่ว่านางจะออกแรงสักเท่าไหร่กลับเปล่าประโยชน์เสมือนถูกคลีมเหล็กกล้าโอบรัด
“ไป๋หลี่หาน! นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
เซียถงคำรามลั่นโกรธจัด พร้อมเลื่อนมีดสั้นในมือขึ้นมาพร้อมวาดรัศมียกขึ้นสูง จากนั้นก็เริ่มกระหน่ำจ้วงแทงไหล่ขวาของอีกฝ่ายอย่างไร้ปราณีไม่หยุด
ไป๋หลี่หานพ่นลมหายใจเย็นระบายเฮือกใหญ่ หญิงสาวที่อยู่ในมือนางนี้นับวันนี้ยิ่งรับมือด้วยได้ลำบากขึ้น กระนั้นเขาก็ยังคงควบม้าต่อไปกำลังจะพานางไปยังที่แห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเอง บังเอิญว่าม้าเผลอวิ่งไปชนเข้ากับแผงขายเครื่องเทศตรงมุมถนนจนร่วงกราวลงมา ทั้งไหและขวดหลายหลากรูปทรงหล่นตกพื้นจนแตกละเอียด เซียถงพลันไปได้ยิน สุ้มเสียงชายชราที่เป็นเจ้าของแผงดังกล่าวส่งเสียงร้องคร่ำครวญดัง
“ไป๋หลี่หาน! เจ้ามันบ้าไปแล้ว!”
มีดสั้นในมือเซียถงยกขึ้นสูงและเริ่มกระหน่ำแทงใส่หัวไหล่ของไป๋หลี่หานอีกครั้ง
ดูราวกับว่าไป๋หลี่หานปราศจากความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ และปล่อยให้อีกฝ่ายกระหน่ำมีดสั้นในมือใส่จนสาแก่ใจอยาก แต่มือข้างนั้นก็ยังโอบอุ้มร่างของนางไว้แน่น ควบทะยานม้าออกไปไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางคือแห่งหดใด
สิบที ยี่สิบที สามสิบที…
เซียถงกระหน่ำแทงมีดสั้นเสียบทะลุหัวไหล่ของอีกฝ่ายไม่ยั้งมือจนลืมนับ แต่นางสัมผัสได้ทันทีว่า บริเวณต้นแขนที่ติดแนบกับบริเวณหัวไหล่ของอีกฝ่ายเริ่มเปียกโชก สัมผัสถึงโลหิตที่ร้อนกรุ่นซึมซาบไหลรินออกมา ถึงจะไม่เห็นแต่นางก็พอคาดเดาได้แล้วว่า สภาพบาดแผลที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายมันจะน่าสยดสยองเพียงใด
รู้สึกได้ถึงปริมาณโลหิตสดที่ไหลทะลักออกมาจากหัวไหลของตน ไป๋หลี่หานก้มหน้าก้มตาลงมองพร้อมสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับนางเลย ส่วนเรื่องลงมือสังหารนางยิ่งไม่เคยมีอยู่ในหัว!
ไป๋หลี่หานขบกัดริมฝีปากล่างพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวด ยิ่งเวลาผ่านไปอำนาจการควบคุมสถานการณ์ในขณะนี้ยิ่งตกเป็นของคนที่อยู่ในอ้อมแขนมากขึ้นเรื่อยๆ
ณ สถานที่แห่งนี้ ม้าตัวนั้นได้พาทั้งสองเข้ามายังป่าดอกเหมย บรรยากาศภายในนี้ดั่งทั่วผืนพิภพกลายเป็นสีชมพู ดอกเหมยทั้งหลายบานสะพรั่งสวยงาม
ทัศนียภาพที่สวยสดงดงามได้สะกดอารมณ์ของเหล่าผู้คนได้อย่างน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงชายหญิงคู่นี้!
สายลมโหมกระพือเสียดอยู่ข้างหูได้หยุดลงพร้อมกับฝีเท้าของม้าตัวนั้น ก่อนที่เซียถงจะฟื้นสติคืนกลับมาจากความบ้าคลั่ง ในขณะเดียวกัน ไป๋หลี่หานก็พาอีกฝ่ายอุ้มลงมาจากหลังม้า
อ้อมแขนของเขาก็ยังกอดรัดร่างเซียถงดั่งก่อนหน้า ได้กลิ่นหอมจางอ่อนของดอกเหมยที่ลอยผ่านในอากาศ กระนั้นก็ยังสามารถแยกแยะกลิ่นนี้กับกลิ่นกายเฉพาะของอิสตรีในอ้อมแขนได้อย่างแม่นยำ นั่นเป็นกลิ่นหวานฉ่ำชวนลุ่มหลง ในขณะที่กลิ่นหอมของดอกเหมยจะเป็นแนวสมุนไพรเสียมากกว่า
ไป๋หลี่หานหลี่สายตาแคบลงหนึ่งส่วน สัมผัสได้ถึงเรือนร่างที่แสนอ่อนนุ่มเสมือนกับว่าหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาไม่มีกระดูก เมื่อเวลาค่อยๆ พ้นผ่านไป เพลิงโทสะที่เกรี้ยวกราดภายในใจของเขาก็ค่อยๆ มลายหายไปทีละเล็กละน้อย
ลงจากหลังม้าได้สักครู่ใหญ่ สังเกตเห็นว่าปราศจากทีท่าเคลื่อนไหวใดๆ อีกของชายที่กำลังโอบอุ้มร่างของนางเอาไว้ เซียถงก็หยุดมือลง เงยศีรษะแหงนหน้าขึ้นมองก็พบว่า อีกฝ่ายกำลังยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางสวนป่าดอกเหมยอยู่
เห็นไป๋หลี่หานยังทำตัวสบายๆ ไร้กังวลแบบนั้น นางยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ยกมีดสั้นเสียบเข้าใส่หัวไหล่ของอีกฝ่ายที่ทั้งเร็วแรงประดุจสายฟ้า และปล่อยให้มันคาอยู่แบบนั้น ก่นเสียงเย็นชาคำรามขึ้นว่า
“กล้าก่อปัญหาให้ข้า เจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”
หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นมองด้วยความโกรธ ในเวลานี้นางไม่ต่างอะไรกับพยัคฆ์น้อยที่กำลังเดือดดาล แม้สีหน้าน้ำเสียงจะฟังดูเย็นชา ทว่าความเย็นชาที่ว่ากลับดูไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ส่วนใหญ่คงมีแต่อารมณ์หงุดหงิดหัวเสีย
ไป๋หลี่หานคนนี้มักจะชอบสร้างปัญหา ทำตัวน่าหงุดหงิดใส่นางครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากความงี่เง่าของอีกฝ่าย สุดท้ายนางทนไม่ไหวอีกต่อไป เรียกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นมาในมือทันควัน พยายามหามุมยกเพื่อฟันใส่อีกฝ่ายทันที
คู่คิ้วไป๋หลี่หานถักแน่นแทบติดชน จากนั้นก็รีบคลายอ้อมแขนปล่อยเซียถงออกไปโดยไว
เซียถงกลับตัวขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว เร่งฝีเท้ากระโจนหนีทิ้งห่างได้ระยะหนึ่งที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว ในมือกำด้ามกระบี่ไว้แน่น จ้องไปที่ไป๋หลี่หานตาเขม็งอย่างระแวดระวัง
“พวกเราเพิ่งทะเลาะหงุดหงิดใส่กันได้เมื่อวันก่อน พอมาวันนี้เจ้ากลับชักกระบี่หันใส่ข้าแล้วรึ?”
เฝ้าจับจ้องคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่ชี้เข้าใส่ ดวงตาคู่นั่นของไป๋หลี่หานสั่นไสวรวนเร แววความโกรธในยามนี้แทบหายจนหมดสิ้น แต่กลับถูกแทนที่มาด้วยแววความเสียใจ
“ก็เจ้าบีบให้ข้าต้องทำเช่นนี้เอง!”
เซียถงสวนตอบกลับไปตามตรง