ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 301 นักอัญเชิญอสูรแห่งซีฉิน
ตอนที่301 นักอัญเชิญอสูรแห่งซีฉิน
ตอนที่301 นักอัญเชิญอสูรแห่งซีฉิน
เดิมทีอินทรีเพลิงยักษ์ถลาลมโฉบจู่โจมอย่างสง่างดงาม ทว่าเมื่อเห็นเสือดาวเหมันต์ตนนั้นที่ปราดกระโจนตอบโต้ ตัวมันถึงกับสั่นสะท้านหนักหน่วง แลเห็นกรงเล็บน้ำแข็งลุเข้าใกล้ทุกขณะ อินทรีเพลิงตนนั้นตื่นตระหนกสุดขีด รีบกระพือปีกปักษาคู่ตลบหนีขึ้นฟากฟ้า หายวับลับสายตาออกไปโดยไวต่อหน้าต่อตาทุกคน
สัตว์อสูรสายพันธุ์เสือดาวเหมันต์คือ ศัตรูตามธรรมชาติของอินทรีเพลิงโลหิตมาตลอดตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาล แต่ด้วยนิสัยที่ผยองเดชในความแกร่งกล้า กลับไม่มีใครสามารถเลี้ยงมันให้เชื่องหรืออยู่ใต้อานัติได้ ยกเว้นแค่เพียงนักอัญเชิญอสูรระดับชั้นปรมาจารย์ที่มากด้วยประสบการณ์เจนจัดเท่านั้น แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ในจักรวรรดิซีฉินแห่งนี้จะมีนักอัญเชิญอสูรมากฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วย! บนบัลลังก์ที่นั่งสูง องค์จักรพรรดิทั้งสามถึงกับหน้าถอดสีกันตามๆ กัน
หากองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินใคร่โจมตีอาณาจักรที่เหลือของพวกเขาทั้งสาม กลับทำได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้ว อาศัยกองทัพสัตว์อสูรสุดแข็งแกร่งของนักอัญเชิญอสูรท่านนี้ ผลที่ตามมาคือพิชิตทั่วใต้หล้า!
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง หรี่สายตาแคบกวาดมองซ้ายแลขวาเตรียมจะหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุ แต่ทันทีใดนั้น เขาก็บังเอิญชำเลืองไปเห็นชายวัยกลางคนผู้สวมเสื้อคลุมลายครามน้ำเงินยืนอยู่เบื้องหลังที่นั่งขององค์จักรพรรดิแห่งซีฉิน และเมื่อทั้งสองสบสายตากัน ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เหาะเหินทะยานลงมาอยู่ข้างหลินเฟย
ประกายตาคู่นั้นสีดำขลับประดุจน้ำหมึกลึกล้ำ คู่คิ้วเข้มหนาเปี่ยมล้นความเย่อหยิ่ง รูปลักษณ์ใบหน้าคล้ายกับหลินเฟยอยู่หลายส่วน ซึ่งเขาก็คือหลินเต๋อซวน พ่อของหลินเฟย เสือดาวเหมันต์ตนนั้นยืนประกบปกป้องอยู่ข้างหลินเฟยไม่ไกลห่าง ดวงตาของสัตว์ร้ายจ้องไปที่ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตตาเขม็งขึงขังพร้อมจู่โจมทุกเมื่อ แต่เพียงหลินเต๋อซวนยื่นมือขึ้นลูบศีรษะของมัน ท่าทางการแสดงออกของเสือดาวเหมันต์กลับดูอ่อนโยนลงทันตาเห็น เสมือนว่ายอมศิโรราบต่อชายผู้นี้โดยสมบูรณ์!
หลินเต๋อซวนย่างสามขุมตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสอินทรีโลหิตและกล่าวว่า
“คมกระบี่ไร้ตาหู เกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บกลางครันระหว่างประลองกลับเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงมิได้ เจ้าสุนัขน้อยของข้า หาได้มีเจตนาคิดร้ายต่อหลานชายของท่าน”
เพียงวาจาไม่กี่คำ ทั่วสนามประลองพลันเงียบสงัด
“อุบัติเหตุงั้นรึ? หึหึ เจ้านี่ช่างไร้ยางอาย หลินเฟยฉาบพิษไว้บนคมเข็มทำเป็นอาวุธลับซ่อนในง้ามนิ้ว หากมิใช่เพราะโอสถขับพิษของข้า เกรงว่าเจ้าหลานชายคนนี้คงนอนเป็นศพเน่านานแล้ว!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตกระชับกอดร่างของหลัวซีไว้แน่น คำรามกล่าวด้วยความเดือดดาล
“ท่านกลับจริงจังเกินไป เจ้าสุนัขน้อยของข้ากลับเป็นเพียงเด็กโง่เขลาคนหนึ่ง แค่หยิบโน่นนี่มาปรับแต่งกับตะปูเหล็กสองสามตัว หวังจะอาศัยอาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเองใช้เสริมสร้งาความแข็งแกร่งก็เท่านั้น มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งเหล่านี้มันมีพิษ”
หลินเต๋อซวนกล่าวตอบน้ำเสียงสบายๆ หาได้แยแสใส่ใจ มือข้างขวายังคงลูบไล้เรียวขนยาวสีขาวโพล่นของเสือดาวเหมันต์ไปมา ภายใต้ลีลาการลูบไล้ของตัวเจ้านาย เจ้าเสือดาวเหมันต์ตนนี้ดูเพลิดเพลินอย่างมากราวกับแมวน้อยตัวหนึ่ง
เหลือบสายตามองเสือดาวเหมันต์ตนนั้นที่เชื่องอย่างยิ่งภายใต้การควบคุมของหลินเต๋อซวน รูม่านตาดำเซียถงพลันตีบตันหดแคบเล็กน้อยเจือแววประหลาดใจ อย่างน้อยที่สุดเสือดาวเหมันต์ตนนี้ก็น่าจะเป็นสัตว์อสูรปราณวิญญาณขึ้นไป หรือมีระดับชั้นที่สูงกว่านั้น และการที่เขาสามารถควบคุมมันได้เช่นนี้ แสดงว่าต้องเป็นปรมาจารย์นักอัญเชิญอสูรผู้มากประสบการณ์คนหนึ่ง
อาศัยความแข็งแกร่งและพลังจิตวิญญาณที่แกร่งกล้าของปรมาจารย์นักอัญเชิญอสูรผู้นี้ การจะควบคุมสัตว์อสูรที่ทรงพลังให้เชื่องกลับมิใช่เรื่องยากอันใด
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสอินทรีโลหิตเองก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีเช่นกัน ภายในใจจึงแอบครั้นคร่ามมิใช่น้อย อีกส่วนหนึ่งก็ค่อนข้างกังวลเรื่องพิษในกายหลัวซี เช่นนั้นเขาจึงพ่นลมหายใจเย็นทิ้งเฮือกใหญ่ กัดฟันกรอดกล่าวว่า
“บัญชีแค้นครานี้เราชายชราขอสลักจำในใจ สักวันจะกลับมาชำระทบต้นทบดอก!”
หากพิษในกายของหลัวซีมิสามารถกำจัดทิ้งได้ทันเวลา เกรงว่าอาจเกิดผลเสียต่อร่างกายถาวร
หาได้ต่อปากสนทนากับหลินเต๋อซวนอีกต่อไป และไม่แม้แต่จะชำเลืองมององค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิง ร่างเงาของเขาสาดไสวหายวับไปจากบนสนามประลองทันที พร้อมกับหลัวซีในอ้อมแขน
“หึ! ก็แค่สวะชิ้นหนึ่ง มันหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้เยี่ยงไร?”
ทอดสายตามองแผ่นหลังของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่อุ้มหลัวซีจากไป หลินเฟนในเวลานี้ก็พ่นลมหายใจเย็นคำโต
เซียถงที่ได้ยินดังนั้นกลับรู้สึกรำคาญใจชอบกล ทั้งที่ตัวเองแอบใช้วิธีสกปรกลอบทำร้ายเขาแท้ๆ แต่ยังหน้าด้านมาพูดจาอวดดีเช่นนี้อยู่อีก เช่นนั้นจึงอดใจปริปากกล่าวประชดประชันลอยๆ มิได้ขึ้นว่า
“ชนะด้วยวิธีสกปรกมีอะไรน่าภูมิใจ?”
หลินเฟยที่ได้ยินประโยคคำกล่าวนี้ลอยผ่านเข้าหูก็ถึงกับหันขวับ เหลือบหางตามองเซียถงอย่างเย่อหยิ่ง แสยะยิ้มบางกล่ายั่วโทสะขึ้นว่า
“หากเจ้าเก่งจริง ก็แก้แค้นให้มันได้ ว่าไง?”
ทันทีที่เขาสิ้นเสียงกล่าวจบ เงาร่างของเซียถงก็อันตรธานหายวับลับไปจากตำแหน่งเดิมที่ยืนอยู่ฉับพลัน
เสี้ยวพริบตาต่อมา เงาร่างอรชาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งเหนือฟ้ากลางเวหา หวดคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าฉาบรังสีสังหารสีเย็นยะเยือกพุ่งเข้าโจมตีใส่หลินเฟยโดยไม่มีปราณีใดๆ
หลินเฟยกระตุกยิ้มเชิดขึ้นในทันใด เร่งยกคมกระบี่ในมือเข้าทัดทานโดยไว พร้อมคำรามว่า
“ย่อมได้! เช่นนั้นแล้วรอบชิงชนะเลิศคงต้องเลื่อนเข้ามาให้เร็วกว่ากำหนด!”
เมื่อนางกำลังลุเข้าใกล้อีกฝ่าย ทันใดนั้นเอง เซียถงก็ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาสุดขั้ว ระเบิดคลื่นรัศมีแสงสีม่วงประกายสดใสอาบคลุมทั่วร่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแสงจรัสสีเขียวระยิบระยับปลุกปะทุอยู่ภายใน ความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นหลายทวีเท่าในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เงาร่างที่ปรากฏขึ้นสู่สายตาของหลินเฟยได้หายวับไปทันใด
จู่ๆ ก็เห็นร่างเซียถงหายลับสายตาไปฉับพลัน หลินเฟยตอบสนองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ทันการณ์ บังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นภายในใจในทันใด ชั่วขณะนั้นเขาถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก นั่นมันพลังแห่งขอบเขตราชันย์ม่วง? แล้วแสงจรัสสีเขียวภายในล่ะ? วรยุทธต่อสู้?
นี่…นี่เป็นไปได้ยังไง?!
ก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติกลับมา เจ้าตัวพลันบังเกิดอาการเจ็บปวดขั้นรุนแรงจากบริเวณข้อมือซ้ายแทบคลั่ง น้ำพุเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อน เคียงคู่กับเสียงร้องอุทานตื่นตูมขจากบรรดาฝูงชนทั่วอัฒจันทร์สารทิศ!
ข้อมือซ้ายของหลินเฟยถูกคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าตัดขาดสะบั้นไม่เหลือดี ทั้งยังมีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาเป็นสาย ในขณะที่คนอื่นยังตกอยู่ในภวังค์ความตื่นตะลึง เขารีบดึงสติกลับมาจากความมวลความเจ็บปวดปริมาณมหาศาลที่ถาโถม ยกมือข้างขาวซึ่งยังเหลือมารีบห้ามเลือดบริเวณข้อมมือซ้ายที่ถูกตัดโดยไว พร้อมทั้งกวาดสายตามองหามือซ้ายของตนที่ถูกตัดกระเด็นออกไป ก่อนจะพบมันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นสนามอีกด้าน ปลายนิ้วทั้งห้ายังกระตุกไม่หยุดดูน่าสยดสยองยิ่งยวด
คมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าวางพาดบ่าหลินเฟย ปอยผมยาวสลวยโบกสะบัดบิดพลิ้วไปตามแรงลม เซียถงกดสายตาชำเลืองมองมือซ้ายซึ่งขาดวิ่นของหลินเฟยที่ยังกระตุกไม่หยุด ไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากร่างของนางท้วมทะลัก รัศมีจิตสังหารที่ปกคลุมทั่วสนามยังคงเข้มข้นมากขึ้นและมากขึ้น นางในเวลานี้เสมือนคนไม่มีความรู้สึกกระทั่งอารมณ์ความนึกคิด แต่เป็นเพียงเครื่องจักรสังหารตนหนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นของนางยิ่งทวีความเย็นชาพลางเงยขึ้นสบมองกับหลินเฟย เจาะลึกลงไปในแววตาของนางกลับมีความกระหายเลือดซ่อนแฝงไว้อยู่ และดูสนุกกับการฆ่าใครสักคน หลินเฟยที่ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นถึงกับใจหายวูบร่วงไปยังตาตุ่ม ใบหน้าพลันถอดสีซีดเผือด พยายามใช้มือทั้งข้างที่ด้วนและไม่ด้วยตะเกียกตะกายคลานหนีกลับไป
มุมปากเซียถงกระตุกเชิดขึ้นสูงกลายมาเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย นางค่อยๆ ยกคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นอย่างแช่มช้า ทันใดนั้นพลันบังเกิดปราณกระบี่สีม่วงแพรวพราวที่เกิดจากพลังลมปราณที่ควบแน่น ฉายแสงกระจายล้อมรอบไปทั่วทุกสารทิศ และแต่ละเล่มล้วนจ่อไปทางหลินเฟยอย่างพร้อมเพรียง เสียงฉีกกระชากห้วงอากาศท้าลมดัง ปราณกระบี่ทั้งหมดกระหน่ำพุ่งเข้าใส่หลินเฟยอย่างโหดเหี้ยมในพริบตา!