ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 300 หลัวซีถูกพิษ
ตอนที่300 หลัวซีถูกพิษ
ตอนที่300 หลัวซีถูกพิษ
“เหตุใดนายท่านชิงเยวี่ยถึงอยู่ที่นี่?”
เซียถงชำเลืองผ้าแพรสีขาวที่พันรอบศีรษะของอีกฝ่าย ปรายถามอุทานตกใจเล็กน้อย เนื่องด้วยชิงเยวี่ยคนนี้แทบจะปราศจากความแข็งแกร่งในด้านการต่อสู้ และไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้ ดังนั้น โดยธรรมชาติ บุคคลอย่างเขาไม่ควรจะปรากฏตัวในสนามประลองแบบนี้เลย
แล้วบาดแผลบนหน้าผากที่ต้องโพกผ้าแพรหนาเช่นนี้ มันคือแผลเดียวกับที่ถูกเกลียวพายุของไป๋หลี่หานซัดเข้าใส่ตอนเช้ากระมัง?
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ก็แค่อยากมาดูเฉยๆ”
ชิงเยวี่ยยิ้มตอบส่งๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว เขามาที่นี่ก็เพื่อรับชมนัดประลองของเซียถงในช่วงเช้า แลเห็นว่าเมื่อคินเพิ่งทะลวงขึ้นสู้ขอบเขตราชันย์ม่วงได้หมาดๆ จึงอยากเห็นความทรงพลังของนาง
“นายท่านชิงเยวี่ย ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง? หากต้องการรับชมต่อ ไยไม่ขอให้ฝ่าบาทพาขึ้นไปนั่งด้านบนสุดให้เป็นที่เป็นทางเสียล่ะ?”
องครักษ์ประจำตัวขององค์จักรพรรดิแห่งซีฉินรีบวิ่งมาหาชิงเยวี่ยด้วยความเป็นห่วง เอ่ยวาจาน้ำเสียงสุภาพขับขาน ทีท่าการแสดงออกดูเคารพยิ่งยวด
ชิงเยวี่ยพยักหน้าและหันไปกล่าวกับเซียถงว่า
“คุณหนูเซีย เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวก่อน”
เซียถงพยักหน้าส่งเสียงตอบไปคำ และเงยหน้าติดตามสถานการณ์บนสนามประลองต่อไป และทันทีทันใด นางพลันต้องประหลาดยิ่งยวดที่ได้เห็นประกายแสงสีเหลืองจางในรัศมีลมปราณสีครามบนร่างของหลัวซีอีกทีหนึ่ง ดูเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังสำแดงใช้วรยุทธ์ต่อสู้แล้ว
คมกระบี่ยาวถูกปักคาสนามประลอง พื้นผิวสนามที่ทำจากทองคำขาวแตกระแหงดั่งใยแมงมุม หลินเฟยดึงคมกระบี่ถอดถอนขึ้นมา จับจ้องหลัวซีตาเขม็งขึงขัง ส่อร่องรอยความประหลาดใจอยู่เบื้องลึก เจ้าหมอนี่มันกำลังใช้วรยุทธ์ต่อสู้จริงๆ งั้นรึ? หรือมันเป็นหนึ่งในทายาทสี่ตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น? สกุลหลัว…ทายาทของตระกูลหลัวงั้นรึ?
หากข้าได้ครอบครองวรยุทธ์ต่อสู้ของมันล่ะ? หนึ่งความคิดผุดปรากฏ ดวงตาคู่อำมหิตหรี่แคบลงลงทันควัน จิตสังหารขุมใหญ่เดือดปะทุคุ้มคลั่ง
คู่เท้ากระตุบวูบ เงาร่างของหลินเฟยกลายมาเป็นภาพซ้อนประดุจภาพมายาในทันใด พร้อมหยิบยกคมกระบี่ควบแน่นพลังวิญญาณสุดโฉดชั่วเข้มข้นหันประจันเข้าใส่ คมแสงสีเย็นยะเยือกสาดไสววิบวับ เล่มกระบี่ยาวพุ่งเสียดอากาศฉีกกระชากสายลมขาดสะบั้นดับสูญ ทุ่มพละกำลังทั้งหมดหวังปลิดชีพหลัวซีในอึดใจ
ขุมพลังทำลายล้างของคมกระบี่เล่มนั้น กระทั่งห้วงอากาศยังบิดเบี้ยวเสียรูปทรง ยากเกินจะต้านรับอย่างแท้จริง!
เสมือนหัวใจของเซียถงถูกแขวนอยู่ที่ปลายเหว ถึงแม้นางจะตระหนักถึงขอบเขตขีดจำกัดของปราณกระบี่ที่หลินเฟยสำแดงใช้ออกมาดี และอาศัยวรยุทธต่อสู้ที่หลัวซีมีน่าจะมีโอกาสหลบเลี่ยงได้ครึ่งต่อครึ่ง แต่กระนั้นนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ
กระบวนเคลื่อนไหวของหลัวซีแปรเปลี่ยนจนดูแปลกตา ร่างแกว่งไปทางซ้ายทีขวาที และไม่เพียงพริบตาต่อมา ก็ปรากฏเงาร่างแยกจำนวนหนึ่งกระจายออกมา ซึ่งเงาร่างแยกทั้งหลายต่างเคลื่อนไหวไปตามกุหลาบเหล็กไหลสีแดงในมือที่กวัดแกว่ง สีหน้าแววตาของเขาในยามนี้ค่อนข้างจริงจังอย่างยิ่ง ตนพึงทราบ ตัวเขาไม่สามารถเอาชนะหลินเฟยได้เลย แต่อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสได้
ชายทั้งสองเข้าปะทะชนอีกครา ก้านกุหลาบเหล็กไหลเสียดกระแทกคมกระบี่ยาว ระเบิดเป็นสะเก็ดไฟสาดกระจายส่องสว่างไปทั่ว
แสงจากสะเก็ดไฟโฉบแวบจนแสบตา ฝูงชนทั้งหลายบนอัฒจันทร์มิได้ทานทน พวกเขาล้วนแต่หลับตากันถ้วนหน้า แต่กลับหาใช่กับเซียถงที่ยังคงเฝ้ามองต่อไปโดยไม่หลับตาใดๆ ประกายแสงสว่างที่มากล้นเกินไป ได้ทำให้รอบนอกหม่นมืดลงชั่วขณะ และทันใดนั้น จู่ๆ นางก็ถึงหน้าเสียหนัก เปล่งเสียงร้องอุทานลั่นโดยพลันขึ้นว่า
“หลัวซีระวัง! อีกฝ่ายมีอาวุธลับ!”
หลัวซียังไม่ทันฟื้นคืนสติจากประกายแสงจ้าท่าสว่างวาบ เสมือนดวงตามืดบอกไปชั่วขระ แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องเตือนของเซียถง เขาก็รีบเร่งเร้าพลังลมปราณสุดขั้ว หลอมผนึกกลายเป็นปราการป้องกันตัว ทว่าถึงจะทำเช่นนั้นกลับสายเกินไปแล้ว เข็มพิษเล่มบางทั้งสามพลันพุ่งออกมาจากง่ามนิ้วมือของหลินเฟย เสียบกระซวกใส่ช่องท้องหลัวซีเข้าอย่างจัง พลังลมปราณชั่วชีวิตที่ถูกกักเก็บอยู่ในจุดตันเถียนแตกซ่านในพริบตา ร่างของเขาอ่อนยวบร่วงลงพื้นหมดสติในพริบตา
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของหลินเฟยราวกับเป็นเพียงนกต่อ เพื่อให้หลัวซีมุ่งความสนใจทั้งหมดอยู่กับการปะทะชน โดยที่มีเป้าหมายสูงสุดคือ การลอบใช้อาวุธลับจู่โจมหลัวซีทีเผลอด้วยเข็มพิษที่ซุกซ่อนในง่ามนิ้วมือตั้งแต่แรก
หากยังคงสัปรยุทธ์สู้ต่อไป อาศัยวรยุทธ์ต่อสู้ในมือของหลัวซี เกรงว่ากลับเป็นตัวเขาที่เพลี่ยงพล้ำได้ ดังนั้นจึงต้องรีบหยิบใช้อาวุธลับชิ้นนี้ออกมาก่อนจะสายเกินไป หลินเฟยกดสายตามองหลัวซีที่กำลังนอนสลบไสลอยู่บนพื้น คมกระบี่ในมือหลินเฟยระเบิดคลื่นจิตสังหารล้นทะลักไม่หยุด และลงมือฟันเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรงพร้อมใบหน้าสาแก่ใจสุดแสน
เซียถงเรียกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นมือโดยฉับไว กระโจนขึ้นสนามประลองพุ่งไปช่วยหลัวซีด้วยความเร็บประดุจสายฟ้า ทว่าอีกด้านหนึ่งกลับมีชายชราเสื้อคลุมสีเทาปรากฏกายขึ้นต่อหน้า พร้อมสะบัดแขนเสื้อก่อเกิดเป็นลมพายุขนาดมหึมาโหมเข้าใส่หลินเฟยจนตัวปลิวกระเด็น จากนั้นเขาก็รีบหยิบโอสถเม็ดหนึ่งขึ้นจากเอว และป้อนเข้าปากของหลัวซีโดยตรง
โฉมหน้าที่แสนหล่อเหลาของหลัวซีดูดีขึ้นในพริบตา คล้อยหลังกลืนโอสถขับพิษของท่านปู่เข้าไป ใบหน้าหมองคล้ำของหลัวซีก็มิได้ลามหนักไปกว่านั้น แต่ก็ยังเผยร่องรอยถูกพิษที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วแก้ม ซึ่งดูน่ากลัวมิใช่น้อย ไม่นานนัก หลัวซีก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พยายามอ้าปากต้องการจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่ทว่าเจ้าตัวกลับไม่สามารถเปล่งเสียงได้เลย
ชายชรากอดร่างของหลัวซีไว้ในอ้อมแขนแน่นหนา เงยหน้าเชิดมองหลินเฟยด้วยความพิโรธจัดเกินจะควบคุม ยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าคำรามเสียงกึกก้องประดุจฟ้าลั่นใส่ว่า
“องค์จักรพรรดิทั้งสี่กำลังเฝ้ารับชม แต่เจ้ากลับใช้วิธีโสโครกบัดซบเพื่อสังหารคู่แข่ง! ข้า ผู้อาวุโสอินทรีโลหิต จักถลกเนื้อหนังเลาะกระดูกทั่วร่างของเจ้าทั้งเป็นในวันนี้! หากทำไม่ได้ก็ขอไม่เป็นมนุษย์!”
ชั่วอึดใจที่สิ้นเสียงของชายชรา ก็ปรากฏนกอินทรีขนาดมหึมากู่ร้องคำรนอยู่เหนือฟ้า ส่องสะท้อนเงาใหญ่ยักษ์ปกคลุมทั่วสนามประลอง พอเซียถงเงยหน้าทอดมองก็แลเห็นเปลวเพลิงสีโลหิตพวยพุ่งโจมตีใส่หลินเฟยบนสนาม
เมื่อได้เห็นเปลวเพลิงสีโลหิตที่ลุกโชติช่วง เซียถงพลันตระหนักได้ทันที นกอินทรีมหึมาตนนี้เป็นร่างจำแลงเพลิงอันแกร่งกล้า ดวงตากลมโตของมันดูคล้ายลูกแก้วอสนีบาต จะงอยปากแหลมยาวดั่งคมดาบ ขาทั้งสองข้างประดุจคีบเหล็ก ปีกคู่เพลิงโลกันตร์ร่อนถลาลมปราณเข้าโฉบใส่หลินเฟยโดยตรง
เกลียวคลื่นวายุที่ถูกคู่ปีกเพลิงชักนำโหมกระโชกรุนแรง ร่างใดเข้าปะทะรับไว้ไม่ต่างอะไรกับโดนคมมีดนับพันหมื่นกระหน่ำเสียบ
หลินเฟยแหงนศีรษะมองนกอินทรีโลหิตมหึมาตนนั้น ใบหน้าพลันถอดสีซีดลงหลายส่วน ถึงแม้เจ้าตัวจะหยิ่งหยองลำพองตนเพียงใด แต่ยามต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์ที่มุ่งเป้าเข้าหา ย่อมต้องกลัวโดยธรรมชาติ
แน่นอน เมื่ออินทรีโลหิตมหึมาพุ่งจู่โจม ทันใดนั้นก็มีเสือดาวเหมันต์ตัวใหญ่กระโจนออกมารับมือจากเคียงข้างตัวหลินเฟย อินทรีปะทะเสือดาว เพลิงโลกันตร์ประสานชนเข้ากับกรงเล็บน้ำแข็งอย่างดุเดือด