ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 297 ชัยชนะแสนง่าย (1)
ตอนที่297 ชัยชนะแสนง่าย (1)
ตอนที่297 ชัยชนะแสนง่าย (1)
ไป๋หลี่หานร่างกายาสั่นสะทกเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้จากปากเซียถง ประกายตาภายใต้หน้ากากนั้นส่องสว่างวาบหนึ่ง เหลือบมองไปยังปลายกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเสียดสีเย็นยะเยือกที่ลุจ่อ เขากล่าวขึ้นว่า
“แล้วเจ้าหายดีจากอาการบาดเจ็บแล้วรึ? รู้สึกว่าพลังลมปราณของเจ้าจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว?”
เนื่องด้วยก่อนหน้า เจ้าตัวโดนโทสะเข้าครอบงำ จึงมิสนใจเรื่องพลังลมปราณที่แกร่งกล้าขึ้นของเซียถงเลย แต่ตอนนี้ เมื่อไป๋หลี่หานสงบจิตสงบใจลงมากแล้ว ต่อหน้าต่อหาคลื่นยแรงกดดันที่พัดโหมมาจากตัวเซียถง เขาพลันตระหนักได้ทันใด หญิงสาวนางนี้ทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตราชันย์ม่วงแล้ว!
จากศึกสัประยุทธ์เฉียดเป็นเฉียดตายก่อนหน้า ทำให้นางเลื่อนระดับขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูง และภายในไม่กี่วันต่อจากนั้น นางก็ทะลวงขึ้นเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นต้นได้แล้วจริงๆ! ระดับพลังลมปราณเพิ่มพูนขึ้นสองขั้นด้วยเวลาอันสั้นปานนี้ ทำเอาไป๋หลี่หานอดตะลึงมิได้ มิยักรู้มาก่อนเลยว่า บนผืนพิภพแห่งนี้จะมีใครบางคนที่สามารถยกระดับตัวเองได้เร็วเพียงพริบตา!
“ถูกต้อง อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว จะเหลือก็แค่ท่านที่ยังสาหัส ดังนั้นเมื่อใดที่เริ่มขยับ ท่านจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที!”
เลิกคิ้วกระตุกขึ้นทีหนึ่ง เซียถงกล่าวยอมรับตามจริง
ศึกสัประยุทธ์ครั้งล่าสุด อาการบาดเจ็บของไป๋หลี่หานหาใช่ว่าเบาบาง กระนั้นก็ยังไม่มีเส้นเลือดของสัตว์อสูรปราณวิญญาณที่คอยใช้หยิบรักษาแบบตอนที่ชิงเยวี่ยช่วยเซียถง อย่างไรเสีย ทั้งที่ตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจว่า บาดเจ็บสาหัสปานนี้ แต่ความเย่อหยิ่งองอาจของเขากลับมิได้ถูกลดทอนลงเลย
“ดูท่าข้าผู้นี้คงไม่จำต้องกังวลอันใดอีกแล้ว”
ไป๋หลี่หานสะบัดแขนเสื้อคลุม เงยหน้าเชยชมทุ่งดอกเหมยเหนือศีรษะ กิ่งก้านประดับเคียงกลีบดอกสีชมพู สายลมยามเช้าพัดโชยอ่อนนำพา เขาเปล่งเสียงกล่าวประโยคหนึ่ง สีหน้าสดใส แตกต่างจากเมื่อครู่ที่เปี่ยมล้นโทสะเดือดดาล
เอ่อ…ทัศนคติหมอนี่มันไม่เปลี่ยนเร็วไปหน่อยรึ?
ดวงตาเซียถงเป็นประกาย นางเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้วทำไมต้องไปทำกับนายท่านชิงเยวี่ยเช่นนั้น?”
“โอ้? แค้นแทนอีกฝ่ายกระมัง? เช่นนั้นก็ลงมือกับข้าเลยสิ”
สิ้นเสียงกล่าวจบ ไป๋หลี่หานก็ค่อยๆ โน้มคอพาดคมกระบี่เล่มยาวเบื้องหน้า สายตาสบปะทะเข้ากับเซียถงและเอ่ยขึ้นต่อว่า
‘แล้วเมื่อคืนเจ้าหลับสบายหรือไม่? ในคฤหาสน์ชิงเมื่อคืนนี้?”
น้ำเสียงที่ใช้ก็ยังฟังดูสบายไม่มีอะไรผิดแปลก แต่เซียถงกลับได้กลิ่นเปรี้ยวมาแต่ไกล
ห่ะ…อะไรของมัน? หรือว่าไป๋หลี่หานกำลังหึง? โดยสรุปทั้งหมดทั้งมวลก็แค่หึงนาง?
คู่คิ้วเรียวโค้งดุจคันศรของเซียถงพลันคลายอ่อนลงหลายส่วน นางอยากจะระเบิดหัวเราะออกมาดังๆ สักที ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี มิยักรู้เลยว่า จะมีไหน้ำส้มสายชูหกใส่ตัวไป๋หลี่หาน ถึงได้ออกอาการหึงหวงจนกลิ่นเปรี้ยวหึ่งขนาดนี้ คิดไปพลางว่า บนผินพิภพที่ยืนอยู่ยังมีเรื่องใดตลกกว่านี้อีกหรือไม่?
หากไป๋หลี่หานเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางมาก่อน บางทีนางอาจจะเชื่อจริงๆ ว่า เขากำลังหึง แต่ตอนนี้ใบหน้าของนางอัปลักษณ์น่าเกลียดจะตายชัก หมอนี่คงไม่โง่ขนาดนั้น
ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ แต่มุมปากเซียก็ยังแอบกระตุกยิ้มบางๆ หัวเราะเยาะไปทีพลางเอ่ยขึ้นว่า
“หรือว่า…ท่านหึงข้า?”
พอได้ยินแบบนั้น ไป๋หลี่หานสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างอ้าออกดูตื่นตกใจ รีบเชิดคางสูงเปล่งวาจาสุดเย่อหยิ่งขึ้นว่า
“หึงงั้นรึ? แล้วข้าผู้นี้ไปพิษวาทเจ้าเสียตอนไหน?”
ฟังแล้วน้ำเสียงหยิ่งผยองจองเดช สายตาแสดงความเย่อหยิ่งออกมาชัดเจน แต่ในสายตาที่เซียถงได้เห็น อีกฝ่ายแทบจะตัวแบนติดพื้นเนื่องจากประหม่า
“หึ!”
ไป๋หลี่หานรีบเบี่ยงสายตาจับจ้องไปยังทิศทางอื่นโดยไว เปล่งน้ำเสียงเย็นชืดขึ้นคำหนึ่งว่า
“อย่าให้เห็นว่าอยู่กับชายอื่นอีก มันอาจเป็นอันตรายสำหรับตัวเจ้า”
เพียงสิ้นเสียงจบ นางสัมผัสได้แค่กระแสลมเย็นที่ชักหอบลงมาจากห้วงอากาศฟากฟ้า ไป๋หลี่หานที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอันตรธานหายวับไปภายใต้กลีบดอกเหมยที่แตกตัวกระจายออก
นางกวาดสายตาทอดมองไปไกล เจ้าหมอนี่มันเก้อเขินจนลืมอะไรไปรึเปล่า? พานางออกมาตั้งไกล แล้วจะกลับเข้าไปยังจัตุรัสซีเยว่ทันไหมเนี่ย? ชำเลืองซ้ายทีขวาทีเสาะหาตัวช่วยอะไรสักอย่าง และบังเอิญไปเจอม้าที่ไป๋หลี่หานควบมาพอดิบพอดี
ณ จัตุรัสซีเยว่ บนลานประลองสีทองคำ หลีโม่กำลังยืนกอดาบเล่มคู่ใจตรงตระหง่านอยู่กลางสนามประลอง บรรดาฝูงชนทั่วอั้งอัฒจันทร์สายตาเริ่มหย่อนยานทั้งเบื่อทั้งง่วง พวกเขาทั้งหลายเฝ้ารอการปรากฏตัวของเซียถงอยู่สักระยะหนึ่งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นนางออกมาต่อสู้สักที
“อัจฉริยะตัวน้อยคงไม่เห็นจักรพรรดิแห่งตงหลี่อยู่ในสายตาแล้ว เป็นไปได้ว่า นางคงหวาดกลัวในตัวหลีโม่จากจักรวรรดิเป่ยฮั่นจนตัวสั่น ซ่อนตัวอยู่ในห้องพักอยู่กระมัง?”
องค์จักรวรรดิแห่งหน่านเฟิงชำเลืองหางตามององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ แสยะยิ้มกล่าวสบประมาทไปอีกฝ่ายอย่างภาคภูมิใจ
องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ในขณะนี้ ใบหน้ายับย่นมืดทมิฬ เพลิงความพิโรธก่อตัวซ่องสุมอยู่ในดวงตาคู่นั้น มือทั้งสองข้างที่พาดวางอยู่บนพนักพิงกำแน่นจนสั่นเทาไม่หยุด หันไปจ้องหน้าองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิง เปล่งเสียงติดหงุดหงิดดังขึ้นว่า
“เซียถงมีธุระบางอย่างต้องไปทำก่อน อีกสักพักเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
“แล้วมันอีกนานแค่ไหนล่ะ? พวกเราเองก็นั่งรอกันมาสักพักใหญ่แล้ว หากคนของท่านไม่กล้าขึ้นประลอง เช่นนั้นก็ประกาศยอมแพ้เสียเถอะ อย่างไรเสียจักรวรรดิตงหลี่ก็อยู่ท้ายตารางทุกครั้ง พวกเราเองก็คุ้นชินกันมานานแล้ว”
“น่าขันาสิ้นดี คนของข้ารึไม่กล้าขึ้นประลอง? ก็บอกอยู่แล้วนางมีธุระที่ต้องไปทำก่อน อีกสักพักก็กลับมาแล้ว”
ถึงองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่จะเอ่ยกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ภายในใจถึงกับอกสั่นขวัญเสียแทบวิตกจริต เซียถง…เจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแน่? ไฉนยังไม่รีบเข้ามาประลองอีก! หรือกลับเป็นเขาที่ใจดีกับนางเกินไปจึงทำให้นิสัยอีกฝ่ายย่อยยาน จึงบังอาจเบี้ยวงานประลองครั้งสำคัญเช่นนี้? ซึ่งหากเป็นดั่งที่ว่าจริงๆ นางคงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง!
หากนางพ่ายในนัดประลองนี้ เขาจะถูกองค์จักรพรรดิที่เหลืออีกสามคนหัวเราะเยาะทันที และไม่พ้นต้องแบกความอับอายกลับจักรวรรดิตนเองอีกครั้ง
องค์จักรพรรดิหน่านเฟิงหัวเราะเยาะเย้ย
“หากนางมีธรุสำคัญจริงๆ เช่นนั้นก็รอหน่อยจะเป็นอันใด? สำหรับงานประลองสี่จักรวรรดิที่จัดขึ้นทุกปี นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่มีคนขึ้นสนามช้าเกินกำหนดหาใช่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง”
พูดจบเสียงตบพนักเก้าอี้รุนแรงพลันดังขึ้นจากเคียงข้าง เป็นองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินที่ไม่สามารถทนรอต่อไปได้ไหว เขาคำรามลั่นด้วยความหงุดหงิดว่า
“นังอัปลักษณ์จากตงหลี่ของท่าน มันมีคุณสมบัติสูงส่งอันใดถึงต้องทำให้พวกเราองค์จักรพรรดิทั้งสามต้องรอ!”
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นพยักหน้าเห็นด้วย
“หากคนของตงหลี่ไม่กล้าขึ้นประลอง เช่นนั้นก็ควรประกาศยอมแพ้ไปตามตรง”