ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 298 ชัยชนะแสนง่าย (2)
ตอนที่298 ชัยชนะแสนง่าย (2)
ตอนที่298 ชัยชนะแสนง่าย (2)
เซียถงผู้อัปลักษณ์นางนี้เคยมีเรื่องกับน้องชายของหลินเฟย หลังจากที่ได้รับรายงานเรื่องความบาดหมางดังกล่าว องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินเองก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าของเซียถงตั้งแต่นั้นมา และเมื่อเห็นว่าเซียถงยังไม่ขึ้นประลองเสียที เขาก็สบโอกาสกำจัดนางทิ้งไปซะ
“จักรพรรดิตงหลี่ ข้าจะนับถึงสาม หากคนของท่านยังไม่มาก็ถือว่าสละสิทธิ์ทันที”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินผู้ซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งกลางเอ่ยปากสวนขึ้นทันทีที่เห็นว่าองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่กำลังจะปริปากพูด ด้วยวาจาน้ำเสียงที่เฉียบแหลมแน่วแน่ของเขา ทำเอาองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ลอบกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
ถึงแม้องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่จะไม่เต็มใจนัก แต่กลับไม่ง่ายเช่นกันที่จะค้านข้อตกลงขององค์จักรพรรดิที่เหลือ
“หนึ่ง…”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินเริ่มนับเลขหนึ่งเพียงคำเดียว ทันใดนนั้น ทุกคนที่อยู่ ณ สนามประลองทองคำต่างแหงนศีรษะขึ้นมองบนแผ่นฟ้าอย่างพร้อมเพรียง แลเห็นอิสตรีร่างขาวเหินทะยานตามสายลมร่องลงมา สิ่งที่มาพร้อมกับนางคือคลื่นรัศมีแรงกดดันอันทรงพลังโองอาจที่กดทับอย่างแรง
ทุกคนต่างรู้สึกได้ทันที ถึงระบบหายใจที่เริ่มติดขัด ภายใต้แรงกดดันขุมมหึมานี้ หนังศีรษะของแต่ละคนถึงกับขนลุกซู่วชูชัน
ร่างตรงตระหง่านของหลีโม่บนใจกลางสนามประลอง เขาเงยหน้าแหงนมองไปที่อิสตรีร่างขาวทอแสงประกายครามจัดจ้าน รัศมีแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขาถือได้ว่าน่ากลัวเกรงยิ่งแล้ว แต่เมื่อเผชิญพบกับมวลมหาคลื่นแรงกดดันอันทรงพลังที่ทะลักล้นปกคลุมทั่วน่านฟ้าของเซียถง เขากลับเป็นเพียงมดน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงพริบตาเดียว บนหน้าผากและแผ่นหลังของหลีโม่ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ประกายแสงโฉบแล่นเพียงเสี้ยวพริบตากะพริบ ร่างของเซียถงก็ยืนอยู่ประจันหน้าหลีโม่แล้ว นางเลิกคิ้วเหลียวหางตาเหลือบไปหาองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิง แสยะยิ้มขึ้นคำหนึ่งว่า
“ใครบอกว่าจักรวรรดิตงหลี่ในครานี้จะอยู่ท้ายตารางอีก?”
“จักรพรรดิตงหลี่เป็นพวกขี้โม้โอ้อวด ทุกครั้งที่จัดงานประลองสี่จักรวรรดิ ก็มักแต่จะพูดวาจาอึกโขใหญ่โตเสมอมา ดังนั้นครั้งนี้เองก็…”
ทว่าองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงยังไม่ทันกล่าวจบดี เจ้าตัวถึงกับชะงักค้างฉับพลัน เมื่อสบสายตาปะทะกับเซียถงที่อยู่บนสนามประลอง เสมือนหัวใจของเขาพลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ ก่อเกิดความรู้สึกหวาดผวาเกินจะอธิบายได้
สายตาคู่นี้ของนางเฉียบคมประหนึ่งคมกระบี่สังหาร เพียงเลื่อนเข้ามาหยุดทางเขาหนึ่งปราด ก็ทำเอาเหงื่อนเย็นไหลล้นออกมาทั่วแผ่นหลังจนเปียกชุ่มโดยมิทันรู้ตัว ถึงกระนั้น นางเองก็ยังยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น ปราศจากทีท่ากลัวเกรงใดๆ
มุมปากของนางกระตุกขึ้นเยียบเย็น อาศัยพลังความแกร่งกล้าของตนเอง นางในเวลานี้มีความมั่นใจอยู่เปี่ยมล้น เปล่งเสียงดังคำรามลั่นว่า
“ในครั้งนี้ ตงหลี่คืออันดับหนึ่ง!”
วาจาสั้นๆ เพียงไม่กี่คน กลับทำให้องค์จักรพรรดิทั้งสี่ถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ คล้อยหลังไม่นานก็เป็นองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินที่ระเบิดหัวเราะเยาะลั่น เสมือนกับว่านี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขันที่สุดแล้วที่เคยได้ยินมาในชีวิตของเขา ตามมาด้วยองค์จักรพรรดิอีกสองคนที่ร่วนหัวเราะ
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่น ยกมือตบโต๊ะระบายความขำขันออกมา กล่าวขึ้นว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! จักรวรรดิตงหลี่ครองอันดับโหล่มาหลายสิบปีซ้อนแต่ก็ยังหาญกล้าลั่นวาจาเช่นนี้! เจ้าหนูน้อย อย่าทำให้องค์จักรพรรดิผู้นี้ขำจนตาย!”
แต่ทว่า เพิ่งหัวเราะเยาะกันได้ไม่นานทั้งสนามถึงกับเงียบสงัดในพริบตา สังเกตเห็นสาวน้อยบนสนามประลองนางนั้น ยืดเหยียดมือขวากางออกมา ทันใดนั้นก็มีคมกระบี่เล่มยาวฉาบไอเย็นยะเยือกสว่างวาบปรากฏขึ้นบนมือของนาง รังสีสังหารอันหนาวเหน็บปกคลุมร่างกายาของนางในพริบตาต่อมา
องค์จักรพรรดิทั้งสี่ล้วนแต่รู้จักเจ้าสิ่งนั้นในมือของนางดี เพียงชำเลืองสายตามองหนึ่งทีก็พิงตระหนักทราบ กระบี่เล่มยาวในมือที่ถือครองก็คือ ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคบรรพกาล แต่…ยุทธพัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคบรรพกาลเช่นนี้อยู่ในมือของสาวน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร? สีหน้าของพวกเขาทั้งหลาย รวมไปถึงผู้ชมโดยส่วนใหญ่มีคำว่าประหลาดใจขีดเขียนอยู่ทั่วใบหน้า
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นมองดูกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือของเซียถง มุมปากของเขาถึงกับกระตุกอย่างแรง ก่อนการประลองจะเริ่มต้นขึ้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่า หลีโม่จากจักรวรรดิของตนจะต้องพ่ายต่อสาวน้อยนางนี้อย่างแน่นอน
ส่วนองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินเองถึงกับดวงตาโพล่งเบิกกว้าง ทั้งตกตะลึงสุดขีดและสงสัยในเวลาเดียวกัน ถึงกับยกมือเท้าคางบนเก้าอี้จับจ้องไปยังกระบี่ทัณฑ์ฟ้าสายตาไม่มีกะพริบ ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคบรรพกาลเฉกเช่นนี้ มันยอมรับสาวน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่งเป็นเจ้านายของมันได้ยังไง? ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกฉงนใจ เขาเหม่อมองเซียถงด้วยสายตาแปลกๆ
ทั้งองค์จักรพรรดิทั้งสี่และผู้ชมโดยส่วนใหญ่ล้วนมีสายตาหลักแหลม ทราบดีว่า สิ่งที่อยู่ในมือของเซียถงคือยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่หากใช่กับหลีโม่ ถึงกระนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับรับมือได้ไม่ง่ายเลย
ในมุมมองของเขาตอนนี้ หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าอาจมีทักษะการต่อสู้ที่ดี แต่สุดท้ายนางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ทางด้านประสบการณ์การต่อสู้จริงน่าจะมีน้อยมาก และเขาก็ได้เปรียบในจุดนี้
คิดได้ดังนั้น เขาก็ชักดาบขึ้นจากฝัก ปราดเข้าจู่โจมใส่หญิงสาวตรงหน้าทันทีฉับพลัน เงาร่างสาดไสวประดุจอสนีบาตฟาดผ่า คลื่นลมปราณระลอกใหญ่ปะทุล้นออกมาจากใบดาบ
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของหลีโม่เกินกว่าที่เซียถงคาดการณ์เอาไว้เล็กน้อย ทำเอาเซียถงประหลาดใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรร่างของนางยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เพียงยืนทำใจให้สงบนิ่ง
ถึงอย่างไร ชายหนุ่มคนนี้ก็ต้องแพ้อย่างเลี่ยงมิได้
หางคิ้วกระตุกเชิดสูง มีเสียงเย้ยเยาะเปล่งขึ้นจากมุมปาก หันคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเข้าประหัตประหาร กรอกเทพลังลมปราณระลอกใหญ่อัดฉีดเข้าสู่ตัวกระบี่ในมือ ทันใดนั้นเงาร่างของนางก็หายวับไป
เสี้ยวอึดใจต่อมา หลีโม่เห็นคลื่นคมกระบี่ลมปราณสีครามจัดจ้านกวาดวินาศพุ่งเข้าใส่ ทว่าด้วยความมั่นใจ เขาหาได้ใส่ใจจริงจัง และตัดสินใจฟันคลื่นคมดาบแสนแกร่งกล้าเข้าหาคลื่นคมกระบี่เบื้องหน้าโดยตรง เพราะไม่ว่าจะพินิจมองอย่างไร พลานุภาพการทำลายล้างของคลื่นคมดาบของเขาก็เหนือชั้นกว่าคลื่นคมกระบี่ของนางอยู่หลายช่วงตัว
แต่ทว่า…ทันทีที่ปะทะชนกัน เสียงแตกละเอียดดังเปรี๊ยะ คลื่นคมกระบี่ผ่าคลื่นคมดาบจนแตกเป็นสองเสี่ยง พุ่งเข้าฟันใส่กลางอกของหลีโม่อย่างจัง ถึงขั้นกระอักเลือดสดคำโตทะลักล้นออกจากปาก
เซียถงยังไม่หยุดเท่านั้น ดีดปลายเท้าทะยานเข้าใส่หลีโม่พร้อมประเคนคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าหันเข้าพิฆาต ทางด้านหลีโม่เร่งระงับเลือดสดคำโตที่กระอักล้น กระโดดร่นถอยเลี่ยงหลบโดยไว หากอาศัยเพียงลมปราณระดับชั้นราชันย์ม่วงที่นางมีอยู่ ย่อมสามารถเอาชนะหลีโม่ได้ไม่ยากเย็นนัก แต่เซียถงในเวลานี้ ไม่ต้องการให้คนอื่นสังเกตเห็นว่า ระดับลมปราณของนางพัฒนาขึ้นแล้ว จึงจงใจลดทอนระดับความเร็วและความแข็งแกร่งลงในเท่ากับขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลางดั่งเดิม เพื่อเข้าพัลวันสัประยุทธ์กับหลีโม่
ไพ่ตายสุดท้ายอย่างขุมพลังขอบเขตราชันย์ม่วงของนาง ขอเก็บไว้ใช้กับหลินเฟยเท่านั้น!
หลีโม่ในยามนี้ทำได้เพียงตั้งรับป้องกันเพียงอย่างเดียว ไร้ซึ่งพลังใดๆ ที่จะตอบโต้สวนคืนได้เลย ยิ่งเขาได้ต่อสู้มากเท่าใด กลับยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเป็นเท่าทวี ทั้งยังมาพร้อมกับความตื่นตระหนกในใจที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนแผ่นหลังเปียกแฉะเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เห็นได้ชัดแจ้ง เซียถงนางนี้จงใจออมมือมิได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมา เพราะมีหลายต่อหลายครา ที่นางสามารถลงกระบี่สังหารเขาทิ้งได้ในอึดใจ แต่กลับเจตนาหลบเลี่ยงออก
เมื่อเห็นเซียถงต่อสู้กับตนเองโดยไม่เอาจริงเช่นนี้ หลีโม่เองก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจ ถึงแม้ระดับพลังความแข็งแกร่งของนางจะสูงกว่าเขามาก ถึงกระนั้นก็ควรเอาจริงในการต่อสู้ อย่างน้อยก็เพื่อแสดงความเคารพต่อคู่แข่ง แต่นางทำราวกับว่ากำลังเล่นกับเด็ก ทำแล้วมันได้ประโยชน์อันใด?