ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 299 ความอิจฉาริษยาที่ก่อตัว
ตอนที่ 299 ความอิจฉาริษยาที่ก่อตัว
ตอนที่ 299 ความอิจฉาริษยาที่ก่อตัว
ความอัปยศอดสูพลันบังเกิดขึ้นภายในใจ หลดกำลังเกินกว่าจะต่อสู้อีกต่อไป เขาพยายามเสาะหาช่องจังหวะโจมตีเซียถง ทว่าคราแล้วคราเล่ากลับคว้าน้ำเหลวอย่างหมดท่า ร่างอรชรของอสตรีบิดพลิ้วเลี่ยงหลบช่องชำนาญ เหลือบมองหลีโม่เปล่งเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ
ถึงเวลาที่ต้องจบทุกสิ่งแล้ว!
ข้อมือสะบัดวูบ คลื่นกระบี่จันทร์เสี้ยวอันทรงพลานุภาพปราดโจมตีเข้าใส่หลีโม่ประดุจอสนีสะบั้นผ่า
หลีโม่รู้สึกได้ถึงรัศมีลมปราณสุดแกร่งกร้าวบ้าคลั่งถาโถมเข้าใส่อย่างท่วมท้น ชั่วอึดใจขณะ ร่างกายของไม่สามารถขยับเขยื้อนใดๆ ได้โดยสิ้นเชิง สัญชาตญาณเบื้องลึกสุดขั้วหัวใจของเขามันกำลังหวาดกลัวสุดขีด เสี้ยวพริบตาเดียว คมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าพุ่งเข้าพาดส่วนคอเตรียมพร้อมจะลงน้ำหนักตัดสะบั้นทิ้งได้ทุกเมื่อ พร้อมกับสอตรีในชุดขาวที่ยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้าต่อตา
“ยอมแพ้เสีย เจ้าหาใช่คู่ต่อสู้ของข้าไม่”
เซียถงเปล่งน้ำเสียงเย็นชืด จ้องตาหลีโม่เขม็ง
หลีโม่เงยหน้าขึ้นมองอิสตรีตรงหน้าอย่างเงียบงัน และไม่นานเกินรอ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลง ท่าทางการแสดงออกดูสงบนิ่งขึ้นมาก และหันไปกล่าวกับกรรมการข้างสนามว่า
“ข้าขอยอมแพ้”
วาจาสี่พยางค์เปล่งดังขึ้นจากปากหลีโม่ องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ ลุกขึ้นพรวดระเบิดหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสาแก่ใจนัก ฟังจากน้ำเสียงดูท่าตัวเขาจะมีความสุขเหลือล้น ถึงนี่จะเป็นเพียงก้าวแรก แต่ภาพฉากนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงแสงยานุภาพของจักรวรรดิตงหลี่ที่ผู้คนต่างดูถูกดูแคลนกัน เขาหันทางองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นและกล่าวว่า
“จักรพรรดิเป่ยฮั่น ขอบคุณท่านมากที่เมตตา ดูท่างานประลองในครานี้ใครอันดับโหล่กลับไม่แน่แล้ว!”
สิ้นเสียงลง องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ชำเลืองหางตามองไปทางองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิง และกล่าวต่อว่า
“จักรพรรดิหน่านเฟิง อันดับโหล่ในปีนี้อาจเป็นของท่าน!”
องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นสีหน้าท่าทางดูมืดทมิฬลงเล็กน้อย เฝ้ามองหลีโม่เดินลงจากสนามประลองอย่างสงบ ก่อนที่ท้ายที่สุดจะถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมา เสี้ยวพริบตาที่เซียถงระเบิดพลังลมปราณออกมา เขาก็ทราบถึงผลลัพธ์ตอนจบดีอยู่แล้ว
เฝ้ามองแผ่นหลังของหลีโม่ที่เดินจากสนามลงไปแต่โดยดี เซียถงรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายมิใช่น้อย เพราะหากกลับเป็นฝ่ายนางที่แพ้ ตัวนางเองก็คงยอมแพ้แต่โดยดีเช่นกัน หาใช่บางคนที่มีลูกไม้ตุกติกเล่นสกปรกตอนที่คู่ต่อสู้ทีเผลอ ซึ่งหลีโม่หาใช่คนเฉกเช่นนั้นไม่ ดังนั้นทัศนคติของนางที่มีต่อเขาจึงอยู่ทางบวก
ชัยชนะที่หอมหวานของเซียถง เหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัดดังนี้ สามารถขจัดคำปรามาสของบรรดาฝูงชนและองค์จักรพรรดิทั้งสามได้จนหมดสิ้น คล้อยหลังเดินลงสนามประลอง องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่คลี่ยิ้มกว้างส่งให้นางด้วยความปลื้มปีติชื่นชม ทว่าปฏิกิริยาของนางช่างเฉยเมยนัก สายตาคู่สวยกำลังค้นหาหลัวซีที่อยู่ด้านหลังขององค์จักรพรรดิหน่านเฟิง
นัดประลองต่อไปเป็นการต่อสู้กันระหว่างหลัวซีและหลินฟาง เงาร่างของหลัวซีมิได้อยู่ด้านหลังขององค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นแล้ว น่าจะกำลังลงสนามประลองเตรียมตัว
ทางด้านหลินเฟยยืนตระหง่านอยู่เบื้องล่างตำแหน่งที่นั่งขององค์จักรพรรดิแห่งซีฉิน สีหน้าการแสดงออกของนางยังคงนิ่งสงัด จมูกชี้ขึ้นฟ้าหาได้แยแสสนใชสรรพสิ่งใดเสมือนเครื่องจักรสังหารที่รอคำสั่ง และเมื่อองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินโบกมือให้สัญญาณ หลินเฟยจึงค่อยกระโดดลงสนามประลองเบื้องล่างไป
สองเท้าลงกระแทกพื้นดังปัง ร่างของหลินเฟยยืนตระหง่านถือกระบี่อยู่ ณ ใจกลางสนามประลอง กวาดสายตามองซ้ายมองขวาอยู่หลายที จึงค่อยหันไปกล่าวถามกับองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงขึ้นว่า
“ไฉนคนของจักรวรรดิหน่านเฟิงยังไม่มา หรือว่าเป็นพวกไม่ตรงต่อเวลาแบบคนของตงหลี่?”
น้ำเสียงฟังดูแล้วช่างหยิ่งผยองยโส ทั้งท่าทางการแสดงออกของหลินเฟยในตอนที่สนทนากับองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงกลับไรซึ่งความเคารพ มีแต่ความหยายคายกระด้างแข็ง แต่ขณะที่องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงกำลังจะปริปากตอบ จู่ๆ ก็มีกลีบบุผานับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาจากบนฟากฟ้านภาสูง เงาร่างหนึ่งเหินทะยานออกมาท่ามกลางฝูงชนบนอัฒจันทร์ด้านหนึ่ง ร่อนลงจอดกลางสนามประลองด้วยท่วงท่าแสนสง่างดงาม
ชายหนุ่มรูปงามหยดประหนึ่งหยกขาวยืนอยู่ต่อหน้า เรียกเสียงกรี๊ดบ้าคลั่งจากบรรดาหญิงสาวทั้งหลายในทันใด หลัวซีชำเลืองหาเซียถงที่อยู่ใต้สนามประลองพร้อมขยิบตาส่งให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดสายตาไปหาบรรดาหญิงสาวทั่วอัฒจันทร์และระบายยิ้ม
สรรพสิ่งงดงามทั่วผืนพิภพบานสะพรั่งอยู่บนใบหน้าของเขาหมดสิ้นแล้ว เสียงขับขานของเหล่าหญิงสาวตะโกนลั่นต่อเนื่องดังว่า
“หลัวซี! หลัวซี!”
หลัวซีหยิบกุหลาบเหล็กไหลสีแดงในมือโบกให้ทุกคน ต้องกล่าวเลยว่า ทุกอากัปกิริยาของเขาช่างงดงามโดยแท้ เพียงการเคลื่อนไหวเดียวต่างสยบฝูงชนโดยส่วนใหญ่ให้ตกสู่ภวังค์ความลุ่มหลงของเขาได้
แต่จะอย่างไร นี่คือสนามประลองการต่อสู้ หาใช่งานพบปะดาราดัง เซียถงเหล่มองไปทางชายหนุ่มหน้าหยกผู้แสนหลงตัวเองบนนั้น ยิ่งได้ยินเสียงกรีดร้องจากทั่วสารทิศอัฒจันทร์ มุมปากก็อดกระตุกมิได้ หนุ่มหล่อบนสนามทประลองที่รายล้อมไปด้วยผู้คน ก็ไม่ต่างอะไรกับหยกชั้นเลิศบนเวทีประมูลที่สุดแสนจะสะดุดตา แต่ความสะดุดตานี้เองก็อาจชักนำปัญหาต่างๆ เข้ามาได้เช่นกัน
หลินเฟยจับจ้องหลัวซีที่กำลังโบกไม้โบกมือเล่นกับผู้คนโดยรอบ ทันใดนั้นสีหน้าการแสดงออกของเขาก็เริ่มมืดทมิฬลงหลายส่วน ลึกลงไปในแววตาคู่นั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉาริษยา ปนผสมร่องรอยความขุ่นเคืองยากเกินจะอธิบาย การได้เห็นหลัวซีเป็นที่นิยมชมชอบกว่าตนเช่นนี้ กลับหาใช่สิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้สักนิด
แววความสงบนิ่งภายในดวงตาอันตรธานหายไปทันที ถูกแทนที่ด้วยประกายรังสีอำมหิต โดยไม่พูดพร่ำอันใด คลื่นลมปราณสีม่วงบนกายาพลันระเบิดคลั่งสว่างไสวไปทั่วบริเวณ พุ่งเข้าจู่โจมใส่อีกฝ่ายฉับพลัน
ชั่วอึดใจขณะ ประกายแสงสีครามและสีม่วงเข้าชนปะทะดังเปรี้ยงปร้าง เงาร่างทั้งสองผลักกระเด็นออกไปคนละฝั่ง ไม่นานจึงเข้าพัลวันวูบวาบอีกคราเฉียวโฉบประดุจสายฟ้าแลบ ส่วนผู้ชมทั้งหลายต่างยกมือปิดปากด้วยความอัศจรรย์ใจ
เซียถงจ้องเขม็งไปยังร่างทั้งสองที่ประสานงารุกรับกันอย่างดุเดือดบนสนามประลอง ซึ่งทุกครั้งที่ปะทะกันรัศมีแสงสีครามมักจะถูกรัศมีแสงสีม่วงเข้าข่มอยู่เสมอ และนี่เป็นสัญญาณที่ว่า หลัวซีกำลังเสียเปรียบ
ทันใดนั้นเอง นางก็จำสิ่งที่หลัวซีเคยพูดกับตนขึ้นได้ เขาจะช่วยตัดกำลังหลินเฟยให้ได้มากที่สุดเพื่อให้นางโค่นอีกฝ่าย แต่เมื่อพินิจมองจากสถานการณ์ปัจจุบัน การที่หลัวซีจะตัดกำลังหลินเฟยกลับเป็นไปได้ยาก เพราะถึงแม้โดยผิวเผินทั้งคู่อาจจะดูสูสี แต่ในความเป็นจริงหลัวซีแทบจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บไม่ได้เลย!
หลบเบี่ยงคมกระบี่ของหลินเฟยที่กระหน่ำเข้าใส่ดุจห่าพิรุณคลั่ง หลัวซีถึงกับเบิกตาโตตื่นตระหนกสุดขีด หลินเฟยคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ทั่วบริเวณคล้ายกับได้กลิ่นเลือดโลหิตจางๆ คลุกฟุ้งอยู่ในอากาศ สีหน้าการแสดงออกของหลินเฟยยิ่งดูน่าสยดสยองมากขึ้นเรื่อยๆ บนคมกระบี่เล่มยาวในมือเขาฉาบเคลือบพลังวิญญาณอันชั่วร้ายอยู่ล้นปรี่
“หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อันใด? วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเสียโฉมเสีย! จากนั้นมาดูกันว่า เจ้ายังมีอะไรดีอยู่อีก!?”
หลินเฟยระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สบถวาจาใส่หลัวซี
กระบี่ในมือพลิกแพลงเปลี่ยนกระบวน สาดสะท้อนเงาสีเย็นแสนน่าสะพรึงแผ่ขยายรอบสนามประลองและร่างของหลินเฟยเอาไว้ ปราณกระบี่มวลมหึมาถาโถมเข้าใส่กันแบบไม่มียั้งมือ ซึ่งปราณกระบี่ที่แผ่ไพศาลออกมานั้น มันทรงพลานุภาพทำลายล้างอย่างแท้จริง ถึงขนาดทำให้ฝูงชนบนอัฒจันทร์ที่อยู่ใกล้สุดโดนลูกหลงกันไปตามๆ กัน บรรดาองครักษ์ยอดฝีมือของแต่ละฝ่ายต่างรีบกระโดดเข้าสกัดกั้นปราณกระบี่อันแกร่งกล้านี้ เพื่อมิให้องค์จักรพรรดิของแต่ละคนโดนลูกหลงตามไปด้วย
อย่างไรเสีย ถึงแม้ปราณกระบี่ที่แผ่ไพศาลออกมาจะดุร้ายบ้าคลั่งเพียงใด แต่พวกมันกลับไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อตัวเซียถงได้เลย นางในขณะนี้ยังคงยืนกอดแผ่นอกเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างนิ่งสงบ ในขณะที่อัฒจันทร์บางส่วนถูกถล่มยับเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
ทันใดนั้นเอง หางตาของเซียถงก็พลันเหลือบไปเห็นร่างของชายคนหนึ่งกำลังร่วงตกลงมาจากบนอัฒจันทร์ คู่เท้านางกระตุกวูบกระโดดออกไปชั่วทันควัน และเมื่อเท้าแตะพื้นร่อนจอดเท่านั้น นางก็เพิ่งจะค้นพบว่า ชายที่อยู่ในอ้อมแขนของตนนั้นที่แท้ก็คือ ชิงเยวี่ย