ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 3 องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่
ตอนที่3 องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองก็พบกลุ่มคนจำนวนสองถึงสามคนที่กำลังยืนขวางทางตรงหน้าอยู่ และคนที่อยู่หน้าสุดเป็นหญิงสาวโฉมงาม แต่งหน้าประทินผิวละเอียดอ่อนสวย ทว่าน่าเสียดาย ที่ความงดงามเหล่านั้นต้องถูกสายตาและท่าทางอันหยิ่งผยองหวดดีทำลายภาพลักษณ์จนสิ้น นางคนนี้เป็นบุตรสาวคนโตของขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ เจิ้นกัว ซึ่งมีทหารราบและทหารม้านับแสนนายอยู่ภายใต้อำนาจของเขา ซึ่งจางเสวี่ยหรงนางนี้ก็อาศัยพลังอำนาจของตระกูลข่มเหงรังแกเซียถงมาก็ไม่น้อยเลย
เซียถิงปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่งเท่านั้น แล้วก็เดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไปโดยมิได้ใส่ใจสักนิด ทำราวกับจางเสวี่ยหรงเป็นเพียงอากาศธาตุ คนสันดานประเภทนี้มันไม่มีค่าเพียงพอที่จะสนใจ
จางเสวี่ยหรงที่เห็นเซียถิงปฏิบัติอย่างเมินเฉยใช่ก็พลันเดือดดาล นางกางแขนวาดออกไปขวางทางเซียถงเอาไว้ คลี่ยิ้มหัวเราะเยาะเย้ยกล่าวว่า
“เซียถง ยามนี้เจ้าหาใช่อัจฉริยะดั่งกาลก่อนแล้ว! ทางที่ดีเจ้าควรซุกหัวอยู่แต่ในจวน อย่าโผล่หน้าออกมาอีกเลยจะดีกว่า เพราะจะอย่างไร ท่านองค์รัชทายาทกลับไม่คู่ควรกับสวะอย่างเจ้า!”
คนที่อยู่ข้างกายของจางเสวี่ยหรงที่ได้ยินแบบนั้นต่างหัวเราะคิกคักเสียงดังลั่น เซียถงหยุดชะงักฝีเท้าพร้อมเหลียวหลังเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาแวบหนึ่ง เบื้องลึกในแววตาคู่นี้ทั้งเย็นชาและเฉียบคมประดุจมีดกริชเล่มหนึ่ง ปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ใดผันผวนเจือผสมอยู่เลย นั่นกลับทำให้จางเสวี่ยหรงเสียวสันหลังวูบ รู้สึกราวกับตัวเองตกลงในบ่อน้ำแข็งเย็นบรรพกาลพันปีในเสี้ยวพริบตา ทั่วร่างกายาเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจเกินจะบรรยาย
“หากเจ้ามีเวลาหัวเราะเยาะข้า ไฉนไม่เอาเวลานี้ไปคิดหาวิธีร่านใส่องค์รัชทยาทให้หลงเสียล่ะ?”
องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ก็แค่เศษบุรุษชายที่ใจเสาะกว่าสุนัขตัวหนึ่ง ภายนอกดูอ่อนโยนเป็นชายอบอุ่น ทว่าภายในกลับเน่าเฟะ ถึงแม้เซียถงเจ้าของร่างเก่าจะเคยใช้ชีวิตแลกชีวิตช่วยเหลือเขาเอาไว้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยแม้นกระทั่งมาเยี่ยมนางเลยสักครั้ง มารยาทโดยพื้นฐานยังไม่มี คนแบบนี้ยังเรียกว่า ‘ผู้ดี’ ได้อย่างไร?
เซียถงรู้สึกเสียใจแทนเจ้าของร่างเก่าเหลือเกิน ที่ยอมทิ้งชีวิตอันมีค่าเพื่อช่วยเศษมนุษย์เฉกเช่นมัน ไม่คุ้มเอาเสียเลย
จางเสวี่ยหรงอาจไม่เข้าใจคำว่า ‘ร่าน’ ที่เซียถงกล่าว ก็หลงดีใจคิดว่า อีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวตน จึงเชิดค้างชี้ขึ้นฟ้าอย่างหยิ่งผยอง ชี้นิ้วกล่าวเย้ยเยาะว่า
“นับว่าเจ้ายังรู้ตัวเองดี! ครั้งหน้าหากพบเจอข้าอีกล่ะก็ จงอ้อมเดินไปทางอื่น อย่าโผล่หน้าอัปลักษณ์มาให้ข้าเห็น!”
แววตาคู่นั้นของเซียถงดูเย็นชาขึ้นในบัดดล ตั้งแต่เกิดมาจนตอนนี้ ยังไม่มีใครกล้าชี้นิ้วสั่งด้วยถ้อยคำที่หยาบเหยียดปานนี้ กระทั่งนักฆ่าในวงการหรือสายลับบางคนแค่ได้ยินชื่อนางก็พลันสั่นกลัวกันหมดแล้ว!
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมีปัญญาเพียงใด”
กล่าวจบเซียถงก็สาวเท้าก้าวเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจอันใดอีก แต่ทันใดนั้นพลันมีสายลมหนาวพัดผ่านมาจากด้านหลัง เข้าโจมตีนางโดยฉับพลัน
อาศัยสัญชาตญาณนักฆ่าเก่า เซียถงหันขวับกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงกรงเล็บทั้งห้าของจางเสวี่ยหรงที่พวยพุ่งฉกเข้าใส่ หวังจะฉีกกระชากเสื้อผ้าบนเรือนร่างของนางให้ขาดรุ่ย ตั้งใจจะทำให้อับอายขายหน้าต่อหน้าชาวเมืองเฟิ่งหลี่ทุกคน
แม้เซียถงจะไม่มีลมปราณแล้ว แต่ความว่องไวของนางยังคงเพียบพร้อมคงอยู่ เพียงเบี่ยงร่างไปทางซ้ายปรับทิศองศาแตกต่างเล็กน้อย ก็สามารถเลี่ยงหลบกรงเล็บทั้งห้าของจางเสวี่ยหรงที่พยายามจะพุ่งจู่โจมได้อย่างง่ายดาย
จางเสวี่ยหรงที่เห็นเซียถงหลบกระบวนโจมตีของตนก็พลันตกใจ รีบระดมใช้ลมปราณขุมใหญ่ฟันฟาดใส่ต่อเนื่อง ทว่าชั่วอึดใจขณะ นางกลับรู้สึกได้ว่า บริเวณพื้นดินที่นางยืนอยู่กลายเป็นความว่างเปล่า คู่ขาที่ยืนหยัดก่อนหน้ากลับถูกเซียถงตวัดขากวาดลานวัดใส่จนล้มคะมำนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น มือเรียวยาวสีขาวผ่องข้างหนึ่งจับกดไหล่อีกฝ่ายติดแน่นในท่านอน ส่วนมืออีกข้างพุ่งเข้าไปบีบคอแน่นจนคมเล็บฝังลึกเป็นแผล ทั้งสีหน้าแววตาของเซียถงในยามนี้เลือดเย็นไร้เมตตาประดุจว่าสามารถหักคอของจางเสวี่ยหรงได้โดยไม่มีลังเล
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน? เซียถงไม่ได้พิการแล้วหรอกรึ? ไฉนมันถึงสามารถเอาชนะข้าได้ภายในกระบวนท่าเดียวอย่างง่ายดายปานนี้? สงสัยว่าข้าจะประมาทมันเกินไป!
“ไอ้ขยะปล่อยข้า! ปล่อยข้าเร็ว!”
จางเสวี่ยหรงตะลึงงันอยู่พักใหญ่ ชั่วขณะต่อมาค่อยส่งเสียงกรีดร้องลั่นด้วยความโกรธจัด
“หากเจ้าแหกปากขึ้นอีกคราเดียว เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถหักคอเจ้าทิ้งได้ทันที?”
เซียถงยังคงกระชับออกแรงบีบคออีกฝ่ายแน่น ก่นเสียงเย็นขู่ออกไปคำหนึ่ง
สุ้มเสียงที่สุดแสนจะเย็นชานี้ทำเอาผู้คนที่อยู่รอบข้างขนหัวลุกซู่ว จางเสวี่ยหรงกับผู้ติดตามข้างกายนางต่างตะลึงงันค้างแข็งอยู่กันที่ อ้าปากกว้าง เบิกตาโตแทบถลน นี่มิใช่ว่าเซียถงเป็นนังอัปลักษณ์แสนขี้ขลาดที่เคยรู้จักหรอกรึ? ไฉนนางถึงเปลี่ยนไปได้ปานนี้? ไม่เพียงแค่ลักษณ์นิสัย แต่ยังรวมไปถึง…กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกนี้อีก?
“เจ้า…เจ้า…”
จางเสวี่ยหรงเข้าสบตาอีกฝ่ายสีหน้าบิดเบี้ยวเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารข้นคลัก ทว่าในท้ายที่สุดกลับต้องเบี่ยงสายตาเลี่ยงหนี หดหัวหดคอลงด้วยความหวาดกลัว และไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีกเลย
เซียถงคอยมือออกจากคอของอีกฝ่าย ปัดเศษดินเศษฝุ่นบนมือเล็กน้อยพร้อมลุกขึ้นยืน จากนั้นค่อยเหลียวหางตาเหลือบมองจางเสวี่ยหรงอย่างดูแคลนประดุจเบื้องบนปรายตามองจัณฑาล แววตาเย็นสะท้านวาบขึ้น
“ต่อให้ข้าเป็นขยะ ก็มากเกินพอแล้วที่จะสังหารเจ้าทิ้งดุจเศษธุลี!”
พูดจบนางก็เดินจากออกไป
แสงตะวันสีทองทอประกายสาดส่องไปทั่วเมืองเฟิ่งหลี่ ทว่าจางเสวี่ยหรงและคนอื่นๆกลับไม่รู้สึกอบอุ่นเลยแม้สักนิด ในทางตรงกันข้าม พวกเขาต่างรู้สึกหนาวเหน็บอย่างไร้เหตุผล
อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง คุณหนูของนาง…แข็งแกร่งเหลือเกิน! นางสามารถเอาชนะจางเสวี่ยหรงที่มีระดับพลังอยู่ในขอบเขตเสาหลักเหลืองได้ภายในกระบวนท่าเดียว!
แม้ว่าคุณหนูจะมีพรสวรรค์ในเส้นทางการบำเพ็ญตบะที่สูงเสียยิ่งกว่าองค์รัชทายาท แต่เนื่องจากนิสัยประจำตัวที่ขี้ขลาดตาขาวจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ทำให้นางไม่กล้าโต้ตอบผู้ใดแม้จะถูกรังแกก็ตาม
ทว่ากลับคิดไม่ถึง คล้อยหลังจากเหตุการณ์ที่คุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัส นิสัยก็ดูจะเปลี่ยนไปมาก แต่อย่าว่าอย่างโน่นนี่เลย อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกเป็นปลื้มกับคุณหนูที่เป็นอย่างในตอนนี้มากกว่า
หลังจากเดินเตร่อยู่บนท้องถนนได้รอบหนึ่ง เซียถงก็กลับมายังเรือนหลังน้อยของตน ไมนานอิ๋งเอ๋อร์ก็รีบวิ่งเข้ามารายงานกับนาง สีหน้าดูมีความสุขอย่างยิ่งว่า
“คุณหนู! องค์รัชทายาทเสด็จมาเจ้าค่ะ!”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ติดตามมาด้วยเงาร่างสีม่วงสายหนึ่งที่เดินโฉบเฉี่ยวเข้ามาในตัวเรือนด้านใน มาในชุดคลุมผ้าไหมหรูหราสีม่วงตัดทอง ผมเผ้าถูกรวบสูงปักด้วยปิ่นหยกเขียว ใบหน้าหล่อเหลาราวกับคมมีดกรีดใจของเหล่าสตรี ดวงตาคู่นั้นช่างกลมโตแต่แฝงไปด้วยความหยิ่งยโสจองหองอยู่หลายส่วน ทั่วร่างกายาปรากฏกลิ่นอายแห่งเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแผ่ซ่าน
ชายผู้นี้คือองค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ เบื้องหลังของเขามีเหล่าองครักษ์หลายคนกำลังถือหีบสมบัติล้ำค่ามากมายในวังหลวง และห่อผ้าไหมชั้นเลิศอีกหลายสิบกล่อง
ยังไม่ทันที่เซียถงจะได้เอ่ยปากอันใด ไป๋หลี่เย่ก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็นว่า
“เซียถง องค์รัชทายาทผู้นี้มีเรื่องต้องการจะบอกเจ้าให้ทราบเสียก่อน เจ้าอย่าหวังที่จะให้องค์รัชทายาทผู้นี้แต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายารอง! เลิกฝันกลางวันเสีย!”
กล่าวจบเขาก็ยกมือเป็นสัญญาณให้องครักษ์เหล่านั้นแบกหีบสมบัติกองไว้ตรงหน้าของเซียถง แววตาคู่นั้นที่จับจ้องใส่เซียถงมันอัดแน่นไปด้วยความดูแคลนหยามเหยียด ทั้งยังกล่าวน้ำเสียงรังเกียจต่ออีกว่า
“ของพวกนี้เป็นรางวัลมอบให้แก่เจ้า ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้า”
หากไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อทรงบังคับให้เขาเดินทางมายังจวนเสนาบดี คนอย่างเขาไม่มีทางมาแน่นอน
นังอัปลักษณ์นี่ทั้งขี้ขลาดและไร้ประโยชน์ แต่เห็นแบบนี้นางกลับเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง คงอยากจะใช้หนี้บุญคุณนี้เป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะบีบบังคับให้เขาอภิเษกกับนางและขึ้นเป็นพระชายารอง!
แผนการไม่เลว!
เซียถงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางไม่แม้แต่เหลือบสายตามองไป๋หลี่เย่เลยเช่นกัน ทว่าค่อนข้างสนใจกับบรรดาหีบสมบัติตรงหน้า
“อิ๋งเอ๋อร์รับของทั้งหมดไว้”
อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับตกลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาของนางก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมา นางรีบวิ่งตรงไปคุกเข่าต่อหน้าไป๋หลี่เย่ทั้งน้ำตาขอร้องว่า
“ท่านองค์รัชทายาท! ท่านมิอาจทำเฉกเช่นนี้กับคุณหนูของข้าได้! นางยอมกลายมาเป็นคนพิการไร้ลมปราณเพื่อช่วยชีวิตท่าน…นาง…นางเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตงหลี…”
“อิ๋งเอ๋อร์ ยืนขึ้น!”
สีหน้าแววตาของเซียถงแปรเปลี่ยนไปทันที อิ๋งเอ๋อร์ที่ได้ยินดังนั้นกลับไม่แม้แต่จะเคลื่อนขยับ…แต่เหลียวหลังเงยขึ้นจับจ้องเซียถงแทน
“คุณหนู…”
สีหน้าของเซียถึงเย็นชาขึ้นหลายส่วน กระทั่งน้ำเสียงเองยังเย็นยะเยือกจนน่าขนหัวลุก
“ชีวิตข้าไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาร้องขอ”
พอเห็นสีหน้าการแสดงออกอันแสนเย็นชานี้ อิ๋งเอ๋อร์ตกใจถึงขั้นรีบลุกขึ้นในพริบตา
ไป๋หลี่เย่ตะลึงงันไปเล็กน้อย แววความหยิ่งยโสจองหองที่เร้นแฝงในดวงตายิ่งเข้มข้นเห็นชัดขึ้น เขาเพียงเค้นเสียงเบาๆขึ้นว่า
“นับว่าเจ้ายังมีไหวพริบดี”
“ข้าจะรับของเหล่านี้ไว้เอง ยามนี้ท่านเองคงกล่าวในสิ่งที่ต้องการจะกล่าวหมดแล้ว เช่นนั้นก็เชิญกลับไปได้”
เซียถงออกคำสั่งไล่แขกออกไปโดยไม่สนใจอีกต่อไป เจ้าของร่างเก่าชอบเดนมนุษย์ไร้ค่าเช่นนี้ไปได้ยังไงกัน?